สารส่องใจ Enlightenment
สารธรรมของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ (ตอนที่ ๕)
พระธรรมเทศนา โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี
เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๓๐
สารธรรมของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์(ตอนที่ ๑) (คลิก)
สารธรรมของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ (ตอนที่ ๒) (คลิก)
สารธรรมของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์(ตอนที่ ๓) (คลิก)
สารธรรมของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์(ตอนที่ ๔) (คลิก)
วันนี้ได้กล่าวถึงเรื่องสารธรรม
ที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงอุบัติขึ้นมานี้มากต่อมาก
นี่คือหลักความจริง ไม่มีอันใดที่จะคัดค้านต้านทานหรือลบล้างได้
และยังจะเป็นไปอีกตลอดไป เช่นพระพุทธเจ้าของเรานี้ผ่านไปแล้ว
ท่านก็บอกไว้อีกว่าพระศรีอารยเมตไตรยจะลงมาตรัสรู้ต่อไปอีก
นั่น ในภัทรกัปนี้มีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ท่านก็บอกเอาไว้
ใครเป็นคนบอก คนโง่มาบอกได้ยังไง
ศาสดาเป็นผู้บอกเป็นผู้สอนโลก เป็นผู้ทำประโยชน์ให้โลกมามากต่อมาก
ทำโลกให้ดีให้วิเศษให้เลิศเลอมามากต่อมากแล้ว
ทำไมจะพูดสิ่งเหล่านี้ผิดๆ เพี้ยนๆ และหลอกลวงต้มตุ๋นโลกไปได้เล่า
เป็นไปไม่ได้ หลักความจริงมีอย่างนั้น
จากนั้นพระพุทธเจ้าก็จะมีต่อไปอีกโดยลำดับลำดา อย่าว่าแต่ที่เป็นมาแล้วเลย
เมื่อเป็นเช่นนั้นทำไมจะไม่มีจำนวนมากเป็นล้านๆ ล้านๆ ล่ะ
ก็เพราะความจำเป็นของสัตว์โลกที่คอยพึ่งอยู่
เหมือนกับหมอกับยา หมอเดินผ่านมาเท่านั้นคนไข้ยิ้มแย้มแจ่มใส
ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้สัมผัสสัมพันธ์กับหยูกกับยาเลย เพราะอะไร เพราะหวังพึ่ง
มันจะเป็นจะตายจริงๆ โรคภัยไข้เจ็บมันบีบบังคับ ทำไมจะไม่เห็นหมอเป็นเทวดา
เห็นหยูกเห็นยาเป็นสวรรค์ชั้นฟ้าชั้นพรหมไปล่ะ มันต้องเห็น
เมื่อคนจะตายแล้วเป็นอย่างนั้น นี่ก็เหมือนกันอุปนิสัยสามารถมีอยู่
เห็นโทษเห็นทุกข์เต็มหัวใจแต่หาทางออกไม่ได้
เมื่อมีผู้มาชี้แจงทางออกทำไมจิตจะไม่กระหยิ่มล่ะ แล้วก็หลุดพ้นไปจนได้นั่นแล
นี่ละความจำเป็นของสัตว์โลกมีอยู่อย่างนี้
พระพุทธเจ้าจึงต้องเป็นมาอย่างนั้น
เพราะสิ่งที่บีบบังคับให้สัตว์โลกได้ดิ้นรนกระวนกระวาย
หาที่หลบที่ซ่อนหาที่หลีกหาที่หลุดพ้นมีอยู่นี่
คืออะไร คือกิเลส มันบีบบังคับหากาลหาเวลาได้ที่ไหน มีขอบมีเขตเมื่อไร
ไม่มีเบื้องต้นไม่มีเบื้องปลายก็คือกิเลสนั่นเอง
บีบบังคับจิตใจของสัตว์โลกแต่ละดวงๆ ไม่มีว่างจากธรรมชาตินี้เลย
นอกจากพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนั้น เวลาพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาทำไมจะไม่รื่นเริงบันเทิง ไม่ดีอกดีใจ
ทั้งๆ ที่ทุกข์บีบบังคับอยู่ก็ยิ้มแย้มแจ่มใสได้
เพราะความหวังเต็มหัวใจนั้นละพาให้ยิ้มแย้มแจ่มใส ว่าจะมีหวังพ้นทุกข์ไปได้
เหมือนกับเรามองเห็นหมอและยานั้นแหละ ทั้งๆ ที่ยังไม่รักษาก็ยิ้มแล้ว
หวังแล้วว่าจะหายจากโรคเพราะยาเพราะหมอ คนไข้หนักเป็นอย่างนั้น
นี่ก็เหมือนกัน ผู้ที่เห็นภัยในวัฏทุกข์ในวัฏสงสารนี้มีจำนวนไม่น้อย
ดังที่กล่าวแล้วนี้ ท่านเหล่านี้เองเป็นผู้ที่กระหยิ่มมากที่สุดยิ่งกว่าใครๆ
พอได้ยินได้ฟังธรรมเท่านั้นก็พุ่งเลย นี่เป็นอย่างนี้
นี่คือหลักความจริงที่ประจำโลกมานานแสนนาน และยังจะเป็นไปอีกตลอด
ถ้าหากไม่มีธรรมเป็นเครื่องแก้เครื่องปลดเปลื้องแล้ว
โลกนี้จะหาเงื่อนต้นเงื่อนปลายไม่ได้
หมุนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้ตลอดกี่กัปกี่กัลป์ ไม่มีทางที่จะนับได้เลย
แต่เมื่อมีธรรมมาตัดให้ขาดวรรคขาดตอนไป ภพชาติก็ย่นเข้ามาๆ
สุดท้ายก็ผ่านไปได้พ้นไปได้ เพราะอำนาจแห่งธรรมคือความดีงามที่ตนได้สร้างมา
พวกเราทั้งหลายได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาจะให้เลิศเลอขนาดไหนอีก
ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ความดีทำที่ไหนได้ทั้งนั้น
เวลานี้มาปฏิบัติจิตตภาวนา เอ้า จิตไม่รวมก็ตาม
ความดีเราทำลงไปมันต้องได้ความดี และยิ่งเห็นประจักษ์ด้วยแล้ว
มันก็ยิ่งพุ่งๆ จนกระทั่งหลุดพ้นไปโดยสิ้นเชิง
หมดปัญหาโดยประการทั้งปวงในบรรดาที่ว่าวัฏจักรวัฏจิตที่เคยเป็นมาแล้ว
เป็นอันว่าขาดสะบั้นไปจากจิตใจ
ต่อไปจะเป็นไปอีกไหม รู้ได้ชัดๆ ภายในจิตใจ
เพราะฉะนั้นท่านผู้รู้ธรรมถึงขั้นอรหัตภูมิแล้ว
ไม่สามารถที่จะนำจิตเป็นวัฏจิตวัฏจักรนั้น
มาวินิจฉัยใคร่ครวญมาแสดงได้อย่างเต็มปากเต็มหัวใจได้ยังไง ก็ท่านเป็นผู้เป็นเสียเอง
เวลากิเลสมัดหัวใจท่านก็เป็นมา
ตะเกียกตะกายท่านก็เคยตะเกียกตะกายมาแล้ว
เพราะอำนาจของกิเลส สู้กิเลสไม่ได้ ต้องได้ตะเกียกตะกายล้มลุกคลุกคลาน
มีแต่ความทุกข์ความทรมานเพราะกิเลสบีบบังคับ
ท่านก็รู้แล้วท่านก็เป็นมาแล้ว แต่เวลาได้ชำระกิเลสเป็นลำดับลำดา
จนกระทั่งกิเลสสิ้นไปๆ ขาดสะบั้นลงไปจากใจ
ไม่มีเงื่อนใดที่จะมาต่อมาเสริมมาบีบบังคับอีกแล้ว ท่านทำไมจะไม่รู้
เมื่อท่านรู้อย่างประจักษ์ใจของท่านแล้ว ทำไมท่านจะพูดไม่ได้ มันอยู่กับจิต
ไม่มีอะไรเกินจิตที่จะรู้ ยิ่งจิตที่หลุดพ้นด้วยแล้ว
ยิ่งเป็นจิตที่ฉลาดแหลมคมที่สุด ไม่มีจิตดวงใดเสมอเหมือนเลย
ท่านจะไม่รู้ได้ยังไงว่าความหลุดพ้นเป็นอย่างไร
และสิ่งที่พาให้เกิดแก่เจ็บตายหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงคืออะไร
ก็ท่านรบกับสิ่งเหล่านี้มาแล้วนี่ จนถึงจะเป็นจะตาย
เวลาหลุดพ้นจากกันขาดสะบั้นจากกันระหว่างกิเลสกับจิต
ที่พาให้เกิดแก่เจ็บตายนั้น ได้หลุดพ้นหรือได้ขาดสะบั้นจากกัน
ทำไมท่านจะไม่รู้และทำไมท่านจะพูดไม่ได้
ท่านไม่เอาความจริงทั้งหลายที่เป็นอยู่ในหัวใจท่านเอง
มาแสดงให้โลกทั้งหลายได้ทราบ ท่านจะไปเอาที่ไหน
พระพุทธเจ้าท่านก็เอานั้นเองละ
พระสาวกทั้งหลายท่านก็เอาความจริงของท่านที่รู้ที่เห็นที่เป็นมาแล้วนั้นแล
สั่งสอนสัตว์โลกให้ได้รู้จริงเห็นจริง
ผู้ที่เชื่อตามพระพุทธเจ้าก็ค่อยตะเกียกตะกายไป
ค่อยผ่านไปๆ สุดท้ายก็ผ่านพ้นไปโดยไม่ต้องสงสัย
เพราะธรรมนี้เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว
ชอบเพื่อจะให้ได้รับความดีงามทั้งหลาย
จนกระทั่งถึงความพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียวเท่านั้น
ไม่มีคำหลอกลวงต้มตุ๋นแฝงอยู่แม้แต่น้อยเลย
นี่ละธรรมเป็นความจำเป็นต่อโลกอย่างนี้เอง
เราได้มาพบพระพุทธศาสนา และได้มาบวชในพระพุทธศาสนาในเวลานี้
ให้บำเพ็ญตัว อย่าคิดกังวลวุ่นวายกับสิ่งใด
นอกจากความดีที่เรามุ่งหมายเข้ามาบวชนี้เท่านั้น
เวลาบวชนี้เป็นสำคัญ ออกจากนี้ไปแล้วกิจการงานนี่ยุ่งเหยิงวุ่นวายหาเวลาไม่ได้
เดี๋ยวกิเลสก็มาหลอกซ้ำเข้าไปอีก มาก็เหนื่อยเมื่อยล้า ทำงานอะไรไม่ได้
ทำความดีไม่ได้ ภาวนาไม่ได้ ก็ได้ยินแต่เสียงดังครอกๆ อันนั้นได้
นั่น แล้ววันหนึ่งคืนหนึ่งก็เป็นแบบเดียวกันๆ เสียเวล่ำเวลาไป
สุดท้ายตายเปล่าๆ เกิดประโยชน์อะไร
นี่เวลานี้ไม่ใช่แบบนั้น เป็นเวลาที่เราจะบำเพ็ญคุณงามความดีให้เกิดขึ้นกับใจของเรา
จึงอย่าได้พากันนอนใจ ให้อุตส่าห์พยายาม
เชื่อปราชญ์จอมฉลาดที่สุดคือศาสดาองค์เอกนี่
เราจะได้เป็นศิษย์ที่มีครู วัฏวนก็จะย่นเข้ามา
ความดีทั้งหลายที่จะทำให้เราเกิดสุขก็จะเป็นที่หวังของเรา
เพราะการสร้างความดีของเรา
เอาละ การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควร ขอยุติเพียงเท่านี้
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
จาก พระธรรมเทศนา "สารธรรมของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์"
ใน ก้าวเดินตามหลักศาสนธรรม เทศน์ภาคปฏิบัติ
โดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี
< Prev | Next > |
---|