ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

แสงสว่างในสมาธิเป็นอย่างไร



ถาม – แสงสว่างในสมาธิเป็นอย่างไร จะเกิดช่วงไหนครับ
และใช่แสงแบบที่ตามองเห็นหรือเปล่า


คำว่าแสงของจิต เอาง่ายๆ เลยเรารู้สึกสว่าง นั่นแหละแสง
เรารู้สึกปลอดโปร่งนั่นแหละแสง
เรารู้สึกว่ามันไม่มืดไม่ทึบไม่มีความกระสับกระส่าย นั่นแหละแสง
เพราะว่าเดิมทีนะจิตมีแสงอยู่แล้ว
พระพุทธเจ้าตรัสว่าเดิมทีจิตมีความประภัสสร
หมายความว่ามีความส่องสว่าง มีความผ่องแผ้ว มีความผ่องใสนะครับ
ถ้าหากว่ามองดูโดยความเป็นจิตของมนุษย์แล้วนะ
ต่อให้ไม่รู้สึกตัวอะไรเลย แต่ถ้าหากว่าไม่มีมลทิน
ไม่มีอะไรเคลือบบังอยู่ ก็จะมีความสว่าง มีความผ่องแผ้วอยู่
นั่นเป็นเพราะว่าภวังคจิต
หรือว่าจิตพื้นฐานที่สุดของความเป็นภพมนุษย์ จะมีความเป็นกุศล


เริ่มต้นขึ้นมาไม่มีมนุษย์คนไหนเลยสักคนเดียวในโลก
ที่เกิดมา ถือกำเนิดเกิดมาเข้าท้องแม่ได้ด้วยอกุศลวิบาก เป็นไปไม่ได้เลย
ต้องอาศัยกุศลวิบากซึ่งเกิดจากการทำกรรมดีอย่างใดอย่างหนึ่งในอดีตชาติเท่านั้น
จะเป็นการทำดีเพราะว่าเคยให้ทานไว้
จะเป็นการทำดีเพราะตั้งใจงดเว้นจากการทำบาปทำชั่วห้าประการ
หรือว่าจะเป็นการทำดีเพราะได้เคยเจริญสติ เคยทำสมาธิ
จนกระทั่งเกิดมีความผ่องแผ้ว
ลักษณะของวิบากที่มันถึงเวลาเผล็ดผล
ในขั้นที่ว่าจะเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิ จะเคลื่อนมาสู่ความเป็นภพภูมิใหม่
ถ้าหากว่ากรรมดีอย่างใดอย่างหนึ่งมันถึงเวลาเผล็ดผลแล้ว
ก็จะให้เกิดการเนรมิตหรือว่าบันดาลธรรมชาติของจิต
ที่เป็นจิตดวงแรกในภพภูมิใหม่ซึ่งมีความสุขสว่าง ซึ่งมีความผ่องแผ้ว
นั่นแหละตรงนั้นแหละถึงเป็นเหตุผลว่า
ทำไมมนุษย์ถึงได้มีมนุษยธรรมอยู่ในใจทุกคน
ถึงแม้ว่าจะแกล้งทำเป็นไม่มีมนุษยธรรมก็ตาม
วันหนึ่งทำผิดทำบาปอะไรไปจะต้องเกิดความละอาย
จะต้องเกิดความรู้สึกผิด หรืออย่างน้อยที่สุด จะต้องแยกแยะออกว่าอะไรดีอะไรชั่ว
แต่จะแกล้งทำเป็นลืม ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ อันนี้คือกรรมใหม่


การที่เราฝึกรู้ลมหายใจก็ดี รู้อิริยาบถก็ดี จนกระทั่งเกิดความไม่ซัดส่าย
ไม่มีความไปเกี่ยวข้องกังวลกับเรื่องที่เป็นอกุศล เรื่องที่เป็นมลทินทั้งหลาย
ผลก็คือนะจิตจะค่อยๆ เข้าสู่ภาวะที่เป็นกุศล
เข้าสู่ภาวะที่รู้อยู่ได้ด้วยตนเอง ว่าสบายอกสบายใจ
ความสบายอกสบายใจ ความปลอดโปร่งนั่นนะ
ถ้าเราหลับตาลงเราจะรู้สึกว่าสว่างอ่อนๆ สว่างนวลๆ
นั่นคือความสว่างไม่ใช่อุปาทาน
แต่ว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เราสามารถประจักษ์อยู่กับใจตนเอง
ว่าธรรมชาติของจิตโดยเดิม ขอแค่ไม่มีความฟุ้งซ่าน ไม่มีความซัดส่าย
ก็จะมีลักษณะสว่างอ่อนๆ แบบนี้แล้ว


ความรู้สึกอย่างไรขอให้เอาตามนั้น
อย่าไปคิดถึงแสงสว่างแบบนีออน อย่าไปคิดถึงแสงสว่างแบบพระอาทิตย์
เพราะว่าเริ่มต้นขึ้นมา ถ้าจิตยังไม่ตั้งมั่นมากพอ
มันไม่ได้ออกมาเป็นโอภาส มันไม่ได้ออกมาเป็นแสงสว่างจัดจ้า
ต่อเมื่อจิตมีความนิ่งมีความตั้งมั่น
อย่างน้อยที่สุดเข้าขั้นอุปจารสมาธิที่มีปีติมีสุข นิ่ง เนียน นานพอสมควร
อันนี้แสงที่ออกมามันจะชัดเจนเลย
มันจะไม่สงสัยเลยว่าแสงของจิตหน้าตาเป็นอย่างไร
เพราะว่ามันจะแผ่จิต จิตจะแผ่กว้างออกไปนะครับ
แล้วก็มีความนิ่ง มีความวิเวกเยือกเย็น มีความรู้สึกสุขมาก ปีติมาก
ลักษณะของความซาบซ่านที่จิตมันรวมดวง
ก็จะสาดฉายความสว่างออกไปชัดเจนกว้างขวาง
แตกต่างจากตอนที่เราแค่รู้สึกเหมือนกับใจเปิดกว้างธรรมดาๆ ประเดี๋ยวประด๋าวนะครับ
ใจเปิดกว้างแต่ไม่ได้รวมดวง ยังไม่ได้ตั้งนิ่ง หนักแน่นมั่นคง
จะแค่รู้สึกไปว่าสว่างนวลๆ ไม่ได้สว่างจัดจ้า


เอาเป็นว่าถ้าหากเราจะสังเกตโดยความเป็นธรรมชาติของจิต
เอาแค่รู้สึกว่าสว่างอย่างไร เอาแค่นั้นนะครับ
เพื่อที่จะได้สังเกตว่าแสงสว่างแบบนั้นๆ อยู่ได้นานแค่ไหน
มีประโยชน์ที่สุดมันอยู่ตรงนี้นะ
เพื่อที่จะได้เห็นว่าแสงสว่างเป็นของไม่เที่ยง

ถ้าหากว่าเริ่มต้นขึ้นมาเราฝึกเราหัดที่จะดู โดยความเป็นอย่างนี้
ต่อไปเมื่อแสงสว่างเกิดขึ้นเต็มดวง มีความแจ่มจ้า เราก็จะไม่หลงไม่ติดใจ
แต่ถ้าหากว่าเราไปเฝ้าจดจ่ออยู่ตั้งแต่ต้นมือ
ว่าแสงสว่างเป็นอย่างนี้ มากหรือน้อย น่าพอใจมาก น่าพอใจน้อยกว่ากัน
ถ้าหากว่ามันจะตั้งอยู่ได้นาน เราจะมีความสุขมาก เราจะมีความพอใจมาก
ตั้งทิศทางไว้แบบนี้นะ ยิ่งสว่างขึ้นเท่าไหร่ยิ่งติดใจมากขึ้นเท่านั้น


แต่ถ้าหากว่าเริ่มต้น เราแค่เห็นด้วยอาการยอมรับไปตามจริงว่า
สว่างนวลๆ น้อยๆ ปลอดโปร่งธรรมดาๆ
แล้วเดี๋ยวปุ๊บหนึ่ง มันก็กลายเป็นมีคลื่นวกวนของความคิด
มาฉุดมาดึงมาทำให้ความสว่างนั้นล้มหายตายจากไป
แต่ถ้าไม่ได้สนใจ ไม่ได้ไปยินดียินร้าย
แป๊บหนึ่งนะความไม่ฟุ้งซ่าน มันก็จะพาให้ความสว่างนวลๆ นั้นกลับมาใหม่
สังเกตโดยความเป็นอย่างนี้ มันจะรู้สึกว่าความสว่างไม่ได้มีความน่าติดใจอะไรเลย
แต่การสามารถที่จะเห็นความไม่เที่ยงของความสว่างต่างหาก

นี่แหละตรงนี้น่าติดใจกว่า เพราะว่าอะไร
เพราะว่าเมื่อเห็นความไม่เที่ยงของความสว่างแล้ว
เกิดปัญญาเกิดความรู้สึกว่าใจ มันถอยออกมาจากการยึดมั่นถือมั่น
ยิ่งสว่างมากเราก็ยิ่งที่จะมีความสามารถที่จะเห็นความไม่เที่ยงของมัน
ตอนที่มันเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนขึ้น
ความพอใจมันจะเป็นไปตามทิศทางนี้นะครับ

ไม่ใช่ไปปลูกฝังความรู้สึกติดใจในแสงสว่างเข้าโดยไม่รู้ตัว


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP