ธรรมะจากพระสูตร Dhamma from Sutta
จูฬตัณหาสังขยสูตร ว่าด้วยความสิ้นไปแห่งตัณหา
กลุ่มไตรปิฎกสิกขา
[๔๓๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ปราสาทแห่งมิคารมารดา
ในพระวิหารบุพพาราม ใกล้นครสาวัตถี.
ครั้งนั้น ท้าวสักกะจอมเทพ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถวายอภิวาทแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้ทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กล่าวโดยย่อ ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร
ภิกษุชื่อว่าพ้นเพราะความสิ้นแห่งตัณหา มีความสำเร็จอย่างเด็ดขาด
มีความเกษมจากโยคะอย่างเด็ดขาด เป็นพรหมจารีอย่างเด็ดขาด มีที่สุดอย่างเด็ดขาด
เป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย?”
[๔๓๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “จอมเทพ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ได้สดับว่า
ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น. ถ้าข้อนั้น ภิกษุได้สดับแล้วอย่างนี้ว่า
ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ภิกษุนั้นย่อมทราบชัดธรรมทั้งปวง
ครั้นทราบชัดธรรมทั้งปวงแล้ว ย่อมกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง ครั้นกำหนดรู้ธรรมทั้งปวงแล้ว
เธอได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี
เธอย่อมพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง พิจารณาเห็นความหน่าย
พิจารณาเห็นความดับ พิจารณาเห็นความสละคืน ในเวทนาทั้งหลายเหล่านั้นอยู่
เมื่อพิจารณาเห็นดังนั้นอยู่ ย่อมไม่ยึดมั่นอะไร ๆ ในโลก
เมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะดุ้งหวาดหวั่น เมื่อไม่สะดุ้งหวาดหวั่น ย่อมดับกิเลสให้สงบได้เฉพาะตัว
และทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
จอมเทพ กล่าวโดยย่อ ด้วยข้อปฏิบัติเท่านี้แล
ภิกษุชื่อว่าพ้นเพราะความสิ้นแห่งตัณหา มีความสำเร็จอย่างเด็ดขาด
มีความเกษมจากโยคะอย่างเด็ดขาด เป็นพรหมจารีอย่างเด็ดขาด มีที่สุดอย่างเด็ดขาด
เป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย.”
ลำดับนั้น ท้าวสักกะจอมเทพ ชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำประทักษิณแล้วหายไปในที่นั้นนั่นเอง.
พระมหาโมคคัลลานะเข้าไปถามท้าวสักกะ
[๔๓๕] ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ นั่งอยู่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า
มีความดำริว่า “ท้าวสักกะนั้นทราบความพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วจึงยินดี หรือว่าไม่ทราบก็ยินดี
ถ้ากระไร เราพึงรู้เรื่องท้าวสักกะทราบความพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วจึงยินดี
หรือว่าไม่ทราบแล้วก็ยินดี?”
ลำดับนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้หายไปจากปราสาทของมิคารมารดา
ในวิหารบุพพาราม ไปปรากฏในหมู่เทวดาชั้นดาวดึงส์
ประหนึ่งบุรุษที่มีกำลัง เหยียดแขนที่คู้ออกหรือคู้แขนที่เหยียดเข้าฉะนั้น.
สมัยนั้นท้าวสักกะจอมเทพ กำลังอิ่มเอิบ พร้อมพรั่งบำเรออยู่
ด้วยทิพยดนตรี ๕๐๐ ชนิดในสวนดอกบุณฑริกล้วน
ท้าวเธอได้เห็นท่านพระมหาโมคคัลลานะกำลังมาแต่ไกล
จึงให้หยุดเสียงทิพยดนตรี ๕๐๐ ชนิดไว้ เสด็จเข้าไปหา แล้วรับสั่งว่า
“ขอนิมนต์มาเถิด พระคุณเจ้าโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์
ดีแล้วที่พระคุณเจ้าโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์มา
นานนักหนาแล้วที่พระคุณเจ้าโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์จะหาโอกาสมาที่นี่ได้
ขอนิมนต์นั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้แล้วเถิด.”
ส่วนท้าวสักกะจอมเทพได้ถือเอาอาสนะต่ำกว่าแห่งหนึ่ง นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[๔๓๖] ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้ถามท้าวสักกะผู้นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งว่า
“ท้าวโกสีย์ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสความพ้นเพราะความสิ้นแห่งตัณหา โดยย่อแก่ท่านอย่างไร?
ขอโอกาสเถิด อาตมาใคร่ขอมีส่วนฟังกถานั้นบ้าง.
ท้าวสักกะตรัสว่า “ท่านพระโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์ ข้าพเจ้ามีกิจมาก
มีธุระที่จะต้องทำมาก ทั้งธุระส่วนตัว ทั้งธุระของพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์
พระภาษิตใดที่ข้าพเจ้าฟังแล้วก็ลืมเสียเร็วพลัน
พระภาษิตนั้น ท่านฟังดี เรียนดี ทำไว้ในใจดี ทรงไว้ดีแล้ว
ท่านพระโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์ เรื่องเคยมีมาแล้ว
สงครามระหว่างเทวดาและอสูรได้ประชิดกันแล้ว ในสงครามนั้น พวกเทวดาชนะ พวกอสูรแพ้
ข้าพเจ้าชนะ เทวาสุรสงครามเสร็จสิ้นแล้ว กลับจากสงครามนั้นแล้ว ให้สร้างเวชยันตปราสาท
เวชยันตปราสาทมี ๑๐๐ ชั้น ในชั้นหนึ่ง ๆ มีกูฏาคาร (เรือนยอด) ๗๐๐ หลัง
ในกูฏาคารหลังหนึ่งๆ มีนางอัปสร ๗๐๐ นาง
นางอัปสรผู้หนึ่ง ๆ มีเทพธิดาผู้บำเรอ ๗๐๐ นาง
ท่านพระโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์ ท่านปรารถนาเพื่อจะชมสถานที่น่ารื่นรมย์แห่งเวชยันตปราสาทหรือไม่?”
ท่านพระมหาโมคคัลลานะรับด้วยดุษณีภาพ.
[๔๓๗] ครั้งนั้น ท้าวสักกะจอมเทพ และท้าวเวสสวัณมหาราช
นิมนต์ให้ท่านพระมหาโมคคัลลานะนำหน้า เข้าไปยังเวชยันตปราสาท.
พวกเทพธิดาผู้บำเรอของท้าวสักกะ เห็นท่านพระมหาโมคคัลลานะมาแต่ไกล
ก็เกรงกลัวละอายจึงเข้าสู่ห้องเล็กของตน ๆ
คล้ายกะว่าหญิงสะใภ้เห็นพ่อผัวแล้วก็เกรงกลัวละอายฉะนั้น.
ครั้งนั้น ท้าวสักกะจอมเทพ และท้าวเวสสวัณมหาราช
เมื่อให้ท่านพระมหาโมคคัลลานะเที่ยวเดินไปในเวชยันตปราสาท ได้ตรัสว่า
“ท่านพระโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์ ขอท่านจงดูสถานที่น่ารื่นรมย์แห่งเวชยันตปราสาทแม้นี้
ขอท่านจงดูสถานที่น่ารื่นรมย์แห่งเวชยันตปราสาทแม้นี้.”
ท่านพระมหาโมคคัลลานะกล่าวว่า “สถานที่น่ารื่นรมย์ของท่านท้าวโกสีย์นี้
ย่อมงดงามเหมือนสถานที่ของผู้ที่ได้ทำบุญไว้ในปางก่อน
แม้มนุษย์ทั้งหลายเห็นสถานที่น่ารื่นรมย์ไหน ๆ เข้าแล้ว
ก็กล่าวกันว่างามจริง ดุจสถานที่น่ารื่นรมย์ของพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์.”
ในขณะนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะมีความดำริว่า
“ท้าวสักกะนี้ เป็นผู้ประมาทอยู่มากนัก ถ้ากระไร เราพึงให้ท้าวสักกะนี้สังเวช”
จึงบันดาลอิทธาภิสังขาร เอาหัวแม่เท้ากดเวชยันตปราสาท เขย่าให้สั่นสะท้านหวั่นไหว.
ทันใดนั้น ท้าวสักกะจอมเทพ ท้าวเวสสวัณมหาราช และพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์
มีความประหลาดอัศจรรย์จิต กล่าวกันว่า
“ท่านผู้เจริญทั้งหลาย นี้เป็นความประหลาดอัศจรรย์
พระสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก
เอาหัวแม่เท้ากดทิพยพิภพ เขย่าให้สั่นสะท้านหวั่นไหวได้.”
วิมุตติกถา
[๔๓๘] ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะทราบว่า
ท้าวสักกะจอมเทพมีความสลดจิต ขนลุกแล้ว จึงถามว่า
“ท้าวโกสีย์ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถึงความพ้น เพราะความสิ้นแห่งตัณหาโดยย่นย่อแก่ท่านอย่างไร
ขอโอกาสเถิด อาตมาใคร่ขอมีส่วนฟังกถานั้นบ้าง.”
ท้าวสักกะจึงตรัสว่า “ท่านพระมหาโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์ ข้าพเจ้าจะเล่าถวาย
ข้าพเจ้าเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายอภิวาทแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กล่าวโดยย่อ ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร
ภิกษุชื่อว่าพ้นเพราะความสิ้นแห่งตัณหา มีความสำเร็จอย่างเด็ดขาด
มีความเกษมจากโยคะอย่างเด็ดขาด เป็นพรหมจารีอย่างเด็ดขาด มีที่สุดอย่างเด็ดขาด
เป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย?
เมื่อข้าพเจ้าทูลถามอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
จอมเทพ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ได้สดับว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น
ถ้าข้อนั้น ภิกษุได้สดับแล้วอย่างนี้ว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ภิกษุนั้นย่อมทราบชัดธรรมทั้งปวง
ย่อมกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง ครั้นกำหนดรู้ธรรมทั้งปวงแล้ว
เธอได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี
เธอย่อมพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง พิจารณาเห็นความหน่าย พิจารณาเห็นความดับ
พิจารณาเห็นความสละคืน ในเวทนาทั้งหลายเหล่านั้นอยู่
เมื่อพิจารณาเห็นดังนั้นอยู่ ย่อมไม่ยึดมั่นอะไร ๆ ในโลก
เมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะดุ้งหวาดหวั่น เมื่อไม่สะดุ้งหวาดหวั่น ย่อมดับกิเลสให้สงบได้เฉพาะตัว
และทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
จอมเทพ กล่าวโดยย่อ ด้วยข้อปฏิบัติเท่านี้แล
ภิกษุชื่อว่าพ้นเพราะความสิ้นแห่งตัณหา มีความสำเร็จอย่างเด็ดขาด
มีความเกษมจากโยคะอย่างเด็ดขาด เป็นพรหมจารีอย่างเด็ดขาด มีที่สุดอย่างเด็ดขาด
เป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ท่านพระโมคคัลลานะผู้นิรทุกข์ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัส
ความพ้นเพราะความสิ้นแห่งตัณหาโดยย่อ แก่ข้าพเจ้าอย่างนี้แล.”
ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ชื่นชมยินดีภาษิตของท้าวสักกะ
แล้วได้หายไปจากหมู่เทวดาชั้นดาวดึงส์ มาปรากฏที่ปราสาทของมิคารมารดา
ในวิหารบุพพาราม ประหนึ่งบุรุษผู้มีกำลัง เหยียดแขนที่คู้ออก หรือคู้แขนที่เหยียดเข้า ฉะนั้น.
ครั้งนั้น พวกเทพธิดาผู้บำเรอของท้าวสักกะจอมเทพ
เมื่อท่านพระมหาโมคคัลลานะหลีกไปแล้วไม่นาน ได้ทูลถามท้าวสักกะว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พระสมณะนั้นเป็นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พระศาสดาของพระองค์หรืออย่างไร ?”
ท้าวสักกะตรัสบอกว่า “เหล่าเทพธิดาผู้นิรทุกข์
พระสมณะนั้นไม่ใช่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พระศาสดาของเรา
เป็นท่านพระมหาโมคคัลลานะผู้เป็นสพรหมจารีของเรา”
พวกเทพธิดานั้นทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ เป็นลาภของพระองค์
พระองค์ได้ดีแล้ว ที่ได้พระสมณะผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากอย่างนี้ เป็นสพรหมจารีของพระองค์
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พระศาสดาของพระองค์ คงมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากเป็นอัศจรรย์เป็นแน่.”
[๔๓๙] ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำได้ พระองค์เป็นผู้ตรัส
ความพ้นเพราะความสิ้นแห่งตัณหาโดยย่อ แก่เทพผู้มีศักดิ์มากผู้ใดผู้หนึ่งบ้างหรือไม่ ?”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “โมคคัลลานะ เราจำได้อยู่ จะเล่าให้ฟัง
ท้าวสักกะจอมเทพเข้ามาหาเรา อภิวาทเราแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้ถามเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กล่าวโดยย่อ ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร
ภิกษุชื่อว่าพ้นเพราะความสิ้นแห่งตัณหา มีความสำเร็จอย่างเด็ดขาด
มีความเกษมจากโยคะอย่างเด็ดขาด เป็นพรหมจารีอย่างเด็ดขาด มีที่สุดอย่างเด็ดขาด
เป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย?
โมคคัลลานะ เมื่อท้าวสักกะนั้นถามอย่างนี้แล้ว
เราบอกว่า จอมเทพ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ได้สดับว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น
ถ้าข้อนั้นภิกษุได้สดับแล้วอย่างนี้ว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ภิกษุนั้นย่อมทราบชัดธรรมทั้งปวง
ครั้นทราบชัดธรรมทั้งปวงแล้ว ย่อมกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง ครั้นกำหนดรู้ธรรมทั้งปวงแล้ว
เธอได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ดี
เธอย่อมพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง พิจารณาเห็นความหน่าย
พิจารณาเห็นความดับ พิจารณาเห็นความสละคืน ในเวทนาทั้งหลายเหล่านั้นอยู่
เมื่อพิจารณาเห็นดังนั้นอยู่ ย่อมไม่ยึดมั่นอะไร ๆ ในโลก
เมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะดุ้งหวาดหวั่น เมื่อไม่สะดุ้งหวาดหวั่น ย่อมดับกิเลสให้สงบได้เฉพาะตัว
และทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี จอมเทพ
กล่าวโดยย่อ ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้แล
ภิกษุชื่อว่าพ้นเพราะความสิ้นแห่งตัณหา มีความสำเร็จอย่างเด็ดขาด
มีความเกษมจากโยคะอย่างเด็ดขาด เป็นพรหมจารีอย่างเด็ดขาด มีที่สุดอย่างเด็ดขาด
เป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย.
โมคคัลลานะ เราจำได้อยู่ว่า เราเป็นผู้กล่าวความพ้นเพราะความสิ้นแห่งตัณหาโดยย่อ
แก่ท้าวสักกะจอมเทพ อย่างนี้แล.”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว
ท่านพระมหาโมคคัลลานะ มีใจชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วแล.
จูฬตัณหาสังขยสูตรที่ ๗ จบ
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๑๙)
< Prev | Next > |
---|