สารส่องใจ Enlightenment

สารธรรมของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ (ตอนที่ ๒)



พระธรรมเทศนา โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี
เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๓๐




สารธรรมของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ (ตอนที่ ๑) (คลิก)



ที่นี่ย่นเข้ามาถึงพระพุทธเจ้าของเราที่มาตรัสรู้นี้ก็เช่นเดียวกัน
พอตรัสรู้ทีแรกเท่านั้นก็ทรงเล็งญาณแล้ว
ฟังซิ นี่แหละพระญาณของพระพุทธเจ้า มีประจำทุกๆ พระองค์ที่พอเหมาะพอสม
ซึ่งจะพิจารณาดูสัตว์โลกว่ารายใดควร รายใดไม่ควร
ใกล้ไกลขนาดไหน ช้าเร็วเพียงใด
ทรงพิจารณาด้วยพระญาณแล้วก็หยั่งทราบ
ดังที่ทรงเล็งญาณดูดาบสทั้งสองที่เคยเป็นครูเป็นอาจารย์ท่านมา
ในครั้งที่ทรงบำเพ็ญคือ อุทกดาบสและอาฬารดาบส
ก็ทรงทราบว่าได้สิ้นไปเสียแล้วตั้งแต่วานนี้น่าเสียดาย
ถ้ายังมีชีวิตอยู่ ก็ ๒ องค์นี้แลจะเป็นอันดับหนึ่ง
ในการบรรลุธรรมตามพระพุทธเจ้า หรือว่าเป็นปฐมสาวก


เมื่อทรงเล็งญาณเห็นว่าสุดวิสัยที่จะแก้ไขได้แล้ว
จึงได้หันไปทางเบญจวัคคีย์ทั้งห้า นี่เป็นปฐมฤกษ์ของการตรัสรู้แห่งพระพุทธเจ้า
ด้วยการมาแสดงธรรมโปรดเบญจวัคคีย์ทั้งห้านี้
ซึ่งพร้อมแล้วเพราะเป็นประเภทอุคฆฏิตัญญู
พร้อมที่จะบรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็วในเมื่อธรรมของพระพุทธเจ้าเข้าสู่ใจเท่านั้น
ในหลักธรรมท่านก็แสดงไว้แล้วในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
นี่คือองค์แห่งอริยสัจที่เป็นเครื่องกลั่นกรองสัตว์ทั้งหลาย
หรือจิตของสัตว์ผู้ใคร่ต่อธรรม ให้ได้หลุดพ้นไปได้โดยไม่ต้องสงสัย
อริยสัจนี้จึงเป็นความสำคัญมาก
ทุกฺขํ อริยสจฺจํ นี่ย่อๆ ลงมา สมุทัย อริยสจฺจํ นิโรธ อริยสจฺจํ
และ มคฺค อริยสจฺจํ นี่ธรรม ๔ ประเภทนี้


เมื่อพระองค์ทรงแสดงให้เห็นในสิ่งที่ผิด กามสุขัลลิกานุโยค และอัตตกิลมถานุโยค
ทั้งสองประเภทนี้เป็นทางผิด ไม่ใช่ทาง
แล้วก็แสดงทางที่ถูกต้องดีงาม
อันเป็นทางที่เหมาะกับการบรรลุธรรมได้โดยไม่ต้องสงสัย
จึงยกมัชฌิมาปฏิปทาอันเป็นเรื่องของมรรคขึ้น
พร้อมกับการแสดงทุกข์ สมุทัย

ให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นโทษเป็นภัยจะแก้ไขด้วยวิธีใด
ได้ทรงแสดงมรรคอริยสัจจะขึ้นมา
ในธรรมจักรท่านแสดงเป็นเชิงตั้งปัญหาถาม
แล้วพระองค์ก็ทรงแสดงเอง เช่น เสยฺยถีทํ มรรคนั้นคืออะไร เป็นอย่างไร
นั่นถ้าแปลออกจากคำถามแล้ว คือ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปโป เรื่อยไปเลย
อธิบายถึงเรื่องสัมมาทิฐิคือปัญญาความเฉลียวฉลาด
สัมมาสังกัปโปก็เช่นเดียวกัน จนกระทั่งถึงสัมมาสมาธิ
นี่คือองค์ของมรรค เป็นเครื่องแก้เป็นเครื่องสังหารสมุทัย
คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เป็นสำคัญ


เมื่อทรงแสดงให้เบญจวัคคีย์ทั้งห้าให้ทราบอย่างถึงใจแล้ว
พระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้บรรลุธรรม
เรียกว่าขั้นเริ่มแรกแห่งอริยธรรม เป็นพระโสดาบันขึ้นมาด้วยอุทานว่า
ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ
สิ่งใดก็ตามเกิดแล้วต้องดับทั้งนั้น
นี้เป็นเครื่องถึงใจท่าน จนถึงกับได้บรรลุธรรมขั้นนี้ขึ้นมา
เป็นที่แน่ใจที่สุด สุดภูมิของธรรมขั้นนี้ หลังจากนั้นก็ทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร
นี้ล้วนแล้วแต่แสดง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ซึ่งก็รวมลงในอริยสัจ ๔ นี้เหมือนกัน
แต่เป็นธรรมอันละเอียดสุขุมมากจนเข้าถึงจิต
เป็นผลให้ได้บรรลุธรรมขึ้นมาทั้ง ๕ องค์ในเบญจวัคคีย์นั้น


นี่คือท่านผู้ได้บรรลุธรรมอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เป็นลำดับลำดาไปดังที่เราเห็นแล้ว
แต่ไม่จำเป็นจะต้องบรรยายไปมากมายว่า
คณะนั้น องค์นั้นๆ เป็นอันดับนั้นๆ ต่อไป ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกันนี้
ธรรมะที่เหมาะสมกับจริตนิสัยของผู้ใดพระองค์จะนำธรรมะประเภทนั้นขึ้นมาแสดง
เช่นเดียวกับโรคเหมาะสมกับยาประเภทใด
หมอที่เรียนมาอย่างช่ำชองแล้วจะทราบเอง
และนำยานั้นมาปฏิบัติต่อโรคของคนไข้รายนั้นๆ ไปเอง
จนกระทั่งหายได้โดยไม่ต้องสงสัย นี่พระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน


นี่ละธรรมทรงแสดงมาเป็นลำดับลำดา
เวลาพระองค์ประกาศพระศาสนาด้วยพระองค์เองอยู่นั้นเป็นเวลา ๔๕ ปี
ใน ๔๕ ปีนี้ไม่มีเวล่ำเวลา ถ้าหากพูดตามภาษาเราก็ว่า
ที่จะพักผ่อนหย่อนกายให้สะดวกสบายเหมือนโลกทั่วๆ ไปนั้นไม่ได้แล้ว
มีแต่การแต่งานที่เกี่ยวกับสัตว์โลกทั้งนั้น
ไม่ว่ากลางวัน กลางคืน ยืนเดินนั่งนอนท่านจึงมีพุทธกิจ ๕ ไว้
เรียกว่าเป็นงานประจำพระพุทธเจ้า
แปลออก ๕ ประการ นี่ดังนี้เป็นสำคัญ คือ
เวลาบ่าย ๓-๔ โมงเย็นลงไปแล้ว ประทานพระโอวาทแก่พ่อค้าประชาชน
มีพระมหากษัตริย์เป็นสำคัญ ลงมาโดยลำดับจนถึงประชาชนทั่วๆ ไป
พอตกตอนค่ำเข้ามาก็ประทานพระโอวาทแก่พระสงฆ์
คือเทศนาว่าการให้พระสงฆ์ทั้งหลายได้ทราบ
แล้วได้ผลเป็นที่พอใจตามภูมิของตน
พอเที่ยงคืนก็ทรงแสดงธรรมและแก้ปัญหาแก่เทวดาชั้นต่างๆ
ที่มาเฝ้าพระพุทธเจ้าและสดับธรรม ตลอดถึงการทูลถามปัญหาในแง่ต่างๆ
พระองค์ประทานพระโอวาทแก่เทวดาทั้งหลาย
นับตั้งแต่ภุมมเทวดาขึ้นไปจนกระทั่งถึงพรหมโลก
รวมแล้วเรียกว่า เทวดา เป็นคำที่รวมแห่งเทพทั้งหลาย
ทรงแสดงให้เป็นที่เข้าใจๆ โดยลำดับ นี่ตั้งแต่ ๖ ทุ่มล่วงไปแล้ว


พอปัจฉิมยามก็ทรงเล็งญาณดูสัตวโลก ว่ารายใดที่จะบรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็ว
แต่จะถึงความสิ้นชีวิตเสียก่อนในเวลาที่กะทันหัน
พูดง่ายๆ พระองค์ก็จะเสด็จไปโปรดรายนั้นก่อน
เพื่อไม่ให้เสียกาลไปเปล่าๆ ในภพชาติที่เป็นมงคลอย่างยิ่งนี้
ตอนเช้าก็เสด็จออกบิณฑบาตโปรดสัตว์อีกเช่นเดียวกัน ท่านจึงเรียกว่า โปรดสัตว์
พระพุทธเจ้าเสด็จไปที่ใดอยู่ที่ใด
เป็นประโยชน์แก่สัตว์โลกเต็มภูมิของศาสดาทั้งนั้น ไม่มีความบกพร่อง


นี่เราพิจารณาตามพุทธกิจคืองานประจำพระพุทธเจ้า ๕ ประการนี้แล้ว
พระองค์ก็เหมือนหนึ่งว่าไม่มีเวลาพักผ่อนเลย
แต่พึงทราบเถิดว่าความเป็นศาสดาขนาดนั้น
ใครจะมีความเฉลียวฉลาดยิ่งกว่าศาสดาล่ะ
ท่านก็ต้องมีการพักผ่อนเป็นธรรมดา ไม่เช่นนั้นธาตุขันธ์ก็เป็นไปไม่ได้
แต่อย่างไรก็ตามเราอย่าลืมว่า ภาระของพระพุทธเจ้านั้นหนักมากที่สุด
สอนทั้งภูมิของมนุษย์มนาที่ควรจะสอนกันได้เห็นกันได้อย่างเปิดเผย
สอนทั้งภูมิลี้ลับที่มนุษย์ทั้งหลายสัตว์ทั้งหลายไม่สามารถที่จะรู้ที่จะมองเห็นได้
พระองค์ก็ทรงสอน เช่น สอนพวกเทพ พวกเปรต พวกผี
เหล่านี้เป็นสำคัญ พระองค์ทรงสอนทั้งนั้น


นี่ละพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงอุบัติขึ้นมา เป็นประโยชน์แก่โลกขนาดไหน
ไม่ได้กำหนดว่ามนุษย์มนาเพียงเท่านี้
เทวดาอินทร์พรหมทั้งหลายยังได้รับผลได้รับประโยชน์มหาศาล
ไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้าที่ทำประโยชน์ให้แก่โลกได้อย่างมากมาย
เปรตผีเราเคยเห็นเมื่อไร เทวบุตร เทวดา พวกเราเคยเห็นเมื่อไร
นอกจากเอาความตาบอดหูหนวกมืดตื้อนี้
เข้าไปคัดค้านความจริง คัดค้านพระญาณ
หรือคัดค้านความรู้ที่สว่างไสวกระจ่างแจ้งครอบโลกธาตุของศาสดานี้เท่านั้น
ว่าไม่มี เทวดาที่ไหนจะมี
มิหนำซ้ำยังดึงเอามนุษย์เรานี้ละเป็นเทวดา เทวดาก็คือพวกมนุษย์นี้เอง
เลยรวมเอามา ดึงเข้ามา ตามความถนัดใจ ตามความชอบใจของตน
เลยกลายเป็นศาสดาองค์หนึ่งขึ้นมาแข่งพระพุทธเจ้าอย่างไม่อาย
นี่เวลานี้กำลังมีจำนวนมาก


เหมือนกับศาสดาของเรานี้แสดงไว้อย่างหลอกลวงโลก ไม่เป็นของจริงอะไรเลย
ทั้งๆ ที่ของจริงเต็มส่วนนั้นน่ะมีอยู่ ใครจะรู้ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าล่ะ
พวกเราดูอะไรก็ดูด้วยความหูหนวกตาบอด ตาเนื้อตาหนังนี้เท่านั้น
ไม่ได้ดูได้รู้ได้เห็นด้วยญาณอันเป็นของพิเศษประจำพระพุทธเจ้า
ประจำพระสาวกท่านที่อยู่ในวิสัยที่จะรู้จะเห็นนั้นเลย
ท่านรู้ท่านเห็นท่านเป็นครูสอนโลก
ในพุทธคุณก็บอกได้ว่า สตฺถา เทวมนุสฺสานํ
นี่ท่านแสดงไว้ย่อๆ ท่านเป็นครูทั้งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ท่านว่าอย่างนั้น


นี่ละความฉลาดความสามารถของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์
ที่มาอุบัติในโลกนี้เป็นประโยชน์แก่โลกขนาดไหน
ใครมีความสามารถที่จะทำประโยชน์ให้ได้มากอย่างพระพุทธเจ้าไม่มี
ไม่มีใครเสมอในโลกทั้งสามนี้
สิ่งที่ทรงรู้ทรงเห็นก็ไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้า ไม่ทรงลำเอียงไม่ทรงลบล้าง
สิ่งใดที่มีบอกว่ามี สิ่งไม่มีบอกว่าไม่มี
สิ่งที่ดีบอกว่าดี สิ่งที่ชั่วบอกว่าชั่ว
ไม่ลำเอียงไม่ลบล้าง ก็คือศาสดาองค์เอกนั้นแล
ทรงสอนตามเหตุตามผลตามสิ่งที่มีอยู่ทั้งหลาย
ทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งสุขทั้งทุกข์ บอกไว้หมดทุกแง่ทุกมุม


(โปรดติดตามเนื้อหาต่อในฉบับหน้า)


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


จาก พระธรรมเทศนา "สารธรรมของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์"
ใน ก้าวเดินตามหลักศาสนธรรม เทศน์ภาคปฏิบัติ
โดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP