วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
เร้น ๓๐
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
นอกระเบียงห้องผู้ป่วย
ธันวาออกมายืนรับลม หวังให้ใจอันร้อนรุ่ม ขุ่นเคืองคลายลง การไม่ถือโทษ ยอมเข้าใจจากมารดาทั้งสองยิ่งทำให้เขารู้สึกผิด อาจไม่ถึงขั้นต้องลงโทษตัวเองเหมือนเมื่อก่อน แต่ใจเกิดความแค้นเคือง เจ็บปวดกับการกระทำของใครบางคน ที่เขาเคยนับเป็น ‘เพื่อนตาย’
โทรศัพท์ถูกเปิดอีกครั้ง เบอร์ที่โชว์เตรียมโทรออกยังค้างอยู่หน้าจอ ชั่งใจว่าควรโทรออกดีหรือไม่...เขาไม่อยากตัดสินคนจากข้อมูลสรุปเอง ต่อให้ข้อมูลนั้นจะชี้ความผิดไปยังบุคคลเดียวจริง ๆ
หากโทรศัพท์ถามไถ่ อาจทำให้ความสัมพันธ์ ‘เพื่อน’ ถูกทำลาย แต่ถ้าไม่โทรถามให้รู้ชัด เขาจะรู้สึกผิดต่อแม่ทั้งสอง มีนา และส้มน้อยอย่างยิ่ง
ชายหนุ่มกดโทรศัพท์...สัญญาณดังสามสี่ครั้ง คล้ายปลายสายกำลังมองเบอร์ของเขาอย่างชั่งใจเช่นกัน จากนั้นจึงรับสาย พูดด้วยน้ำเสียงปกติ
“ว่าไง โทรหากูซะดึกเชียว มีเรื่องเรียกใช้ หรือหาเพื่อนแดกเบียร์”
“กูมีเรื่องอยากให้ช่วยหน่อย” ธันวาสะกดน้ำเสียงให้ราบเรียบ
“ว่ามา...” น้ำเสียงอีกฝ่ายคล้ายรู้...เพื่อนต้องการพูดเรื่องอะไร
“ช่วย...พูดความจริงกับกูได้มั้ย” ธันวาหลุดวาจาประโยคนี้อย่างยากเย็น
“กูเคยโกหกมึงเมื่อไหร่” ภูริชถามตรงไปตรงมา
ธันวาอึ้ง...นึกทบทวน ภูริชไม่เคยโกหก เพียงแต่ไม่ยอมบอกเรื่องสำคัญของตัวเองให้ฟังเท่านั้น
“งั้น...ลองบอกมาสิ...มึงรู้มั้ยว่า...ตอนนี้กูอยู่ที่ไหน” คำถามซ่อนนัยสำคัญ
“...รู้...” วาจาเนิบเนือย “อยู่โรงพยาบาล...ที่บ้านมึง”
พูดเช่นนี้เท่ากับยอมรับ...ตนเองแฮกโทรศัพท์เพื่อน และอยู่เบื้องหลังการตามล่าวันนี้
ธันวาพูดอะไรไม่ออก เหมือนมีก้อนแข็ง ๆ จุกตันลำคอ ฝ่ายปลายสายจึงย้อนถามเสียเอง
“มีอะไรถามกูอีกมั้ย” ท้ายเสียงฟังท้าทาย
...ธันวากล้ารับรู้ความจริง เพื่อสุดท้ายแล้ว...ความเป็นเพื่อนต้องขาดกันหรือไม่?...
“มี...หลายเรื่องด้วย” ธันวาพูดช้า ๆ น้ำเสียงมั่นคงขึ้น
“งั้น...ถามมาแล้วกัน” เสียงภูริชสะดุดนิด ๆ “กูจะไม่โกหก...แต่...ไม่รับปาก...จะตอบทุกเรื่อง”
ธันวาถอนใจ สายตาเหลือบมองเข้าไปในห้องคนป่วย เห็นร่างมีนานอนเจ็บบนเตียง...ในใจเกิดความบอบช้ำเกินอธิบาย
...เพื่อนรักเป็นคนอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้หญิงที่เขารัก...
“มึงรู้ใช่มั้ย...ว่า...กูรักมีนา” ถามด้วยใจเจ็บแปลบ...ถามด้วยความอยากรู้...คนเป็นเพื่อนกล้าทำร้ายหัวใจของเพื่อนได้อย่างไร...
“เท่าที่กูได้รับ ‘รายงาน’” วาจาภูริชราบเรียบ ไม่แสดงความรู้สึก “ไม่มีใครบาดเจ็บสาหัส ไม่มีคนเสียชีวิต”
ธันวากัดฟันแน่น เน้นเสียงลอดไรฟัน
“มีนาไหล่หลุด ซี่โครงร้าว แขนหัก...ส่วนกู...เกือบถูกยิง!” คำพูดนี้หวังให้คนเป็นเพื่อนเกิดสำนึก
ภูริชเงียบชั่วขณะ คล้ายปรับอารมณ์ สะกดวาจาจนฟังราบเรียบ ปราศจากความรู้สึก
“มีนาจะไม่บาดเจ็บสักนิดเดียว ถ้ายอมให้ ‘ชาสั่งจิต’ บังคับให้มอบ ‘เด็ก’ แต่โดยดี...ส่วนมึง กระสุนนัดนั้นมีเจตนาแค่ทำให้บาดเจ็บเท่านั้น...เพราะถ้าจะให้มึงตาย มือระดับนั้นเหนี่ยวไกอีกนัดสองนัดมึงก็หนีไม่พ้น”
ปลายสายพูดเหมือนบรรยายเรื่องราวนอกตัว ไม่เกี่ยวกับตนเอง ไม่เกี่ยวกับเพื่อนสนิทเลย
ธันวาปวดแปลบในใจ เขามีเพื่อนสนิทไม่มากนัก ‘ภูริช’ เป็นเพื่อนคนเดียวที่เคยร่วมเป็นร่วมตาย ตีแผ่หัวใจเพื่อนแท้แก่กัน
วันนี้ ‘เพื่อนตาย’ กลับพูดจาเหมือนลืมเลือนมิตรภาพไปแล้ว
“มึง...ยังนับกูเป็นเพื่อน...อยู่หรือเปล่า” ธันวาถามประโยคสำคัญ
“มึงเป็นคนเดียว ที่กูเรียกว่าเพื่อน” ภูริชตอบ “ถ้ากูไม่คิดว่ามึงเป็นเพื่อน กูคงไม่มานั่งตอบคำถามงี่เง่าพวกนี้หรอก”
ธันวาตั้งสติ ไม่ยอมให้ความคับแค้นในใจมาทำให้พลาดโอกาสแบบนี้...วาจาต่อมาจึงมีน้ำหนัก เข้าประเด็นสำคัญ
“มึงบอกว่าจะไม่โกหกกู” ชายหนุ่มนิ่งชั่วขณะก่อนเข้าคำถามที่ไม่แน่ใจว่าเพื่อนจะตอบหรือไม่...
“งั้นมึงกล้าบอกกูตรง ๆ มั้ยว่า...เจ้าของมูลนิธิดาวันเป็นอะไรกับมึง?”
ความเงียบบังเกิด แทรกด้วยบรรยากาศอึดอัดระหว่างกัน ก่อนเสียงหัวเราะปร่า ๆ จากภูริชดังขึ้น
“ย่ากูชื่อวันดี...เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของคุณดาวัน...เจ้าของมูลนิธิดาวัน”
พอได้รับคำตอบตรงไปตรงมาอย่างนี้ ธันวานิ่งอั้น นึกคำถามต่อมาแทบไม่ทัน
“ย่าดาวัน...คือญาติที่มึงบอกว่าจะคอยช่วยเหลือ ตอนเราไปท่าเรือครั้งนั้นใช่มั้ย”
‘ญาติ’ คนนี้ ภูริชบอกว่านิสัยแปลก ไม่เดือดร้อนคับขันจริง ๆ จะไม่กล้าขอความช่วยเหลือ แต่เมื่อเอ่ยปากแล้ว ฝ่ายนั้นก็ดูจะช่วยเต็มที่จริง ๆ
เท่าที่ตี๋เล็กอ่านประวัติจากข่าวให้ฟัง...หลังจากภูริชขึ้นเรือไปต่างประเทศ เขาน่าจะได้รับการดูแลอย่างดี ทั้งมีทุนให้เรียนจนจบฮาร์วาร์ด ทำงานจนเป็นซีอีโอบริษัทใหญ่โต และกลับมายิ่งใหญ่ขนาดนี้
“ใช่” ภูริชตอบสั้น ๆ ไม่มีคำอธิบายมากกว่านั้น
“ผู้หญิงที่เราเจอท่าเรือเป็นใคร”
นี่เป็นปัญหาคาใจธันวาอย่างยิ่ง...ผู้หญิงคนนั้นมีใบหน้าเหมือนคุณดาวันสมัยยังสาวแทบไม่ผิดเพี้ยน
“นั่นแหละคุณย่าดาวัน!” ภูริชตอบเหมือนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา
คราวนี้ธันวาพูดไม่ออก ไม่อยากเชื่อว่าผู้หญิงที่ดูอายุประมาณสามสิบกลาง ๆ จะกลายเป็นหญิงชรา ซึ่งหากนับอายุเมื่อสิบห้าปีที่แล้ว ‘ย่าดาวัน’ ควรมีอายุ ๖๕ ปี
...เป็นไปได้หรือที่ผู้หญิงแก่ขนาดนั้น จะมีรูปร่างหน้าตาอ่อนกว่าวัยเป็นเท่าตัว...
ภูริชรู้ว่าธันวางุนงงสงสัยจนไม่สามารถตั้งคำถามต่อ จึงพูดสรุปเพื่อเตรียมวางสาย
“หมดเรื่องที่จะถามกูแล้วใช่มั้ย?”
“อืมม์” ธันวาไม่รู้จะถามอย่างไรต่อไป “กูไม่มีอะไรถาม...นอกจากมีเรื่องอยากขอร้อง”
“ว่ามาสิ” ภูริชเปิดโอกาส
“ปล่อยส้มน้อยไปเถอะ...เด็กตัวแค่นี้...มึงทำกับเขาลงได้ยังไง” ท้ายเสียงแฝงรอยเว้าวอนอย่างที่ธันวาไม่เคยพูดกับใคร
“ขอโทษ...เรื่องนี้มันเกินอำนาจการตัดสินใจของกู” ภูริชตอบไร้ความรู้สึก “กูเป็นแค่หนึ่งในคนที่ต้องรับคำสั่งเท่านั้น ต่อให้กูไม่ทำ ก็มีคนอื่นทำอยู่ดี”
ธันวาถอนใจเฮือกใหญ่ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เขารู้ว่าภูริชตรงไปตรงมาที่สุดแล้ว
“ถ้าอย่างนั้น...กูก็จะปกป้องเด็กคนนี้จนถึงที่สุด” ชายหนุ่มประกาศ
“ไม่เป็นไร” ภูริชไม่แสดงอารมณ์ “กูแค่ทำตามหน้าที่ของกูเท่านั้น...ไม่มีอะไรมากกว่านี้”
ทั้งสองเงียบงันเนิ่นนาน...นานจนตอบไม่ถูกว่าใครเป็นคนตัดสายการสนทนาก่อน
ธันวายังยืนริมระเบียงอีกชั่วขณะ จนนึกถึงบางวาจาของภูริชได้...
“เท่าที่กูได้รับรายงาน!”
ใครรายงานให้ภูริชทราบว่า มีนาไม่โดนชาสั่งจิต รับบาดเจ็บไม่ถึงขั้นสาหัส และเขาโดนเล็งยิงในจุดไม่สำคัญ
ประกายความคิดสว่างวาบ รีบเข้าไปในห้องพักฟื้น ดูจนแน่ใจว่าคนป่วยไม่มีอาการใดแทรกซ้อน จึงรีบออกจากห้อง ตรงไปยังห้องคนป่วยสำคัญอีกรายซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก
ผู้ชายที่ทำร้ายมีนา บาดเจ็บพอสมควร ถูกนำมารักษาโรงพยาบาลเดียวกัน โดยมีลูกน้องลุงชาติเข้าเวรเฝ้าประกบตลอด รอคอยให้ตำรวจมาสอบสวนในตอนเช้า
ก้าวมาถึงครึ่งทาง สวนกับลุงชาติที่เดินหน้าเครียดตั้งใจมาหาเขาเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้นครับลุง” ธันวาถาม
“คนร้ายมันหายไปแล้ว” ลุงชาติตอบ
ธันวาถอนใจเฮือกใหญ่...ไม่ผิดคาดหมายเลย
“หายไปได้ยังไง ไหนลุงบอกว่ามัดมันไว้กับเตียงแล้ว แถมจัดคนเฝ้าทั้งคืน”
สีหน้าผู้สูงวัยกว่าอึดอัด ขัดใจไม่แพ้กัน
“ไม่รู้เลยคุณธัน...ไอ้ตัวคนเฝ้าสลบไม่รู้เรื่อง จนคนเปลี่ยนเวรมาปลุกมันแล้วรายงานลุงนี่แหละ...อ้อ พวกมันเจอแต่เศษแคปซูลนี่ด้วยครับ”
