สารส่องใจ Enlightenment

ความสำรวมจิต (ตอนที่ ๒)



พระธรรมเทศนา โดย พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
วัดอรัญญบรรพต อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย


ความสำรวมจิต (ตอนที่ ๑) (คลิก)


ให้มันเห็นแจ้งด้วยปัญญาลงไป ถึงว่ารูปนี้ปัจจุบันเนี่ยมันยังไม่แตกไม่ดับ
แต่ต่อไปมันก็แตกก็ดับ มันก็ทรุดโทรมไป อย่างนี้แหละ
ถ้าจะว่า ให้เห็นในปัจจุบันนี้ ก็ว่ารูปเกิดรูปดับนะ มันก็ไม่ยากอะไรนี่
ดื่มน้ำเข้าไปอย่างนี้นะ ไม่นานเดี๋ยวก็ถ่ายปัสสาวะออกไปแล้ว
นั่นแหละ ถ่ายปัสสาวะออกไปแล้ว หิวก็ดื่มเข้าไปอีกอย่างนี้นะ
การดื่มน้ำเข้าไปนั่นน่ะ เรียกว่ารูปมันเกิด
การถ่ายปัสสาวะออกไปนั้นนะ เรียกว่ารูปมันดับ
การรับประทานอาหารเข้าไปอย่างนี้นะ
แล้วไฟธาตุย่อยลงไปถ่ายเทออกไป นั้นเรียกว่ารูปดับ
การรับประทานอาหารเข้าไป รูปเกิด
เรียกว่าอาหารนั้นมันไปบำรุงธาตุดินไว้
ส่วนน้ำนั้น ไปบำรุงธาตุน้ำไว้ อย่างนี้แหละ
ส่วนธาตุไฟนั่นน่ะ ธาตุลมหมู่นี้ มันก็อาศัยอยู่กับธาตุดินธาตุน้ำนี่แหละ
เมื่อธาตุดินธาตุน้ำนี้เป็นปกติอยู่ ธาตุไฟธาตุลมก็เป็นปกติอยู่เป็นอย่างนั้น
อย่างคนเป็นลมอย่างนี้นะ ในทางการแพทย์เขาว่า
อาศัยความไหลเวียนของโลหิตไม่สม่ำเสมอ
ดังนั้นมันถึงได้เกิดเป็นลมหน้ามืดตาลายขึ้นมา
อย่างนี้แหละ ความไหลเวียนของโลหิตนี้ อาศัยธาตุลมนะ
ลมพัดนะ มันจึงไหลเวียนไปได้


ทีนี้ถ้าหากว่าลมนั้นมันติดขัดเข้าไป เลือดวิ่งไม่สะดวกอย่างนี้แล้ว
ก็เอาแล้ว เกิดเป็นลมอ่อนเพลียละเหี่ยใจ หน้ามืดตาลายขึ้นมาแล้ว
ถ้าธาตุไฟนั้น มันอ่อนแอลง
แต่หมายความว่าธาตุดินน่ะมันวิบัติลง ธาตุน้ำมันวิบัติลง
บัดนี้ธาตุไฟก็อ่อนแอลงตามกัน ไฟก็ย่อยอาหารไม่สะดวกบัดนี้
รับประทานอาหารเข้าไป ก็เกิดท้องอืดท้องเฟ้อขึ้นมา
เมื่อธาตุไฟมันอ่อนลงเนี่ย
ไม่ค่อยอยากอาหารนะคนเรา เบื่ออาหาร เป็นอย่างนั้น
เมื่อธาตุลมมันวิบัติก็เหมือนกัน เช่น ลมมันดันขึ้นเบื้องบนมากอย่างนี้นะ
ทำให้กลืนอาหารไม่ค่อยจะลงนู่น พอกลืนเข้าไปลมมันดันเอาไว้
ก็เลยอาเจียนออกเสีย ก็มีบางคราวนะ
นี้รูปร่างกายอันนี้นะ มันจะมีอะไรจีรังยั่งยืน มันเกิดดับเกิดดับอยู่อย่างนี้
ไฟธาตุที่ย่อยอาหารละเอียดแล้ว มันก็ซึมซาบไปหล่อเลี้ยงรูปกายอันนี้ไว้
ทีนี้เมื่อเวลาถูกความร้อนเข้า
เช่น แดดแผดเผาเอาบ้าง ทำงานหนักเข้าไปอย่างนี้
ธาตุไฟมันแรง มันก็ขับน้ำอยู่ในกายนี่ออกมาตามขุมขน เหงื่อไคล
อย่างนี้แหละที่เรียกว่าเราเรียกกันว่าอาหารที่หล่อเลี้ยงร่างกาย
นอกจากมันออกทางทวารหนักทางทวารเบาแล้ว มันก็ออกตามรูขุมขนหมู่นี้


นี้รูปเกิดรูปดับ ให้พิจารณาเอา
เรารับประทานอาหารเข้าไป หล่อเลี้ยงรูปอันนี้ให้ทรงตัวอยู่ได้ เรียกว่ารูปเกิด
เมื่อไฟธาตุมันย่อยแล้ว เหลือแต่กาก ถ่ายเทออกไป เรียกว่ารูปดับ
มันเป็นอยู่อย่างนี้นะ รูปกายอันนี้
ถ้างดรับประทานอาหารเสียแล้ว รูปอันนี้ก็เหี่ยวแห้งเข้าไป
แตกดับทำลายไปเท่านั้นเอง มันไม่มีอะไรเลย


ดังนั้นนะให้พากันพิจารณา อันนี้ท่านเรียกว่าเจริญปัญญาวิปัสสนา
รู้จักแยกแยะรูปร่างกายนี้ออก ตามอาการนั้นๆ
ที่พระพุทธเจ้าทรงแยกแยะออกไว้ให้ดูแล้วนะ
ถ้าจะแยกส่วนไม่ละเอียดเท่าไร ก็พิจารณารูปกายทั้งหมดนี้
ให้เห็นเป็นแต่สักว่าธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประชุมกันอยู่เท่านั้น
ไม่ใช่ตัวตนเราเขาอะไร ตามหลักธรรมะที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้
ถ้าพิจารณาแยกแยะส่วนละเอียดออกไป
มันก็ต้องพิจารณานับตั้งแต่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้นไป
จนตลอดถึงอาการ ๓๒ นู่น แยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วนออกไป
ธาตุดินมี ๑๘
, ธาตุน้ำมี ๑๒, ธาตุไฟมี ๔, ธาตุลมมี ๖


มันต้องพิจารณาให้แยกแยะออก ตามอาการเหล่านี้ ต้องเรียนรู้ ต้องท่องจำ
สำหรับผู้เรียนนักธรรมนะ ไม่ควรจะไปลืมเลยธาตุเหล่านี้
ต้องนอกจากจดจำตามตัวหนังสือแล้ว
เมื่อมานั่งภาวนาอยู่ ทำใจสงบลงไปแล้ว
ก็เพ่งแยกแยะ อาการของร่างกายเหล่านี้ออกเป็นชิ้นเป็นส่วนออกไปดู
มันต้องอย่างนั้น มันจึงจะเห็นแจ้งลงไปว่า
ไม่มีสัตว์ไม่มีบุคคลตัวตนเราเขาอะไรอยู่ในนี้เลย
เมื่อเราแยกแยะเป็นชิ้นเป็นส่วนออกไปอย่างนั้นแล้ว
ผู้ที่ไม่ได้เรียนนักธรรม ก็ดูตำรับตำราเอา ท่องเอาให้ได้
เช่น อย่างผู้บวชชี บวชขาว มาอย่างนี้นะ
มันก็ต้องดูตำรับตำราแหละ พยายามท่องจำเอาให้ได้
แล้วเอาไปนั่งภาวนาเพ่งพิจารณาแยกแยะออกไป
แม้ผู้อยู่บ้านอยู่ช่องก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว
มันก็มีโอกาสที่จะต้องท่องต้องจำเอา
ลักษณะอาการของร่างกายอันนี้ให้ได้ มันต้องได้ถ้าพยายามนะ
แต่คนส่วนมากไม่ค่อยพยายามนะ มักจะเมินเฉยเสีย แล้วอย่างนี้นะ


จิตใจนี้นะมันจะพ้นจากรูปจากนามอันนี้ไปได้อย่างไรเล่า
ในเมื่อตนอาศัยรูปนามนี้อยู่แท้ๆ
แต่ไม่ได้รู้ลักษณะอาการของรูปของนามอันนี้ ตามเป็นจริง
แต่ถ้ารู้ก็รู้แบบลวกๆ รู้ไม่ละเอียด มันก็เลยไม่ยอมปล่อยวาง ไม่ยอมเบื่อหน่าย
ถ้าเพ่งพิจารณาให้มันรู้ละเอียดเข้าไป
นอกจากพิจารณาชิ้นส่วนของรูปกายอย่างว่านี้แล้ว
ก็ต้องพิจารณาถึงความไม่เที่ยงของมัน
พิจารณาถึงความไม่สะอาด
รูปกายทุกส่วนนี้ ไม่มีส่วนไหนสะอาดตลอดเวลาได้
มันสะอาดก็มีแต่ผิวหนังนี้แหละ
โดยอาศัยอาบน้ำชำระสบู่ถูขัดไคลให้ออกไปอยู่เสมอเท่านั้นแหละ
จึงปรากฏมองดูกันได้ว่ารูปร่างนี้มันสะอาด
แต่ถ้าลองไม่อาบน้ำสัก ๗ วัน ลองดูนะ ผิวพรรณภายนอกนี้จะคร่ำคร่าไปเลย
กลิ่นก็เหม็นออกมาแล้ว อย่างนี้นี่


ส่วนภายในนั้น มันก็โสโครกอยู่ตลอดเวลาเลย
ก็อาศัยหนังนี้หุ้มอยู่เท่านั้นเองนะ สิ่งโสโครกจึงไม่ปรากฏออกมา
แต่ถึงอย่างไรมันก็ปรากฏอยู่นั่นแหละ
แต่คนไม่ใส่ใจ เช่น น้ำลายน้ำมูกหมู่นี้ อุจจาระปัสสาวะหมู่นี้
มันก็หลั่งไหลออกมาอยู่อย่างนั้น เหงื่อไคลหมู่นี้
ถ้าผู้เอาใจใส่ ผู้มีสติ กำหนดรู้ไปทุกระยะไปอย่างนี้นะ
มันก็ไม่เห็นมีอะไรสวยงามสักหน่อยรูปกายอันนี้


อาศัยคนผู้ประมาท ไปหลงแต่ความนิยมสมมติของโลก
โลกคือหมู่มนุษย์ มันหลงกันเป็นส่วนมาก แทนที่มันจะรู้แจ้งน่ะมีน้อยเต็มที
บัดนี้ในเมื่อไปถือเอาตามความสมมติของโลกเข้า
โลกเขาสมมติว่ารูปนั้นสวย
เดี๋ยวก็เกิดประชันโฉมกันเรียกว่าประกวดนางงามหมู่นี้
ก็เลยหลงไปสมมติของเขาเข้าเลยติดใจพอใจ
อันหมู่นี้เรียกว่ามันหลงสมมติ จิตใจมันก็ข้องอยู่ในโลกอันนี้
จากโลกอันนี้ไปไม่ได้เลย


เพราะฉะนั้นแหละ อย่าพากันประมาท อย่าหลงสมมติ
คำว่าขี้ร้าย คำว่าสวยงาม มันก็เป็นเพียงแค่สมมติเอาขึ้นมาเท่านั้นเอง
แต่แท้ที่จริงแล้วรูปอันนี้ไม่มีอะไรขี้ร้าย ไม่มีอะไรสวยงามหรอก
ถ้าเพ่งให้ถึงปรมัตถธรรมนะ
แต่ถ้าเพ่งอยู่ในสมมติเท่านี้ มันก็มีนั่นแหละ
รูปที่น่ารักน่าชัง ตามสมมตินิยมของโลก
แต่ผู้ปฏิบัติธรรมให้ละเอียดลึกซึ้งเข้าไปแล้ว
มันต้องพิจารณาให้เลยสมมติบัญญัตินี้ไป ให้ถึงปรมัตถธรรม
คือความว่างจากสัตว์จากบุคคล มีแต่สภาวะธาตุอาศัยกันอยู่
เมื่อหมดเหตุหมดปัจจัยแล้ว มันก็แตกดับทำลายไปเท่านั้นเอง


นี่เราต้องพิจารณา เรื่องสมมติบัญญัติเหล่านี้ ให้มันแจ่มแจ้งในใจ
แล้วนั่นละ มันก็จะวางลงได้ จิตใจก็จะเป็นอุเบกขา
พร้อมด้วยญาณความรู้พร้อมด้วยสติ
กำหนดรู้เห็นไปอยู่ทุกเวลานาที ไม่หลงไม่ลืม
ส่วนใดเป็นสมมติบัญญัติ เราก็รู้ว่าเป็นสมมติบัญญัติ
ส่วนใดที่เป็นปรมัตถ์คือเป็นความจริง
ก็กำหนดรู้ให้มันถึงความจริงให้ได้แล้วก็สงบจิตอยู่.



กัณฑ์เทศน์ โดย พระครูสุทธิญาณโสภณ
ถอดเทป โดย พระมหาทวี ญาณวโร
วันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๖



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


จาก ธรรมโอวาท หลวงปู่เหรียญ ๙
ที่ระลึกงานทอดกฐินสามัคคี วัดป่าพิชัยวัฒนมงคล อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
วันอาทิตย์ที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๗. จัดพิมพ์โดยชมรมกัลยาณธรรม



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP