สารส่องใจ Enlightenment
เกิดมาอย่าเป็นคนหาประโยชน์มิได้
พระธรรมเทศนา โดย หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู
เราเกิดมาเป็นมนุษย์นับว่าเป็นอัตภาพอันสูงสุด
อันจะทำประโยชน์ให้แก่โลก แก่ญาติ และแก่ตน
ธรรมทั้งหลายไม่ได้อยู่ที่อื่น อยู่ที่ตัวเรานี้ที่มีใจเป็นใหญ่เป็นหัวหน้า
งานการทั้งหลายจะดีหรือจะชั่วล้วนสำเร็จอยู่ที่ใจ
จึงควรอบรมจิตใจให้มีสติให้ชำนิชำนาญ
ให้มีสัมปชัญญะประดับและประจำใจให้รู้เท่าต่ออารมณ์ที่มันเกิดขึ้น
ให้เห็นความเกิดตั้งอยู่และความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ก็จะเกิดความเบื่อหน่าย หายหลง ไม่เข้าไปยึดถือเอาก้อนกายทั้งก้อน
ว่าเป็นตัวเราของเรา ติดสมมุติว่าเป็นผู้หนุ่ม ผู้เฒ่า ผู้แก่ ซึ่งเป็นของสมมุติ
จิตรู้เท่าอารมณ์ ปล่อยวางในขันธ์ ไม่ยึดอำนาจความโลภ ความโกรธ ความหลง
ปล่อยวางชำระล้างอย่าให้มันเข้ามาครอบงำ
จะมีความสุขใจ เบิกบานใจ ใจหอม ใจไม่เน่า
ใจของผู้นั้นละอารมณ์ทั้งหลาย จิตผ่องแผ้วตั้งมั่นเป็นสมาธิ จิตสว่างไสวเป็นจิตสูง
ให้พากันทำเอาให้ได้ให้ถึง อย่าให้เกิดมาแล้วไม่ได้อะไรดีสักอย่าง
เกิดมามีแต่แก่ไป ตายไป ทับแผ่นดิน หาประโยชน์อันใดมิได้
เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นอัตภาพอันสูงสุด
อันจะทำประโยชน์ให้แก่โลก แก่ญาติ และให้แก่ตน
พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า “ช่วยให้ตนพ้นทุกข์เสียก่อนจึงค่อยสอนผู้อื่น”
ธรรมทั้งหลายไม่ได้อยู่ที่อื่น อยู่จำเพาะที่เราในร่างกายของเรานี้
ก่อนที่เราเข้าใจว่าเป็นของตน ที่จริงเป็นของกลาง
จะใช้ทางไหนก็ได้ ทำบุญก็ได้ ทำบาปก็ได้
ใครอยากไปนรกก็ทำบาปหนัก อยากไปสวรรค์ก็ทำบุญ มีอยู่สองทาง
ทำบุญก็เป็นกุศลธรรม ทำบาปก็เป็นอกุศลธรรม
กรรมเป็นเหตุทำให้ตกทุกข์ได้ยาก
กุศลกรรมทำให้อยู่ในสันดานของตนแล้วจะมีความสุข
“มโนปุพฺพํ คมา ธมฺมา มโนเสฎฺฐา มโนมายา”
ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า สำเร็จแล้วด้วยใจ
ทำความดีสำเร็จแล้วด้วยใจ ทำความชั่วก็สำเร็จแล้วด้วยใจ
ทำความชั่วเป็นเหตุให้ผู้ทำได้รับความลำบาก
มานะ คือ ใจอันมี โลภะ โทสะ โมหะ ครอบงำ เศร้าหมอง ขุ่นมัว
จะมีแต่ความทุกข์คอยติดตามเหมือนกับล้อเกวียนตามรอยตีนโคไปฉะนั้น
เพราะฉะนั้น พวกเราควรอบรมจิตใจให้มีสติให้ชำนิชำนาญให้แม่นยำ
ให้มีสติประดับประจำใจ จิตจะโน้มเข้าโอปนยิโก
โน้มเข้ามาพิจารณาร่างกายให้เห็นเป็นของกลาง
คนฉลาดใช้จิตน้อมทำความดี บำเพ็ญสมาธิภาวนา
อาศัยกายเป็นกัมมัฏฐาน ทำจิตให้คล่องแคล่ว ให้จิตเบิกบาน
จะทำการงานก็ดี จะไปไหนก็ดี
มีสติพิจารณาทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน
ความสุขย่อมติดตามผู้นั้นไปเหมือนกันกับเงาติดตามตน
การทำบุญทำความดีมีแต่ความสุข
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ละความชั่ว ทำความดี
ให้เป็นผู้หมั่นขยัน ไม่เกียจคร้าน อบรมใจของตนให้ผ่องแผ้วให้เบิกบาน
ถ้าใจเศร้าหมอง มีความโลภ ความโกรธ ความหลง ครอบงำแล้ว
มีแต่ความทุกข์ใจ เศร้าหมอง เรียกว่า ใจเน่า ใจบูด ใจดำ
ควรอบรมจิตให้เบิกบานร่าเริง ให้สบาย
ไม่ให้ใจตกอยู่ในอำนาจความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้ปล่อยวางชำระล้าง
อย่าให้มันเข้ามาครอบงำ จะมีความสุข ใจเบิกบาน ใจหอม ใจไม่เน่า
ใจของผู้นั้นละอารมณ์ทั้งหลาย
จิตผ่องแผ้วตั้งมั่นเป็นสมาธิ จิตสว่างไสวเป็นจิตสูง ให้พากันทำเอา
พวกเรามักพากันถือทั้งสองศาสนา ศาสนาหนึ่งเป็นศาสนาของมาร
สอนให้ลักเอา ขโมยเอา ปล้นเอา โกงเอา กอบโกยมันเอาให้ได้มากๆ
อีกศาสนาหนึ่งเป็นศาสนาของพระพุทธเจ้า
สอนว่าอย่าเป็นผู้โลภ ให้เป็นผู้สันโดษมักน้อย
อย่าไปโลภอยากได้ของของคนอื่นมาเป็นของตน
ความหลงเข้าไปยึดถือเอาก้อนกายทั้งก้อนว่าเป็นตัวเราของเรา
ติดสมมุติว่าเป็นผู้หนุ่ม ผู้เฒ่า ผู้แก่ ซึ่งเป็นของสมมุติ
ความโลภ คือ ความยินดี รักใคร่ อยากได้ในทรัพย์
ทั้งที่มีวิญญาณ สวิญญาณกทรัพย์ และไม่มีวิญญาณ อวิญญาณกทรัพย์
สมุทัย คือ เหตุให้เกิดทุกข์ เกิดจากตัณหา ความอยากได้ อยากเป็น อยากมี
อยากได้ เรียกว่า กามตัณหา ภวตัณหา ความอยากเป็น อยากมี
วิภวตัณหา ความไม่อยากได้ของที่ไม่รักไม่ชอบใจ
เช่น อารมณ์ที่ไม่ชอบใจ ความเจ็บ ความไข้
ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณาให้เห็นทุกข์เสียก่อน จิตสงบ
แล้วพิจารณาให้เป็นทุกข์ ทุกข์เป็นผล ผลมาจากเหตุ
เหตุคือ สมุทัย กามทั้งหลายเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
ความเกิดเป็นทุกข์ ความชรา ความเฒ่าแก่ พยาธิ ความเจ็บไข้ ก็เป็นทุกข์
มรณะ ความตายก็เป็นทุกข์
ความไม่สบายกาย ความทุกข์โทมนัส ความเสียใจ ความคับแค้นใจ เป็นความทุกข์
ความทุกข์เกิดในใจ เวทนาไม่ดีเกิดขึ้นในใจ
ความเสียใจโทมนัส เพราะไม่รับสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบใจก็เป็นทุกข์
ความพลัดพรากจากอารมณ์ที่รักที่ชอบใจก็เป็นทุกข์
ทุกข์ธรรมดา คือ ความทุกข์กาย ความเจ็บ ความปวด
เป็นสภาวะทุกข์อย่างหนึ่ง เป็นกฎของธรรมดา
ปกิณกทุกข์ คือ ทุกข์ที่จรมาครอบงำจิตใจของผู้ที่ไม่อบรมจิตใจ
เป็นเหตุให้หวาดสะดุ้ง กระสับกระส่าย ไม่สบายใจ
เพราะเหตุฉะนั้น พวกเราควรพากันอบรมจิตใจของตน
ให้มีสติสัมปชัญญะ ให้รู้เท่าต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้น
ทุกสิ่งในโลกนี้ที่มันเกิดขึ้น มีความเกิด ความตั้งอยู่
และความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ตกอยู่ในไตรลักษณ์
ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา อนิจฺจา ขันธ์ไม่เที่ยง
ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา ขันธ์นี้เป็นทุกข์
ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา อนตฺตา ขันธ์อันนี้ไม่ใช่ตัวใช่ตน ไม่ใช่บุคคล เราเขา
พิจารณาให้เห็นดังนี้ จะมีความเบื่อหน่าย เกิดความเบื่อหน่าย
ไม่มาหลงยึดถือว่าเป็นของตน พิจารณาให้เห็นทุกๆ ขณะจิต
จิตจะมีความเบื่อหน่ายในกามทั้งหลาย เบื่อหน่ายในภพ
เบื่อหน่ายในความโง่ความเขลาของตน
ครั้นมีความเบื่อหน่ายแล้ว จิตก็ไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ จิตปล่อยวาง
พิจารณาประการเดียว เราท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏไม่มีที่สิ้นสุด
นับภพนับชาติไม่ได้ นับไม่ถ้วน แล้วไม่ได้อะไรดีสักอย่าง
เกิดมามีแต่แก่ไปๆ ทับแผ่นดิน หาประโยชน์อันใดมิได้
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
จาก พระธรรมเทศนา ใน "อนาลโย ผู้ไม่มีความอาลัย"
ชีวประวัติ ปฏิปทา และพระธรรมเทศนา หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล จังหวัดหนองบัวลำภู. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรกฎาคม ๒๕๕๙
| < Prev | Next > |
|---|








