ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

เหตุใดภพภูมิมนุษย์จึงเหมาะสมที่สุดสำหรับการปฏิบัติธรรม



ถาม - นอกจากมนุษย์แล้ว ภพภูมิอื่นๆ สามารถเจริญสติได้หรือไม่ครับ


ตอบ – ก็มีภพของเทวดา แล้วก็ภพของพรหม
เทวดาต้องเป็นเทวดาที่เจริญสติ
จนกระทั่งเห็นว่ารูปไม่เที่ยง แล้วก็เป็นอนัตตา

อย่างเทวดานี่มีลมหายใจนะ คือมีอัสสาสะ ปัสสาสะ
คือเห็นได้ว่าลมหายใจอันเป็นทิพย์ กำลังเข้า ออก หรือหยุดอยู่
แล้วก็ถ้าเป็นชั้นพรหม ท่านสามารถเห็นได้ว่ากายอันเป็นทิพย์
สักแต่เป็นรูป รูปหลอก เป็นอนัตตา


เทวดาธรรมดาก็สามารถเห็นเป็นอนัตตาได้ แต่มันจะยากกว่าความเป็นพรหม
เพราะว่าความเป็นเทวดา สมาธิท่านไม่ถึงขั้นฌาน
หรือถ้าเจริญสมาธิให้ถึงขั้นฌานได้ก็ต้องปลีกวิเวก
ซึ่งบนสวรรค์ ปลีกวิเวกยาก
มันเต็มไปด้วยเครื่องล่อใจ เต็มไปด้วยกามคุณทั้ง ๕
ที่มันยิ่งกว่าในโลกนี้คูณเข้าไปสิบ คูณเข้าไปร้อย คูณเข้าไปพัน
ถ้าคุณบอกว่าโลกนี้ละกามได้ยาก บนโน้นมันยิ่งยากกว่านั้น
เอาเป็นว่ารอดยากนะ รอดจากกามคุณได้ยาก


แต่ถ้าอย่างเป็นชั้นพรหม ท่านไม่ต้องเอาตัวรอดจากกาม
เพราะจิตของท่านเป็นฌานเป็นปกติอยู่แล้ว เป็นผู้ทรงฌานอยู่แล้ว
ทีนี้สำคัญก็คือว่าจะเอาอนิจจสัญญากับอนัตตสัญญา
ติดตัวไปจากโลกมนุษย์นี้ได้แค่ไหน
มันขึ้นอยู่กับว่าแต่ละท่านจะได้เจริญสติมาเข้มข้นเพียงใด


อย่างถ้าในสมัยพุทธกาลก็มีพระอยู่รูปหนึ่ง ท่านเอาจริงเอาจังกับการปฏิบัติมาก
เดินจงกรมจนกระทั่งกลิ้งหลุนๆ ท่านก็ยังเอาตัวกลิ้งไปเพื่อที่จะจงกรมต่อ
ไม่ยอมหยุดนิ่ง เอาชีวิตเข้าแลกจริงๆ
ท่านมรณภาพไปก็ไปเกิดเป็นเทวดา
ทีนี้คือท่านก็เห็นว่าสวรรค์ ทิพยวิมาน หรือว่านางฟ้านารีอะไรบนสวรรค์
เป็นเหตุให้เกิดความประมาท ตั้งอยู่ในความประมาท
ท่านก็ไม่เอา ก็กำหนดจิตกลั้นอัสสาสะปัสสาสะ จุติลงมา
“จุติ” แปลว่า เคลื่อน เคลื่อนลงมาสู่ความเป็นมนุษย์เพื่อที่จะมาปฏิบัติธรรมต่อ


อันนี้ก็ขอให้เข้าใจนะว่าถ้าเป็นเทวดาที่ท่านใฝ่ธรรมจริงๆ แล้วก็ปฏิบัติธรรมมาจริงๆ
คือท่านไม่ได้สนใจจะไปปฏิบัติต่อแค่อยู่บนโน้น
ท่านเอาตัวลงมาทั้งตัวเลย มาเป็นมนุษย์ต่อ
บอกว่ามนุษย์นี่แหละคือสิ่งที่นักเจริญสติปรารถนา
สภาพนี้นี่แหละที่สามารถเห็นความไม่เที่ยงได้ง่าย
แล้วเวลาปล่อยวางมันปล่อยจริง
เพราะมันเกิดความรังเกียจ
เกิดความอึดอัดในภาวะความเป็นกาย ความเป็นใจ
ไม่เห็นมีอะไรดี ไม่เที่ยง แล้วก็หลอกล่อให้กระโจนเข้าสู่บาปได้ง่าย
สู่บ่วงกรรม สู่บ่วงวิบากที่มันรออยู่ไม่มีที่สิ้นสุด
มันจะมีความรู้สึกว่า เออ มันน่าทิ้ง


แต่ถ้าเป็นกายทิพย์ของเทวดา กายทิพย์ของเทพ มันไม่มีอะไรให้น่าทิ้ง
มันมีความรู้สึกมาเป็นของจริงว่านี่น่าเอา น่าพิศวาส น่าพิสมัย
แค่เอาความนุ่มนิ่มของสัมผัสแบบทิพย์ มันก็ทำให้เคลิ้มแล้ว
ทำให้แบบว่าคือยิ่งกว่าโดนยาสะกดให้ลุ่มหลงมัวเมาในกามราคะ มันยิ่งกว่านั้นเยอะ
เพราะฉะนั้นถ้าเป็นเทวดาแล้วเขาไม่ค่อยคิดกันหรอก
เรื่องมาเจริญสติเห็นความไม่เที่ยง เห็นอนิจจัง หรือว่าเห็นความเป็นอนัตตา
แล้วก็มันจะไม่มีความสกปรกแบบร่างของมนุษย์ให้พิจารณาว่าน่าทิ้ง


พระพุทธเจ้าตรัสว่าการเห็นความสกปรกของร่างกาย
เป็นอาทีนวสัญญา คือเห็นว่าเห็นกายโดยความเป็นโทษ
เห็นกายโดยความเป็นของไม่น่าเอา เป็นของที่น่าทิ้ง

มีได้ในร่างของมนุษย์นี้เท่านั้นแหละ
ภพมนุษย์เจริญได้ทั้งสติ
แล้วก็มีอุปกรณ์เครื่องมือให้สติเจริญได้ถึงมรรคถึงผล

ถึงมรรคถึงผล คือทิ้งไม่เอาสภาพความน่าอึดอัด
ความน่าระอา ความโสโครก แออัดยัดทะนานด้วยของเน่าเหม็น
มันมีอยู่แต่ในภพของมนุษย์ ถ้าเกินขึ้นไปเทวดาไม่มีแบบนี้
หรือถ้าจะต้องตกต่ำไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน อย่างนี้ก็ไม่มีสติให้เจริญอีก
คือมีร่างกายที่เน่าเหม็นเหมือนกัน เหมือนกับมนุษย์ แต่ไม่มีสติแบบมนุษย์
เพราะฉะนั้นภพมนุษย์คือสถานีเลือกนะครับ จะเอาแบบไหนก็ได้
เลือกไปสวรรค์ เลือกไปนรก หรือจะเลือกไปนิพพาน


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP