สารส่องใจ Enlightenment

อาศัยตัณหาละตัณหา (ตอนที่ ๒)



พระธรรมเทศนา โดย พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
วัดอรัญญบรรพต อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย



อาศัยตัณหาละตัณหา (ตอนที่ ๑)



เพราะคนเราเกิดมาแล้วต้องกินต้องใช้ ไม่มีปัจจัยสี่บำรุงร่างกายอันนี้ก็อยู่ไม่ได้เลย
ทีนี้คนที่บุญน้อยปัญญาก็น้อย เกิดมาอยู่ในฐานะยากจน
ไม่สมบูรณ์ด้วยลาภสักการะต่างๆนี้
นี่แหละเป็นเหตุให้บุคคลไปทำบาป แสวงหาอาหาร การบริโภคก็ดี
ต้องไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตในการแสวงหาผ้านุ่งผ้าห่ม
ถ้าจะต้องการหาผ้านุ่งผ้าห่มที่ราคาแพงๆ ตนก็ไม่มีเงิน
เงินก็ไม่พอค่าผ้านุ่งผ้าห่มเหล่านั้น จำเป็นต้องไปวางแผนลักเอาจี้ปล้นเอาอย่างนี้นะ
เครื่องประดับประดาต่างๆ ก็เหมือนกัน


เมื่อบุคคลอยู่ในฐานะยากจน
แต่ว่าตัณหาความอยากนั้น มันทำอยากเกินภูมิเกินฐานะของตน
ต้องไปจี้ไปปล้นเอาของเขามา
มันก็เป็นบาปเป็นกรรมแหละบัดนี้ เป็นอย่างนี้แหละ
การเกิดมาในโลกนี้ ถ้าเป็นบุคคลผู้มีบุญกุศลหนหลังแต่ก่อนนั้น
มาสนับสนุนให้ร่ำรวยขึ้นมาแล้ว
บัดนี้ถ้าหากว่าคนผู้นั้นไม่ได้คบหาสมาคมกับนักปราชญ์ในพระพุทธศาสนา
ไม่ได้ฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ต้องตกเป็นทาสของตัณหาอุปาทานอีกแล้ว
มีสมบัติมามากๆ ก็หวงแหน บัดนี้มีเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักอิ่ม มีแต่หามาเรื่อย


บัดนี้คนไม่รู้อย่างว่านั้นนะ ไม่รู้บาปรู้บุญนะ
มีเงินก็ใช้เงินเป็นอำนาจข่มขี่คนยากคนจน ขูดรีดเอาจากคนจน
มาสะสมไว้ให้มันมากที่สุดเท่าที่จะมากได้
รวมความเรียกว่าทั้งคนรวยและคนจนเมื่อไม่มีศีลไม่มีธรรมอยู่ในใจแล้ว
ก็หาเลี้ยงชีพโดยทางทุจริตเหมือนกันหมดเลย สร้างบาปสร้างกรรมใส่ตนทั้งนั้นเลย


ทีนี้ว่าถ้าหากผู้ใดเป็นคนร่ำรวย มีเงินมีทองมาก
แล้วเป็นผู้มีสติปัญญา ได้สดับตรับฟังคำสอนของพระพุทธเจ้ามาแต่ก่อนเช่นนี้
ก็แสวงคบหาสมาคมกับนักปราชญ์บัณฑิต
หรือไปสมาคมกับพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ท่านจะได้แนะนำในทางที่ถูกต้องในการทำมาหาเลี้ยงชีพ
ท่านจะได้แนะนำชักจูงให้ถือสันตุฏฐี ตามมีตามได้
ก็จะได้ตัดทอนตัณหาอันท่วมท้นจิตใจอยู่นั่นให้เบาบางออกไป
เมื่อตัณหามันเบาบางไปแล้ว ก็จะไม่ได้ทำบาป
ไม่ได้เบียดเบียนบุคคลผู้อื่นและสัตว์อื่นให้เป็นทุกข์เดือดร้อน


เพราะฉะนั้นน่ะ อันนี้นะพูดถึงความเป็นผู้เห็นความสำคัญในความเป็นมนุษย์ของตน
ไม่ยอมเหยียดตัวเองให้ตกต่ำลงไป มีแต่ยกตัวเองให้สูงขึ้นด้วยศีลด้วยธรรม
แม้จะเป็นคฤหัสถ์ ก็ดำรงชีวิตอยู่ด้วยศีลด้วยธรรม
ทำมาหาเลี้ยงชีพ ก็หาเลี้ยงชีพโดยทางที่ชอบด้วยศีลด้วยธรรม
ถ้าผิดศีลผิดธรรมแล้วก็ไม่แสวงหา แสวงหาให้ถูกศีลถูกธรรม
แม้จะได้ไม่มากก็ไม่เป็นไร ได้เท่าไหร่เราก็บริโภคใช้สอยเท่านั้น
เพราะว่าร่างกายสังขารอันนี้ แม้จะบำรุงมันด้วยปัจจัยสี่ฟุ่มเฟือยเท่าไหร่
มันก็ไม่จีรังยั่งยืน ถึงเวลามันชำรุดทรุดโทรมมันก็ชำรุดไปอยู่อย่างนั้น
ถ้าไม่เป็นอย่างว่าพวกเศรษฐีทั้งหลายก็คงจะมีอายุยืนกว่าคนธรรมดาสามัญนะ ลองคิดดู


แต่นี้เศรษฐีบางคน อายุยังไม่ยืนเท่าคนยากคนจนด้วยซ้ำไปก็มีอยู่
นี่คนมีปัญญามันต้องรู้จักเปรียบเทียบกัน
ดูแล้วมันจะทำให้ความอยากเหล่านั้นมันบรรเทาลง จะได้ไม่ทำบาป
แม้คนร่ำรวยก็เหมือนกัน เมื่อมาพิจารณาเห็นสังขารร่างกายอันนี้
ไม่จีรังยั่งยืนแล้วเช่นนี้ มันก็จะบรรเทาความอยากลงได้
ความอยากไปในทางทุจริต
อ้าว ไม่ทราบว่าจะไปกอบโกยเอาสมบัติภายนอกอันนี้ในทางทุจริตมาทำไมเล่า
ในเมื่อร่างกายนี่นะ มันชำรุดทรุดโทรมไปอยู่เรื่อยๆ อยู่อย่างนี้
เมื่อสะสมสมบัติไว้กองใหญ่ๆ แล้วบัดนี้ ตัวเองก็ตายไปเสีย
ไม่ทันได้บริโภคสมบัติไปได้นมนานอะไรเลยอย่างนี้
มันจะดีที่ไหนล่ะ ตายแล้วก็ไปตกนรกอย่างนี้


บางคนก็อ้างว่าทำไว้เผื่อลูกเผื่อหลาน
แล้วทีนี้ลูกหลานเขาไปช่วยฉุดดึงเราออกจากนรกได้หรือไม่
เมื่อตนไปตกนรกนะ ไม่มีทาง คนเรามันไม่คิดนี่
เพราะฉะนั้น ก็จึงแสดงความคิดเห็นไว้ในที่นี้ ให้ผู้ฟังได้เอาไปคิด
เมื่อมันคิดได้อย่างนี้แล้ว มันก็ไม่ต้องเห็นแก่ลูกแก่หลาน ลูกอะไร
ลูกก็ดีหลานก็ดีเลี้ยงเขาใหญ่มาแล้ว
สงเคราะห์เขาให้ได้ศึกษาเล่าเรียนมีวิชาความรู้แล้วอย่างนี้
เขาหาเลี้ยงตัวเองได้เลย ไม่จำเป็นต้องไปสะสมเงินทองก้อนใหญ่ๆ อะไรไว้ให้เขา


จริงอยู่ เงินทอง ถ้าหากได้มาด้วยบุญ ได้มาโดยทางสุจริตแล้ว
แม้มากเท่าไหร่มันก็ไม่เป็นบาปเป็นโทษ มันก็ไม่พาไปสู่นรกอบายภูมิ
อันนั้นนับว่าน่าสรรเสริญ บุคคลผู้นั้นชื่อว่าได้ทำบุญมาแต่ก่อนมากมาย
พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนสรรเสริญคนมีปัญญา
สามารถทำความดีใส่ตนให้เจริญรุ่งเรืองด้วยลาภยศ สรรเสริญต่างๆ ได้
ไม่ใช่พระองค์ทรงตำหนิคนมีบุญนะทรงสรรเสริญอยู่
พระองค์ทรงตำหนิแต่คนมีบาปเท่านั้นเอง


คนทำบาปคนไม่รักตัวเองเช่นนี้แหละ คนไม่ฝึกฝนจิตใจตัวเอง
ไม่ตัดทอนความอยากให้เบาบางออกไปจากจิตใจของตนเอง
ทรงตำหนิว่าเป็นผู้ทำลายความสุขความเจริญของตัวเองให้ย่อยยับลงไป
ปล่อยให้ตนเองเป็นทุกข์เดือดร้อนไปในสงสารนี้ ดังนั้นแหละ
พุทธบริษัททั้งหลาย ก็ให้รู้จักละเหตุแห่งทุกข์
ให้ได้ศึกษาเรื่องเหตุแห่งทุกข์ให้เข้าใจ
ไม่ใช่อื่นไกลอะไรเลย ตัณหาลูกเดียวนี่แหละ เป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์
เมื่อความอยากนี่มันมีแล้ว กิเลสอย่างอื่นมันก็เกิดตามกันมาแหละ
ความโกรธ มันก็เกิดมาจากตัณหา ความอยากนี่เอง
ความหลงมันก็เกิดมาจากตัณหานี้


เมื่อความอยากมันท่วมท้นจิตใจแล้ว
มันก็ทำให้เมาแล้ว ทีนี้นะ ได้เท่าไหร่มาก็ไม่พอแล้ว เมาไปเรื่อยๆ ไป
เหมือนอย่างคนดื่มเหล้า พอดื่มไปมันเมาไปแล้ว คล้ายๆ กับว่ามันไม่เมาบัดนี้
ก็ดื่มเพิ่มเติมไปเรื่อยไปๆ จนว่าเดินไม่ได้จนว่าอาเจียนออกมานู่นนะ
ตัณหาก็เหมือนกันอย่างนั้นแหละ
ถ้าหากว่าปล่อยให้มันอยากไปเท่าไหร่ มันไม่มีเวลาพอเลย
มันอยากเรื่อยไปอย่างนั้นแหละ
ในที่สุดก็ทำให้บุคคลผู้นั้นสร้างบาปกรรมเวรใส่ตนเอง
เพราะความอยากอันไม่มีสิ้นสุดนั้นแหละ ก็ไปไหม้อยู่ในอบายภูมิโน่น
เมื่อบุคคลมาละความอยากนี้ให้เบาลงไปเท่าใด ความทุกข์มันก็เบาไปเท่านั้น
ถ้าละความอยากอันนี้ได้หมด ความทุกข์ทางจิตใจนี่ก็หมดไป

ดังแสดงมา.



กัณฑ์เทศน์ โดย พระครูสุทธิญาณโสภณ
ถอดเทป โดย พระมหาทวี ญาณวโร
วันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๖



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


จาก ธรรมโอวาท หลวงปู่เหรียญ ๙
ที่ระลึกงานทอดกฐินสามัคคี วัดป่าพิชัยวัฒนมงคล อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
วันอาทิตย์ที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๗. จัดพิมพ์โดยชมรมกัลยาณธรรม



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP