ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ฝึกจิตอย่างไรจึงจะมีพลังจิต



ถาม - คำว่า "สติ" "ฝึกจิต" และ "พลังจิต" มีความแตกต่างกันไหมครับ
แล้วถ้าต่างกัน ต่างกันอย่างไรครับ


เวลาเราพูดคำว่า "พลังจิต" ส่วนใหญ่เราจะหมายถึงอภิญญาในทางพุทธ
อย่างเช่นเคลื่อนย้ายวัตถุ ไปจ้อง ขอให้แจกันจงเคลื่อนเข้ามาหาข้าเดี๋ยวนี้
แล้วแจกันเคลื่อนวูบเข้ามาแบบในหนัง
แบบนี้เรียกว่าใช้พลังจิต มีอภิญญาเคลื่อนย้ายวัตถุ
จริงๆ แล้วพลังจิตไม่ได้จำกัดอยู่แค่ว่าจะต้องมีอภิญญา
แม้ในชีวิตประจำวันที่เราต้องไปทำงาน ต้องเลี้ยงลูก
จะต้องคุยกับเพื่อน ต้องตกลงการค้าอะไรต่างๆ
มันก็มีเรื่องของพลังจิตเข้ามาเจืออยู่ด้วยกันทั้งนั้น


อย่างเวลาที่คุณเข้าไปฟังใครพูด บอกว่าเดี๋ยวคนนี้มาพูด
คุณต้องฟังอยู่ครึ่งชั่วโมง คุณต้องฟังอยู่สองชั่วโมง
เสร็จแล้วพอคุณเข้าไปนั่งฟังปุ๊บ อืม พูดไม่น่าสนใจเลย
เกริ่นขึ้นมานี่ไม่มีอะไรที่เตะหูเลย ไม่มีอะไรที่บาดใจ ไม่มีอะไรที่ทำให้หัวเราะ
ไม่มีอะไรที่มันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราสนใจเลย
พูดเหมือนกับมาบ่น บ่นๆ พร่ำอะไรไป
อยากจะพูดอะไรก็พูด อะไรแบบนี้ นี่เรียกว่าไม่มีพลังจิตนะ
เพราะว่าความคิดของเขามันแส่ส่าย ไม่มีเป้าหมาย
แล้วก็ไม่คอนเนค (
connect) กับผู้คน
แต่ถ้าคุณรู้ว่าวันนี้นักพูดคนโปรดจะมาพูดนะ เวลาเท่านั้นเท่านี้
คุณสละงานอื่นเพื่อที่จะไปฟังโดยเฉพาะ
ฟังแล้วก็หัวเราะ ตัวโยกไปโยกมา
หรือไม่ก็ได้เกิดความรู้สึกว่าหูตาสว่าง เข้าอกเข้าใจวิชาการหรือว่าความรู้อะไร
เทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการงานที่คุณสนใจ ฟังไม่เบื่อตั้งแต่ต้นจนจบ
นี่เขามีพลังจิตนะ คือมันไม่ใช่แค่พูดเก่งหรือว่าเลือกคำเก่ง
หรือว่าใช้จังหวะจะโคน น้ำเสียงอะไรต่างๆ
มันต้องมีความต่อเนื่อง มันต้องมีสมาธิที่จะคอนเนคกับผู้คนจำนวนมากๆ ที่มานั่งฟัง
แล้วสามารถตรึงให้คนอยู่กับการพูดของเขาได้
อันนี้ตรงนี้มีพลังจิตแล้ว


คำว่าพลังจิตก็คือจิตมีกำลัง
จิตมีความสามารถที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จอะไรบางอย่าง

อย่างตั้งใจพูดให้คนฟังสนใจ แล้วคนฟังสนใจได้จริงๆ
ฟังตั้งแต่ต้นจนจบอย่างมีสมาธิได้
นี่ต้องใช้พลังจิตนะ มันไม่ใช่แค่ใช้คำอย่างเดียว
ทำนองเดียวกันเวลาที่พวกฤาษีชีไพรจะเหาะเหินเดินอากาศ จะเนรมิตไฟขึ้นมา
บอกว่า "เอ้า ไฟจงติดที่นั่น ไฟจงติดที่นี่" หรือไม่ก็ห้ามลมห้ามฝนอะไรแบบนี้
เป็นพวกที่เกจิท่านเล่นกันแบบนี้
พลังจิตแบบนี้มันก็ต้องอาศัยความตั้งใจว่าจะให้เกิดอะไรอย่างหนึ่ง
แล้วมีอำนาจของจิตมีพลังของจิตมากพอที่จะทำให้เกิดสิ่งนั้นได้


อันนี้ก็มีการฝึกในพระพุทธศาสนา
ซึ่งพระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ต้องไปเสียเวลาฝึกแบบฤาษีชีไพร
ถ้าใครอยากได้ฤทธิ์อยากได้เดช มาเจริญสติรู้กายรู้ใจ
แล้วไม่ใช่แค่ทำเล่นๆ แบบฆราวาส ชาวบ้านอยู่ปฏิบัติธรรมที่บ้าน
คือมันต้องเอาจริงเอาจังในระดับที่
พระโมคคัลลานะท่านเคยบอก ท่านเพ่งดูอยู่ตลอด
แม้แต่ท่านได้เป็นพระอรหันต์แล้ว
ท่านก็ยังดูความเป็นขันธ์ ๕ โดยความเป็นของไม่เที่ยงอยู่
กายนี้ใจนี้ท่านโฟกัส (
focus) อยู่ตลอด
เพื่อที่จะให้เห็นว่าขันธ์นี่ กายนี้ใจนี้มันมีภาวะเกิดมีภาวะดับอยู่ตลอด
แล้วความสามารถที่จะโฟกัสอยู่กับความไม่เที่ยงของกายนี้ใจได้
ทำให้เกิดฤทธิ์ได้เอง


บางคนก็อาจจะสงสัยว่ามันเกิดได้อย่างไร
เพราะว่าจิตเมื่อมีความสามารถที่จะโฟกัสอยู่กับอะไรได้นานๆ
มันมีพลังของมันอยู่แล้ว
ยิ่งถ้าหากว่าโฟกัสด้วยการรับรู้ ด้วยการเข้าใจ ด้วยการที่มันเห็นเข้าไปอย่างลึกซึ้ง
ว่ากลไกการทำงานของกายของใจมีความสัมพันธ์กันอย่างไร
ธรรมชาติดั้งเดิมของกายมีแค่ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม
แต่ละธาตุมีธรรมชาติความเป็นเช่นนั้นอย่างไร จนเข้าใจลึกซึ้ง
มันเกิดความรู้ขึ้นมาว่าถ้าอย่างสมมติว่าตอนนี้อากาศกำลังหนาวๆ อยู่
อยากจะให้ร่างกายมันอบอุ่นก็แค่โฟกัสส่วนที่เป็นไออุ่นหรือว่าธาตุไฟ
โฟกัส โฟกัสๆ จนกระทั่งจิตที่เป็นหนึ่งนี่ทำให้ความอุ่นนั้นมันขยายตัว
มันวิ่งพล่านไปทั่วร่างได้ อาศัยธาตุลมพาไป
แค่นี้ร่างกายมันก็อบอุ่น ไม่หนาวตายได้
อันนี้เป็นตัวอย่าง ยกตัวอย่างแค่ง่ายๆ
ว่าพอเรารู้จักความเป็นธาตุกายธาตุใจนี้ดี ในที่สุดอภิญญามันก็เกิดขึ้นเอง
แล้วตรงนี้แหละเป็นสุดยอดของพลังจิต


คือนอกจากเราจะสามารถแสดงอภิญญาได้แล้ว
ยังสามารถที่จะพ้นทุกข์จากการยึดมั่นถือมั่นว่ากายนี้ใจนี้เป็นตัวเป็นตนได้ด้วย
ซึ่งอันนี้แหละสุดยอดเป็นสุดของสุดยอดจริงๆ ของพลังจิต

เป็นพลังจิตที่จะล้างผลาญความไม่รู้ความหลง
ความยึดว่ากายนี้ใจนี้เป็นตัวเป็นตน

ซึ่งพลังจิตระดับนั้นคนจะเข้าถึงนี่ยากนะ ยากมาก ยากจริงๆ ยากสุดๆ เลย
คือพระอริยบุคคลนับแต่โสดาบันขึ้นไปท่านผ่านมาได้
ท่านมีพลังจิตมากพอที่จะรวมลงเป็นฌาน
แล้วก็ตัดผลาญล้างผลาญความยึดมั่นถือมั่นผิดๆ ในกายนี้ใจนี้ลงได้


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP