วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
เร้น ๔๔

ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
เมวดีมองไม่เห็นดอกแก้ว แต่รู้สึกถึงบรรยากาศแปลก เปลี่ยนไปจากเดิม เกิดอาการขนลุกซู่โดยไม่มีสาเหตุ นัยน์ตามองไม่เห็นใคร สัมผัสข้างในบอกว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียว
“เธออีกแล้วหรือ...ดอกแก้ว” เมวดีพึมพำเบา ๆ มองความว่างเปล่าตรงหน้า “นอกจากหลอกหลอนฉันในฝันแล้ว ยังตามมารบกวนข้างนอกแบบนี้อีกหรือ?”
น้ำเสียงนั้นไม่แสดงความหวาดกลัว มันกลับหดหู่ เศร้าใจลึก ๆ
อากาศรอบตัวเย็นขึ้นกว่าเดิม หนาวเย็นชวนสั่นสะท้านคล้าย ‘ผู้ต่างภพ’ ไม่ได้มีแค่ตนเดียว
เมวดีรู้สึกถึงการรายล้อมหนาแน่นเข้ามาของดวงวิญญาณจำนวนมาก ทำให้จิตใจหวาดหวั่น พรั่นพรึง
“เธอก็รู้...ฉันไม่อยากฆ่าใคร” คำพูดพึมพำ บอกกล่าว...แก้ตัว “ทั้งหมดเป็นคำสั่งคุณท่าน...ฉันปฏิเสธไม่ได้”
ท่วงท่าการยืนของเธออ่อนโรย จิตใจท้อถอย อ้อนล้าขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง
“ชีวิตพวกเรา อยู่ในกำมือคุณท่านตั้งแต่แรกไม่ใช่หรือ?”
คำถามนี้...หวังให้ดอกแก้วตอบ...ยืนยันว่าที่ผ่านมา เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเลย
เมวดีนิ่ง รอคอยคำตอบ...และแล้ว...คล้ายเกิดการเชื่อมต่อด้วย ‘พลัง’ บางอย่าง หญิงสาวรู้สึกวูบวาบ ประสาทตาพร่าเลือน สติมึนงงสับสน จากนั้นเธอก็เริ่มมองเห็น...ดอกแก้ว
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
ธันวายืนมองเบื้องหลังเมวดีด้วยใจเมตตา สงสาร สิ่งที่เขาเห็น แต่หญิงสาวไม่รู้คือ...นอกจากดอกแก้ว ยังมีดวงวิญญาณทยอยมารายล้อมเรื่อย ๆ หนึ่งดวง สองดวง สามดวง...
ทั้งหมดนอกจากดอกแก้ว ก็มี ‘เสี่ยหมง’ คนเดียวที่ธันวาคุ้นหน้า ทำให้คาดเดาไม่ยาก
ดวงวิญญาณเหล่านั้น ล้วนเป็นผู้คนที่เธอสังหารตามคำสั่ง!
คำพูดและจิตใจขณะที่เมวดีบอกว่า...ฉันไม่อยากฆ่าใคร...มันมีความจริงใจมากพอทำให้วิญญาณเหล่านั้นหยุดนิ่ง สงบลง ไม่เพิ่มแรงกดดันกว่าเดิม
ดอกแก้วเข้ามาหาธันวา เอ่ยวาจาขอร้อง
“ช่วยให้เมวดีเห็นฉันได้มั้ยคะ”
ธันวาอยากเอ่ยปากปฏิเสธ บอกว่าตนไม่มีความสามารถเช่นนั้น...แล้วฉุกคิดได้...เขาเป็นผู้ทรงเวทชั่วคราว!
ปู่ทั้งสองเปิดจักระ ถ่ายทอด ‘พลัง’ มาให้แล้ว ถ้าเขา ‘ส่งต่อ’ พลังนี้ให้ดอกแก้ว เธอก็อาจปรากฏกายให้เมวดีเห็นได้...ชั่วคราว...
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
เมวดีมองเห็นดอกแก้ว...ไม่ได้ตาฝาด ไม่เกี่ยวกับจิตปรุงแต่ง ‘ผี’ ขึ้นมาหลอกหลอนตนเอง
ดอกแก้วตรงหน้าไม่ชัดเจนขนาดสัมผัสได้อย่างคนมีเลือดเนื้อ เธอแค่ปรากฏให้เห็น ส่งเสียงเพื่อพูดคุยสื่อสารในช่วงเวลาสั้น ๆ
“ดอก...แก้ว” เมวดีเอ่ยเสียงไม่เกินกระซิบ
“ชีวิตเรา...ไม่ได้อยู่ในกำมือคุณท่าน” ดอกแก้วตอบคำถามมือสังหารบ้านดาวัน “ชีวิตเป็นของเรา...เราเลือกเองได้”
เมวดีหัวเราะเบา ๆ แฝงความเยาะหยัน
“เธอเคยบอกฉันแบบนี้มาแล้ว” ความรู้สึกเมวดีกึ่งจริงกึ่งฝัน ไม่มั่นใจว่ากำลังสนทนากับ ‘ผี’ จริง ๆ “แล้วยังไงล่ะ...สุดท้ายเธอก็ต้องไปนอนเฝ้าต้นตะแบก...ดอกไม้ที่เธอรัก”
“ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่เคยเสียใจในความ ‘พยายาม’ ของตนเอง” ดอกแก้วพูดหนักแน่น
เมวดีเข้าใจ...ดอกแก้วเพียรพยายามแค่ไหน อย่างไรเพื่อจะออกจากกรงเล็บคุณดาวัน...แต่มันไม่คุ้มค่าเลยในสายตาเธอ
“ฉันเคยบอกแล้ว ไม่ว่ายังไง จะไม่ยอมเลือกเส้นทางที่พาไปสู่ความตาย...ความตายมีอะไรดี...ฉันต้องการมีชีวิตอยู่” เมวดียังยืนยันวาจาที่เคยบอกต่อเพื่อนร่วมบ้านดาวัน
“อยู่ด้วยการเป็นทาส...ต้องคอยฆ่าคนให้เขา...มันดีกว่ายังไง” ดอกแก้วพยายามโน้มน้าวใจ
“ดีกว่าถูกเขาฆ่ายังไงล่ะ” เมวดีพูดหนักแน่น ดวงตากร้าวไม่โอนอ่อนตาม
“เธอจะไม่ ‘หยุด’ ในสิ่งที่ทำอยู่” ดอกแก้วถาม...เป็นครั้งสุดท้าย
“ฉันจะหยุด ก็ต่อเมื่อคุณท่านอนุญาตให้หยุด” คำพูดเช่นนี้ย่อมบอกถึง ‘ความกลัว’ ในจิตใจเมวดีชัดเจน
ดอกแก้วส่ายหน้า แววตาสลดลง รู้ว่าไม่มีทางชักจูงเพื่อนให้ออกจากเส้นทางเดิมได้...เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอพยายามขนาดนี้
“รู้มั้ย...ทุกสิ่งที่เธอทำ...มันมีผลลัพธ์เสมอ” ดอกแก้วเน้นวาจาจริงจัง “เพราะเราเคยเป็นเพื่อนกัน ฉันเข้าใจ จึงไม่โกรธ...ที่เธอฆ่าฉัน”
“...แต่...คนอื่นที่เธอฆ่า...ไม่มีวันเข้าใจ...อย่างฉัน...”
ดอกแก้วทิ้งวาจาเพียงเท่านี้ ร่างเริ่มรางเลือนจางหาย การติดต่อครั้งสุดท้าย...สิ้นสุดลง
เมวดีรับรู้ถึงกระแสแค้นเคือง โกรธขึ้งที่เพิ่มขึ้นจากบรรยากาศรอบตัว
ช่วงเวลานี้จิตใจหล่อนอยู่ระหว่างกึ่งจริงกึ่งฝัน ไม่มีสติเต็มที่ แรงโกรธแค้นจาก ‘ผู้ถูกทำร้าย’ จึงได้โอกาสถาโถม เข้าใส่ บีบคั้นเต็มกำลัง
หญิงสาวไม่สามารถขยับตัว ทั้งร่างอยู่ในอาการ ‘ผีอำ’ กระดิกกระเดี้ยร่างกายไม่ได้ แสงสว่างตรงหน้าวูบวาบ เหมือนไฟเปิดๆดับๆ จนเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ อากาศรอบตัวน้อยลง น้อยลง จนถึงที่สุด ทำให้เธอหน้ามืด วูบล้มลง
เมวดีทรุดฮวบ หมดสติในที่สุด
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
ธันวามองเห็น...ไม่เข้าไปช่วยเหลือ เพราะไม่จำเป็น...ดวงวิญญาณอาฆาต คับแค้นนับสิบเหล่านั้น ไม่สามารถหักคอฆ่าคนตายได้
ดอกแก้วยืนดูอยู่ห่าง ๆ ขณะภูตผี วิญญาณเบียดเสียดเข้าไปกดดัน หวังทำร้ายเมวดี...จนสุดท้าย ทำได้แค่ให้เธอหมดสติชั่วครู่
ดวงวิญญาณหญิงสาวกลับมายืนตรงหน้าธันวา
“ขอบคุณ...ที่ช่วยเหลือ” พูดพลางเหลือบมองร่างที่หมดสติ “แม้จะไม่สามารถเตือนสติเขาได้เลยก็ตาม”
“เขา ‘เลือก’ เส้นทางของเขาแล้ว...ใครก็เปลี่ยนไม่ได้หรอก” ธันวาพูดอย่างเข้าใจ
ในใจชายหนุ่มเกิด ‘รู้’ ขึ้นมา...การเผชิญหน้าครั้งนี้อาจเปลี่ยนเส้นทางเมวดีไม่ได้ทันที แต่ส่วนลึกในใจเธอเกิดอาการกลัว ‘บาปกรรม’ ขึ้นบ้างแล้ว
นับจากวันนี้...เส้นทาง ‘ชดใช้’ ของเมวดีกำลังเริ่มต้น...
ประตูห้องขังปิดล็อคด้วยรหัส โชคดีตอนที่เมวดีพาธันวาเข้ามาได้กดรหัสนั้นให้เห็นต่อหน้า เขาจึงจดจำแม่นยำ
...กริ๊ก...ประตูเปิดออก ภูริชยืนรอพร้อมรอยยิ้ม
“กูนึกแล้ว มึงต้องมาเปิดประตูให้กูได้จริง ๆ” รอยยิ้มภูริชเลือนลงเมื่อเห็นร่างเมวดีฟุบอยู่ไม่ไกลนัก “แหม...มึงจัดการผู้คุมได้ดี”
ธันวาถอนใจ ตอบแก้ความเข้าใจผิด
“กูไม่ได้ทำอะไรเขา” พูดจบก็เปลี่ยนอีกเรื่อง “มึงมาช่วยกูย้ายคุณหมอกับส้มน้อยออกมาก่อนเร็ว...”
ภูริชลากเก้าอี้มาขวางประตูเพื่อให้มันเปิดค้าง ระบายควันพิษข้างในออกมา จากนั้นช่วยธันวาประคองหมอเยาวลักษณ์ อุ้มส้มน้อยออกมาไว้อีกห้อง ซึ่งปลอดภัย ไม่มีกลไกกับดัก
เวลานั้นขจร คนสนิทภูริชก็ตามมาถึงพอดี
“ผมออกมาได้แล้ว ขอบคุณครับลุงที่รีบมาช่วย” ภูริชรีบเอ่ยทัก เป็นการแนะนำให้เพื่อนรู้จักไปในตัว
“ขอโทษครับ” ขจรสีหน้าเครียด “ที่มาช้า...เอ่อ...”
ขจรอยากจะเอ่ยปากรายงานอะไรต่อ พอเห็นธันวาอยู่ด้วยจึงนิ่งเงียบ
“ไม่เป็นไรหรอกลุง ยังไงเราก็ทำตามแผนต่อได้อยู่ดี...”
ภูริชพูดแค่นั้นแล้วหันไปบอกธันวา
“กูไปล่ะ” พูดพร้อมกับอุ้มร่างเมวดีพาดบ่า
“เฮ้ย...มึงจะเอาเขาไปไหน” ธันวาท้วง...เขาไม่สนใจลูกน้องภูริช แต่ห่วงสวัสดิภาพเมวดี
“มึงไม่รู้จะสบายใจกว่ามั้ง” ภูริชพูด ทว่าพอเห็นแววตาเพื่อนก็ถอนใจเฮือกใหญ่ ยอมอธิบาย
“นี่...มึงไม่รู้หรือไงว่ายายนี่เป็นมือสังหารอันดับหนึ่ง รู้ความลับย่ากูเกือบทุกอย่าง พิษสงร้ายกาจขนาดไหน ฆ่าคนมาไม่รู้เท่าไหร่”
“มึงก็ใช่ว่าเป็นคนดีกว่า...จนจะมาตัดสินโทษเขาได้” ธันวาสวนกลับ เล่นเอาเพื่อนเก่าสะอึก นิ่งงัน
“เอาเป็นว่า...” ภูริชถอนใจ “กูจะไม่ฆ่าเขาก็แล้วกัน...แต่จะไม่ให้เขาเป็นเครื่องมือของย่ากู ทำร้ายพวกมึงอีก...โอเคมั้ย...อ้อ...เดี๋ยวกูจะล็อคประตูทางขึ้นบ้านย่าดาวัน...มึงหาเส้นทางออกอื่นเองนะ...”
ภูริชบอกง่าย ๆ ไม่สนใจว่าเพื่อนจะหาทางออกอื่นได้หรือไม่
ธันวาไม่มีสิทธิคัดค้าน ห้ามปรามคนอย่างภูริชได้ การที่เพื่อนยอมพูดมากขนาดนี้ แสดงว่ายังเห็นอีกฝ่ายเป็นเพื่อน ทำให้ชายหนุ่มยอมปิดปาก มองดูภูริช กับขจรพาสมุนเอกดาวันจากไป โดยไม่นึกกังวลกับการหาทางออกอื่น
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
สองร่างนั่งนิ่งเหมือนหุ่น ยังมีลมหายใจ ร่างกายอบอุ่น ควันพิษดาวันไม่แทรกซึมทำอันตราย
ธันวาพยายามหาวิธีปลุกหมอเยาวลักษณ์ ส้มน้อย โดยใช้มือทั้งสอง กุมมือหมอเยาวลักษณ์ ส้มน้อยคนละข้าง หลับตาตั้งสมาธิ เปิดจิตสัมผัส เข้าไปดูความรู้สึกภายในสองคน
นิมิตที่เห็นคือหน้าผาสูง โดดเดี่ยว ลมกรรโชกแรง คลื่นซัดสาดไม่หยุดพัก จิตแยกแยะความหนักเบาของอาการถูกสะกดทั้งสองละเอียด ชัดเจน
ธันวาลืมตา ถอนใจ ตอนนี้รู้แค่ว่าจะถอนอำนาจสะกดหมอเยาวลักษณ์อย่างไร ส่วนส้มน้อย...จิตถูกขังอยู่ลึก เกินกว่าสัมผัสพิเศษเขาจะเอื้อมถึง
ชายหนุ่มส่งข้อความเรียกทีมลุงชาติให้เข้ามาทางลับทันที แล้วตัดสินใจถอนอำนาจสะกดให้หมอเยาวลักษณ์ก่อน อย่างน้อยอาจได้คำแนะนำวิธีช่วยส้มน้อยออกมา
ถ้าหมอเยาวลักษณ์อับจนหนทางอีกคน ก็คงต้องฝากลุงชาติพาเด็กหญิงไปหาปู่ทั้งสอง
มั่นใจว่าเมื่อส้มน้อยอยู่ท่ามกลางปู่เผด็จ ปู่คงคา พิจิก เมษา รวมตี๋เล็กอีกคน การถอนอำนาจสะกดแค่นี้ คงเป็นเรื่องเล็กน้อย
ปลายนิ้วแตะหน้าผากหมอเยาวลักษณ์ ตั้งสติแผ่จิตสัมผัสลงไปเพื่อสำรวจ...และถอนอำนาจสะกด...
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
คลื่นซัดสาดซ่า ละอองน้ำกระเซ็นใส่โขดหิน หน้าผา ลมกรรโชกแรงพัดพากลิ่นอายน้ำเค็มมาให้สัมผัส บรรยากาศรอบกายเสมือนจริงจนน่ากลัว
“เธอปลุกส้มน้อยได้มั้ย” เยาวลักษณ์ถามหลังจากหญิงสาวบอกเล่าเรื่องเกี่ยวกับตนเองให้ฟัง
“มีนจะพยายามลองดูค่ะ” มีนาส่งสายตามาทางส้มน้อยอย่างเป็นห่วง
...เสียงเรียกขาน...แม่มีน...แม่มีนขา...ชักนำมาถึงที่นี่ ส้มน้อยต้องการเธอ ฉะนั้นคงมีแต่เธอที่สามารถเรียกเด็กหญิงกลับมาได้
มีนาคุกเข่าลงตรงหน้าส้มน้อย ร่างเล็กถูกดึงมากอดในอ้อมอก กระแสความเศร้า ว้าเหว่จากเด็กหญิงแล่นมากระทบใจ...
หญิงสาวหลับตาลง เปิดรับความรู้สึกเจ้าตัวเล็ก เพื่อจะได้ติดตาม หาว่าตัวเธอถูกซุกซ่อนอยู่ ณ ที่ใด
มีนารู้สึกราวตนเองเดินบนถนนสายเปลี่ยว รอบด้านวังเวงเงียบเหงา ยิ่งนานความโดดเดี่ยวอ้างว้างยิ่งกัดกิน กร่อนหัวใจจนอยากร้องไห้ เหมือนรอบกายไม่มีใคร บนโลกกว้างใหญ่มีแค่เธอเพียงลำพัง
นี่คือความรู้สึกส้มน้อย...ความอ้างว้าง โหยหาความรักที่เร้นลึกอยู่ในหัวใจ
บ้านดาวันให้ที่อยู่ ที่กิน การศึกษาก็จริง แต่ไม่สามารถเติมเต็มความขาดแคลน อ้าวว้างในใจเธอได้
ส้มน้อยอยากมีพ่อแม่ อยากเป็นที่รัก เป็นคนสำคัญในครอบครัว ความต้องการที่ ‘เร้น’ ดิ่งลึกในใจนี้ ฉุดดึงเธอให้จมลึกอยู่ในบ่วงสะกดดาวัน ลึกเสียจนใครก็ยากจะช่วยถอนออกมาได้
มีนาคลายอ้อมกอด เงยหน้ามองเยาวลักษณ์ เอ่ยปากขึ้น
“ส้มน้อยอยู่ลึกเกินไป อำนาจสะกดคุณดาวันฉุดเธอลงไปรวมกับความเศร้า โหยหา อ้างว้างลึก ๆ ในใจ มันเลยกลายเป็นกำแพงปิดกั้น มีนไม่รู้ทำยังไงถึงจะพาเธอออกมาได้”
เยาวลักษณ์มองหน้าเด็กหญิงอย่างเข้าใจ หันมาบอกหญิงสาว
“เธอบอกว่าได้ยินเสียงส้มน้อยเรียกหา...” เยาวลักษณ์ทวนเรื่องราวที่มีนาเล่าให้ฟังเมื่อครู่
“ค่ะ” มีนาตอบ
“ถ้าเขาเรียกเธอ...แสดงว่าหัวใจเขากำลังรอคอยเธอ...มีเธอคนเดียวเท่านั้นที่จะเปิดกำแพง เอื้อมถึงหัวใจส้มน้อยได้” เยาวลักษณ์พูดอย่างคนเคยผ่านประสบการณ์เช่นนี้มาแล้ว
“แล้ว...มีนควรทำยังไงดีคะ” มีนาเริ่มไม่มั่นใจ
“ความรัก...ความจริงใจเป็นสิ่งที่เด็กบ้านดาวันทุกคนต้องการ!”
หมอเยาวลักษณ์บอกเพียงเท่านี้ ร่างก็เริ่มเลือนรางจางหาย
“คุณหมอ...คุณหมอ...” มีนาอุทานอยากตกใจ ลุกขึ้นยื่นมือพยายามฉุดรั้ง แล้วชะงักค้าง
“ไม่เป็นไร...มีคนมาช่วยแล้ว...ฉันจะบอกให้เขามาช่วยส้มน้อยกับเธอ”
สตรีสูงวัยยิ้มให้ พร้อมกับพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่า...ไม่ต้องห่วง...มีนารู้สึกได้ว่ามีพลังจากภายนอกมาช่วยดึงดูดคุณหมอออกจาก ‘กรงขัง’ แห่งนี้
เมื่ออยู่สองต่อสองกับเด็กหญิง ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึม โดดเดี่ยว บนหน้าผาสูงริมทะเล ท้องฟ้าสีส้มแดง ระบายเงาแห่งสนธยาชวนเหงาจับใจ
มีนาคุกเข่าลงต่อหน้าเด็กหญิงอีกครั้ง มองเข้าไปในดวงตาว่างเปล่า ปราศจากความรับรู้ใด ๆ เกิดใจเมตตา ผูกพัน ห่วงหา อยากช่วยเหลือ
“ส้มน้อย...กลับมาหาแม่มีนนะ” หญิงสาวกระซิบแผ่ว โอบร่างน้อยมากอดอีกครั้ง ยอมรับความเหน็บหนาวในหัวใจนั้นเข้ามา แล้วถ่ายทอดความอบอุ่นจากใจตนออกไป
“ส้มน้อย...อยู่ที่ไหน...รีบกลับขึ้นมานะ...แม่มีนรออยู่”
เสียงจากใจกังวานแว่ว หวังส่งถึงใจเด็กหญิง มีนารู้สึกถึงจิตใจตนเองที่กลายเป็นเหมือนสะพาน...ทอดยาวข้ามมหาสมุทรแห่งความว้าเหว่ เดียวดาย ยื่นไปชนกำแพงหนาแห่งอาคม ที่ปิดผนึกหัวใจส้มน้อยเอาไว้
“ออกมาเถอะส้มน้อย...แม่มีนมารับแล้ว...หนูต้องเข้มแข็ง ออกมาจากกำแพงนั้นให้ได้”
กระแสใจมีนาตะโกนร้องเรียกหน้ากำแพง ไม่มีเสียงขานรับ...แม่มีน...แม่มีนขาอีกเลย...ราวกับเด็กน้อยไม่ได้ยิน...หรือไม่ก็คงหมดกำลังใจจะก้าวออกมา
มีนาพยายามหาช่องทาง ฝ่ากำแพงอาคมนั้น...มีวิธีใดบ้างจะทำลายสิ่งขวางกั้น เข้าถึงจิตใจเด็กน้อย
หญิงสาวรู้สึกเหมือนจิตใจตนเองกำลังวิ่งวุ่นรอบกำแพงหนา ทอดยาว ทั้งทุบ ทั้งเจาะ หาช่องว่างทลายเข้าไป แต่ก็ไม่มีผลอันใดเลย
พยายาม...พยายามจนเหนื่อยอ่อน คล้ายมารดาวิ่งตามหาลูกน้อย ล้มลุกคลุกคลานหลายสิบครั้งก็ยังสู้...เพราะรู้สึกว่า...เธอจะแพ้ไม่ได้
สุดท้าย เหนื่อยอ่อน กลับมารู้สึกที่ร่างกายตนกำลังคุกเข่า โอบกอดร่างปราศจากวิญญาณส้มน้อยบนหน้าผาสูงที่เดิม ลมยิ่งกรรโชกแรงราวกับหัวเราะเย้ยหยันในความพ่ายแพ้
มีนาอยากร้องไห้...ทว่าน้ำตาไม่มีจะไหล...และแล้ว...เสมือนมีวงแขนมาโอบกอดจากเบื้องหลัง รั้งร่างเธอกับส้มน้อยไว้ในอ้อมอกเขาอย่างอบอุ่น เต็มใจ
ไออุ่นนั้นคุ้นเคย สัมผัสกระจ่างชัด กลิ่นอายของคนสนิทชิดใกล้
“ไม่ต้องกลัว...ฉันอยู่นี่แล้ว” เสียงธันวาชัดเจน ปลุกพลังในใจมีนาให้ลุกโชนอีกครั้ง
...ธันวาเป็นคนถอนสะกดให้หมอเยาวลักษณ์ และกำลังจะช่วยเธอกับส้มน้อย...
ต่อให้มองไม่เห็นรูปร่าง หน้าตา จากสัมผัส ความรู้สึกเธอคล้ายมองเห็นธันวากำลังโอบกระชับจากเบื้องหลัง แก้มแนบศีรษะหล่อนไว้ ใจสื่อถึงใจ พลังอันกล้าแข็งถ่ายทอดเข้ามามากมายดุจน้ำทะเลทั้งมหาสมุทร
“มีนา...มาช่วยลูก ‘ของเรา’ ด้วยกัน” วาจาหนักแน่น ยิ่งเพิ่มพลังใจแก่เธอทบทวีคูณ
สะพานแห่งความจริงใจเกิดพลานุภาพแข็งแกร่ง มั่นคง ด้วยรวมจิตใจสองดวงเข้าไว้ ยืดขยายออกไปด้วยความรัก ความจริงใจ พุ่งทลายกำแพงอาคมดาวันจนพังยับ...ปรากฏเด็กน้อยยืนรออยู่ปลายสะพาน
ธันวา มีนา เอื้อมมือสัมผัสจิตวิญญาณดวงน้อยนั้นไว้ ดึงเข้ามาหาด้วยใจอ่อนโยน รักใคร่ ชั่วเวลาสั้น ๆ ทั้งสามเสมือนหลอมรวมดวงใจเป็นหนึ่งเดียว
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
ส้มน้อยลืมตามองเห็น ‘คุณพ่อ’ คุณหมอ ผอ. คนแก่หนวดเฟิ้ม หน้าดุที่อยู่บ้านคุณย่าดวงสุดา สีหน้าทุกคนแสดงความยินดี โล่งอก
“ดีใจที่กลับมานะส้มน้อย” คุณหมอ ผอ.ระบายลมหายใจอย่างหมดกังวล
ธันวาไม่พูดอะไร นอกจากดึงร่างน้อยเข้าไปกอดด้วยใจเต็มตื้น...โล่งอก...รู้สึกถึงจิตของมีนากลับเข้าร่างไปแล้ว การรวมใจสองดวงเพื่อช่วยเด็กหญิง ‘ลูกของเรา’ สำเร็จงดงาม
ครู่หนึ่งจึงคลายอ้อมแขน พูดเสียงอ่อนโยน
“ส้มน้อยกลับไปหาคุณย่าดวงสุดา พร้อมกับปู่ชาติก่อนนะ”
“แม่มีนอยู่ไหน” เด็กหญิงถามด้วยใจคิดถึง
“แม่มีนอยู่โรงพยาบาล เดี๋ยวให้ปู่ชาติพาไปหาก่อนก็ได้”
ธันวาถอนใจ ดวงตาทอประกายอบอุ่น อ่อนหวาน...การร่วมมือช่วยกันพา ‘ลูกของเรา’ กลับมา ยิ่งเพิ่มความรู้สึกผูกพันระหว่างสองหนุ่มสาวแน่นหนากว่าเดิม
“ลุงชาติครับ” ธันวาหันไปบอกผู้นำทีมนิรนาม “ลุงช่วยเอาดอกหญ้าแปดกลีบไปให้ปู่ผมที่โรงพยาบาลก่อนเลยนะครับ ส้มน้อยจะได้เจอมีนาด้วย”
“ได้สิคุณธัน” ชาติรับห่อกระดาษบรรจุสมุนไพรสำคัญมาเก็บกับตัว
“พวกคุณมาจากทางไหน” หมอเยาวลักษณ์แปลกใจกับการมาถึงของผู้ช่วยธันวา
“ทางลับที่เชื่อมกับห้องใต้ดินนี่ไง” ชาติบอกอย่างไม่ปิดบัง
“เข้ามาได้ยังไง คุณท่านวางกับดัก ประตูกลประตูหลอก แถมยังมีเวรยามเฝ้าประจำด้วย” คุณหมอเยาวลักษณ์รู้จักเส้นทางนี้ดี
“เอ...ผมไม่เห็นมีเวรยามสักคนนะ” ชาติตอบแค่ประโยคหลังตามความจริง โดยไม่อธิบายว่า นอกจากเผด็จ คงคาจะเขียนแผนผังเส้นทางอย่างละเอียดแล้ว ยังชี้ให้ดูจุดที่เป็นกับดัก ประตูกลที่อาจทำให้พลัดหลังเส้นทางได้
“ไม่น่าเป็นไปได้นะ” เยาวลักษณ์ไม่อยากเชื่อว่า ‘คุณท่าน’ จะประมาทเช่นนี้
ชาติไม่อธิบายอะไร...แค่ไม่มีเวรยามเฝ้าระวัง อีกฝ่ายก็ไม่อยากเชื่อแล้ว รับรองไม่มีทางเชื่อว่า...จะมีผู้เฒ่าสองคน สามารถรู้เส้นทางลับนี้อย่างละเอียดด้วยความสามารถพิเศษ กระทั่งเขียนแผนผังออกมาราวกับเห็นด้วยตาเนื้อ ทั้งที่ร่างกายไม่เคยเยี่ยมกรายมายังสถานที่นี้เลย
...ถ้าไม่ใช่เหตุคับขัน เห็นสมควรกระทำจริง ๆ เผด็จ คงคาจะไม่ใช้การลอบ ‘สืบ’ ความลับด้วยวิธีนี้กับใคร...
ธันวาเกรงหมอเยาวลักษณ์จะซักถามยืดยาว จึงตัดบทพูดเรื่องสำคัญก่อน
“คุณหมอ...ผมขอรับส้มน้อยไปนะครับ”
วาจานี้ไม่ใช่คำขออนุญาต แค่เป็นการบอกกล่าว ให้เกียรติ เพราะบ้านดาวันแจ้งว่าส้มน้อยเสียชีวิตไปแล้ว...เด็กคนนี้ไม่ควรมีส่วนเกี่ยวข้องกับที่นี่อีก
คำพูดที่บอกว่า...ผมขอรับส้มน้อยไป...เป็นการยืนยัน กล่าวชัดแจ้งว่าเขาจะดูแลเด็กหญิงเอง ไม่ยอมให้บ้านดาวันนำเธอไปใช้ประโยชน์เด็ดขาด
เยาวลักษณ์รู้สึกจุกตันในลำคอ เกิดความละอายใจขึ้นอย่างแรง พูดอะไรไม่ออก ทำได้แค่พยักหน้าตอบรับธันวา แล้วเอื้อมมือลูบศีรษะเด็กหญิงอย่างเมตตา...ฝืนกล่าววาจาอย่างยากเย็น
“หมอขอโทษนะ...ส้มน้อย”
ทีมของชาติพาส้มน้อย และสมุนไพรสำคัญออกไปแล้ว ธันวาไม่ได้ตามไปด้วย เยาวลักษณ์อดถามไม่ได้
“คุณได้รับสิ่งที่ต้องการหมดแล้ว ทั้งสมุนไพรและส้มน้อย ทำไมถึงไม่ไปกับพวกเขา”
ธันวาถอนใจยาว ในใจยังมีเรื่องค้างคาให้สะสาง
“ผมเป็นห่วงทีมตำรวจที่มาตรวจค้นที่นี่” เขาพูดตามตรง “ไม่อยากประมาทฝีมือคุณดาวัน”
ประโยคหลังบอกชัดเจน...ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนอย่างราบรื่นก็ดีไป หากดาวันพลิกเกมเอาชนะไม่คาดฝันได้ ต่อไปคงเกิดการ ‘เช็กบิล’ ครั้งใหญ่
“จริง” เยาวลักษณ์ยอมรับ “เราไม่มีทางรู้เลยว่า คุณท่านมีไม้ตายอะไรซ่อนอยู่บ้าง”
แค่อำนาจสะกดอันร้ายกาจโดยแทบไม่ต้องขยับตัว ก็ทำให้เกือบพาส้มน้อยออกจากกรงขังไม่ได้ ไม่มีใครรู้จริง ๆ ว่า ดาวันสามารถทำอะไรได้อีก...
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
| < Prev | Next > |
|---|








