เติมธรรมในทำนอง Lite Melody
Que Sera Sera เรื่องของเหตุ กับผล
โดย aston27
Que Sera Sera (Whatever will be, will be)
When I was just a little girl
I asked my mother, what will I be
Will I be pretty, will I be rich Here's what she said to me.
Que Sera, Sera,
Whatever will be, will be
The future's not ours, to see
Que Sera, Sera. What will be, will be.
When I was young, I fell in love
I asked my sweetheart what lies ahead
Will we have rainbows, day after day
Here's what my sweetheart said.
Que Sera, Sera,
Whatever will be, will be
The future's not ours, to see
Que Sera, Sera. What will be, will be.
.....เมื่อคราวฉันยังเล็กเป็นเด็กน้อย........ฉันเคยเจื้อยจ้อยถามตามประสา
หนูจะรวยเริ่ดไฉไลไหมมารดา...............แม่หันมายิ้มปลอบแล้วตอบพลัน
สิ่งทั้งหลายล้วนกำเนิดเกิดเพราะเหตุ....จะภัยเภทวิเศษใดใช่เสกสรร
อนาคตลดเลี้ยวคดเคี้ยวพลัน.................อาจพลิกผันอย่ามั่นใจไร้แน่นอน
เมื่อคราวนั้นวัยวันที่ฉันเยาว์.................ที่ฉันเขลาเฝ้าสมัครรักสุดถอน
จึงปุจฉาฤารักจักกล้าสถาพร..................พ่องามงอนยิ้มปลอบแล้วตอบพลัน
สิ่งทั้งหลายล้วนกำเนิดเกิดเพราะเหตุ...จะภัยเภทวิเศษใดใช่เสกสรร
อนาคตลดเลี้ยวคดเคี้ยวพลัน................อาจพลิกผันอย่ามั่นใจไร้แน่นอน
ไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมหยิบ DVD ภาพยนตร์คลาสสิคเรื่องหนึ่ง ที่เป็นผลงานการกำกับของราชาหนังระทึกขวัญนามว่า อัลเฟรด ฮิทช์ค็อก มานอนดูอยู่กับบ้าน
หนังเรื่องนั้นชื่อ “ผู้ชายที่รู้มากเกินไป” The Man Who Knew Too Much
ใครที่เคยผ่านตาหนังที่เป็นผลงานแสดงของเจมส์ สจ๊วต ร่วมกับดอริส เดย์ เรื่องนี้ คงจดจำเพลงเพราะๆความหมายดีๆเพลงนี้ได้นะครับ เพราะดอริส เดย์ ร้องเพลงนี้สะกดคนดูเสียอยู่หมัดในภาพยนตร์ และยังกลายเป็นเพลง “ลายเซ็น” ของเธอเองอีกต่างหาก ชนิดขึ้นเวทีไหน เป็นต้องได้ร้องที่นั่น
Que Sera Sera ที่มีความหมายในภาษาอังกฤษว่า Whatever Will Be Will Be หรือแปลเป็นไทยอีกทีว่า “อะไรมันจะเกิด มันก็ต้องเกิด” นั้น เป็นผลงานในปี ค.ศ. ๑๙๕๖ ที่เขียนเนื้อร้องโดย เรย์ อีแวนส์ และทำดนตรีโดย เจย์ ลิฟวิ่งสตัน คู่หูนักแต่งเพลงมือทองของยุคนั้น
เพลงนี้ได้รับความนิยมมากทั้งในฟากฝั่งอเมริกา และอังกฤษ เพราะขึ้นถึงอันดับสองในพ๊อพชาร์ตของทั้งสองประเทศ แถมยังเป็นเจ้าของรางวัลออสการ์เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปีต่อมา ทำให้ทั้ง เรย์ อีแวนส์ และเจย์ ลิพวิงสตัน กลายเป็นเจ้าของเพลงประกอบหนังระดับรางวัลออสการ์เป็นเพลงที่สามในชีวิตของทั้งคู่
ความโดดเด่นของเพลงคงไม่ได้อยู่ที่ทำนองเพลงอันไพเราะติดหูอย่างเดียวหรอกครับ แต่ความหมายของเพลงเองก็น่าประทับใจไม่น้อยทีเดียว พูดให้ถูกกว่านั้น มันเป็นตรรกะที่สอดคล้องกับแนวคิดของพุทธไม่น้อยเลย
เห็นด้วยไหมครับว่า อนาคต เป็นสิ่งที่มนุษย์สนใจใคร่รู้มาทุกยุคทุกสมัย อนุมานได้จากอาชีพหมอดู ที่เป็นอาชีพที่เก่าแก่ที่สุดอาชีพหนึ่งของโลก แทบทุกชนชาติวัฒนธรรมจะมีรูปแบบการทำนายอนาคตสารพัดสารพัน ทั้งดูดวง เวลาตกฟาก วันเดือนปีเกิด ดูลายมือ ลายเท้า หมอดูไพ่ยิบซี ดูจากโหงวเฮ้ง กระทั่งดูด้วยจิตสัมผัส ยูเรเนี่ยน มีตำราหมอดูเขมร พม่า ไทยใหญ่ แบบแขก แบบฮินดู แบบจีน และอีกสารพัดตำรา
แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนไว้คือ มนุษย์เรามีกรรมเป็นเรือนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ท่านสอนให้เราเชื่อในกรรม คือเชื่อเรื่องผลจากเหตุที่เราทำ ไม่ใช่ชะตาที่ถูกกำหนดจากพรหม หรือใครที่ไหน เพราะท่านบอกว่า สิ่งทั้งหลายย่อมเกิดจากเหตุ เพราะมีเหตุอย่างหนึ่ง สิ่งนี้จึงเกิด และเมื่อเหตุนั้นหมดไป สิ่งนั้นจึงหมดไปด้วย
ผมเชื่อตามหลักอธิบายแบบพุทธว่า อนาคตคือสิ่งที่ถูกสร้างและกำหนด เปลี่ยนแปลงได้ด้วยกรรม หรือการกระทำของเรานี่เอง ไม่ใช่ใครอื่น และธรรมชาติที่ดูแปรปรวน ไม่แน่นอนนั้น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลของเหตุปัจจัยอะไรสักอย่าง
จะเพราะอะไรก็อาจไม่สำคัญเท่าการมีสติ มีปัญญา รู้ความจริงที่ว่าสิ่งทั้งหลายเกิด เพราะมีเหตุอันสมควรของมัน อย่างฝนจะตก ฟ้าจะร้อง นักร้องจะเดี้ยง นกเอี้ยงจะไข่ ลำไยจะแพง เสื้อแดงจะขายดี ก็เพราะมีเหตุปัจจัยเอื้อมันไปอย่างนั้น ไม่ใช่เพราะเราชอบ ไม่ชอบ พอใจ ไม่พอใจ อยากหรือไม่อยาก
คนมีปัญญาจึงเป็นผู้ที่ไม่ว่าอะไรจะเกิด ก็มีสติเข้าใจ ยอมรับว่ามันเป็นของมันอย่างนั้น ถ้าเป็นเรื่องดีเราก็ยิ้มรับ เรื่องไม่ดี ถ้าแก้ไขได้ก็แก้ไข แก้ไขไม่ได้ก็ทำใจ ยอมรับได้ ไม่ฟูมฟาย ไม่คร่ำครวญ เพราะเห็นว่า การคร่ำครวญไม่เกิดประโยชน์ไม่ทำให้สภานการณ์ดีขึ้น และยิ่งไม่ทำให้ปัญหาหมดไป
ดีที่สุดคือยิ้มไว้และหัดมีสติ เพราะอะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด นั่นแหละครับ
สุขสันต์วันเดียวที่ปัจจุบันตั้งอยู่ได้ครับ
When I was just a little girl
I asked my mother, what will I be
Will I be pretty, will I be rich Here's what she said to me.
Que Sera, Sera,
Whatever will be, will be
The future's not ours, to see
Que Sera, Sera. What will be, will be.
When I was young, I fell in love
I asked my sweetheart what lies ahead
Will we have rainbows, day after day
Here's what my sweetheart said.
Que Sera, Sera,
Whatever will be, will be
The future's not ours, to see
Que Sera, Sera. What will be, will be.
.....เมื่อคราวฉันยังเล็กเป็นเด็กน้อย........ฉันเคยเจื้อยจ้อยถามตามประสา
หนูจะรวยเริ่ดไฉไลไหมมารดา...............แม่หันมายิ้มปลอบแล้วตอบพลัน
สิ่งทั้งหลายล้วนกำเนิดเกิดเพราะเหตุ....จะภัยเภทวิเศษใดใช่เสกสรร
อนาคตลดเลี้ยวคดเคี้ยวพลัน.................อาจพลิกผันอย่ามั่นใจไร้แน่นอน
เมื่อคราวนั้นวัยวันที่ฉันเยาว์.................ที่ฉันเขลาเฝ้าสมัครรักสุดถอน
จึงปุจฉาฤารักจักกล้าสถาพร..................พ่องามงอนยิ้มปลอบแล้วตอบพลัน
สิ่งทั้งหลายล้วนกำเนิดเกิดเพราะเหตุ...จะภัยเภทวิเศษใดใช่เสกสรร
อนาคตลดเลี้ยวคดเคี้ยวพลัน................อาจพลิกผันอย่ามั่นใจไร้แน่นอน
ไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมหยิบ DVD ภาพยนตร์คลาสสิคเรื่องหนึ่ง ที่เป็นผลงานการกำกับของราชาหนังระทึกขวัญนามว่า อัลเฟรด ฮิทช์ค็อก มานอนดูอยู่กับบ้าน
หนังเรื่องนั้นชื่อ “ผู้ชายที่รู้มากเกินไป” The Man Who Knew Too Much
ใครที่เคยผ่านตาหนังที่เป็นผลงานแสดงของเจมส์ สจ๊วต ร่วมกับดอริส เดย์ เรื่องนี้ คงจดจำเพลงเพราะๆความหมายดีๆเพลงนี้ได้นะครับ เพราะดอริส เดย์ ร้องเพลงนี้สะกดคนดูเสียอยู่หมัดในภาพยนตร์ และยังกลายเป็นเพลง “ลายเซ็น” ของเธอเองอีกต่างหาก ชนิดขึ้นเวทีไหน เป็นต้องได้ร้องที่นั่น
Que Sera Sera ที่มีความหมายในภาษาอังกฤษว่า Whatever Will Be Will Be หรือแปลเป็นไทยอีกทีว่า “อะไรมันจะเกิด มันก็ต้องเกิด” นั้น เป็นผลงานในปี ค.ศ. ๑๙๕๖ ที่เขียนเนื้อร้องโดย เรย์ อีแวนส์ และทำดนตรีโดย เจย์ ลิฟวิ่งสตัน คู่หูนักแต่งเพลงมือทองของยุคนั้น
เพลงนี้ได้รับความนิยมมากทั้งในฟากฝั่งอเมริกา และอังกฤษ เพราะขึ้นถึงอันดับสองในพ๊อพชาร์ตของทั้งสองประเทศ แถมยังเป็นเจ้าของรางวัลออสการ์เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปีต่อมา ทำให้ทั้ง เรย์ อีแวนส์ และเจย์ ลิพวิงสตัน กลายเป็นเจ้าของเพลงประกอบหนังระดับรางวัลออสการ์เป็นเพลงที่สามในชีวิตของทั้งคู่
ความโดดเด่นของเพลงคงไม่ได้อยู่ที่ทำนองเพลงอันไพเราะติดหูอย่างเดียวหรอกครับ แต่ความหมายของเพลงเองก็น่าประทับใจไม่น้อยทีเดียว พูดให้ถูกกว่านั้น มันเป็นตรรกะที่สอดคล้องกับแนวคิดของพุทธไม่น้อยเลย
เห็นด้วยไหมครับว่า อนาคต เป็นสิ่งที่มนุษย์สนใจใคร่รู้มาทุกยุคทุกสมัย อนุมานได้จากอาชีพหมอดู ที่เป็นอาชีพที่เก่าแก่ที่สุดอาชีพหนึ่งของโลก แทบทุกชนชาติวัฒนธรรมจะมีรูปแบบการทำนายอนาคตสารพัดสารพัน ทั้งดูดวง เวลาตกฟาก วันเดือนปีเกิด ดูลายมือ ลายเท้า หมอดูไพ่ยิบซี ดูจากโหงวเฮ้ง กระทั่งดูด้วยจิตสัมผัส ยูเรเนี่ยน มีตำราหมอดูเขมร พม่า ไทยใหญ่ แบบแขก แบบฮินดู แบบจีน และอีกสารพัดตำรา
แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนไว้คือ มนุษย์เรามีกรรมเป็นเรือนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ท่านสอนให้เราเชื่อในกรรม คือเชื่อเรื่องผลจากเหตุที่เราทำ ไม่ใช่ชะตาที่ถูกกำหนดจากพรหม หรือใครที่ไหน เพราะท่านบอกว่า สิ่งทั้งหลายย่อมเกิดจากเหตุ เพราะมีเหตุอย่างหนึ่ง สิ่งนี้จึงเกิด และเมื่อเหตุนั้นหมดไป สิ่งนั้นจึงหมดไปด้วย
ผมเชื่อตามหลักอธิบายแบบพุทธว่า อนาคตคือสิ่งที่ถูกสร้างและกำหนด เปลี่ยนแปลงได้ด้วยกรรม หรือการกระทำของเรานี่เอง ไม่ใช่ใครอื่น และธรรมชาติที่ดูแปรปรวน ไม่แน่นอนนั้น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลของเหตุปัจจัยอะไรสักอย่าง
จะเพราะอะไรก็อาจไม่สำคัญเท่าการมีสติ มีปัญญา รู้ความจริงที่ว่าสิ่งทั้งหลายเกิด เพราะมีเหตุอันสมควรของมัน อย่างฝนจะตก ฟ้าจะร้อง นักร้องจะเดี้ยง นกเอี้ยงจะไข่ ลำไยจะแพง เสื้อแดงจะขายดี ก็เพราะมีเหตุปัจจัยเอื้อมันไปอย่างนั้น ไม่ใช่เพราะเราชอบ ไม่ชอบ พอใจ ไม่พอใจ อยากหรือไม่อยาก
คนมีปัญญาจึงเป็นผู้ที่ไม่ว่าอะไรจะเกิด ก็มีสติเข้าใจ ยอมรับว่ามันเป็นของมันอย่างนั้น ถ้าเป็นเรื่องดีเราก็ยิ้มรับ เรื่องไม่ดี ถ้าแก้ไขได้ก็แก้ไข แก้ไขไม่ได้ก็ทำใจ ยอมรับได้ ไม่ฟูมฟาย ไม่คร่ำครวญ เพราะเห็นว่า การคร่ำครวญไม่เกิดประโยชน์ไม่ทำให้สภานการณ์ดีขึ้น และยิ่งไม่ทำให้ปัญหาหมดไป
ดีที่สุดคือยิ้มไว้และหัดมีสติ เพราะอะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด นั่นแหละครับ
สุขสันต์วันเดียวที่ปัจจุบันตั้งอยู่ได้ครับ
< Prev | Next > |
---|