ลุงชาติยื่นแคปซูลที่ถูกบิครึ่งออกมา ธันวารับมันมาดู เกือบดมกลิ่นแต่มีสังหรณ์มาเตือนจึงห่อใส่ถุงพลาสติกแทน
‘ชาสั่งจิต’ คำนี้ผุดขึ้นในหัว ธันวาเห็นผงในแคปซูล ไม่กล้าสูดดมกลิ่นแต่ก็พอได้คำตอบจากเสียงก้องในหัวตน
“มันหายไปนานหรือยัง” ธันวาถาม ในใจคิดว่าอาจตามล่าทัน
“สักชั่วโมงนึงได้แล้วล่ะคุณธัน...มือระดับนี้ถ้ารอดได้ก็เหมือนปล่อยเสือเข้าป่า ตามล่ามันไม่ทันหรอก”
ลุงชาติอธิบายอย่างเข้าใจเจตนาชายหนุ่ม
ได้ยินอย่างนี้ทราบชัด ภูริชได้รับ ‘รายงาน’ จากใคร หนำซ้ำทีมไล่ล่าที่เขาเผชิญหน้าด้วย ต่างสลายตัวรวดเร็ว ทีมลุงชาติตามจับตัวไม่ได้สักราย
“สรุปว่าเราไม่เหลือคนร้ายให้ตำรวจสอบปากคำสักรายเลย” พูดแล้วอ่อนใจ
“ยังไงบอกให้ตำรวจไปที่เกิดเหตุก็ได้นะคุณธัน...น่าจะมีหลักฐานเหลืออยู่บ้างล่ะ” ลุงชาติบอกอย่างมีความหวัง
ธันวาส่ายหน้า ไม่อยากคัดค้าน ในใจย่อมรู้...นอกจากเศษแคปซูลนี้ อย่าหวังเลยว่าจะมีหลักฐานอื่นหลงเหลือให้สืบสาว
ตอนนี้รู้ชัด...ภูริชและองค์กรนั้นร้ายกาจ น่ากลัวจริง ๆ
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
รุ่งเช้า อากาศบริสุทธิ์สดชื่น
ภายในเรือนกระจกปลูกพันธุ์ไม้หายากจำนวนมาก ได้รับแสงสว่าง น้ำ อุณหภูมิพอเหมาะ ทำให้มันเจริญงอกงาม ผลิใบออกดอกสวยงาม
ผู้หญิงร่างบอบบาง ใบหน้าสวยพิศปราศจากการปรุงแต่ง ดูงามตามธรรมชาติ สวมเสื้อผ้าฝ้ายสีครีมสบายตา กางเกงขาสามส่วนผ้านุ่มใส่สบาย มือถือตะกร้าเดินดูตามต้นไม้ต่าง ๆ
ตรงหน้าเธอเป็นกอไม้ล้มลุก ลำต้นสูงประมาณเอว ใบเรียวรีแยกเป็นสองแฉกดูคล้ายงาช้าง ส่วนอีกต้นเป็นไม้พุ่ม สูงราวเมตรครึ่ง ใบกลมเหมือนพระจันทร์เต็มดวง ผลิดอกสีขาวห้อยเป็นพวงย้อย ส่งกลิ่นหอมรวยริน
ทั้งสองคือต้นช้างลืม และต้นดอกดอยเดือน ส่วนผสมสำคัญของ ‘ชาสั่งจิต’
หญิงคนนั้นเลือกตัดใบช้างลืมที่สมบูรณ์ สีเขียวสดใส่ตะกร้าสิบกว่าใบ เลือกพวงดอกดอยเดือนใกล้แห้ง สีออกเหลืองอมน้ำตาลอีกห้าหกพวงแยกใส่ตะกร้าอีกมุมหนึ่ง
ด้านหลังเธอปรากฏร่างผู้ชายตัวโต ใบหน้าฟกช้ำ ตามตัวมีร่องรอยการต่อสู้กำลังยืนสงบเสงี่ยม รอคอย
“มีคนที่ไม่ตกอยู่ในอำนาจชาสั่งจิตด้วยรึ” หญิงผู้หิ้วตะกร้าเอ่ยถามลอย ๆ โดยไม่หันมามอง
“ครับ” ชายคนนั้นตอบด้วยน้ำเสียงหวั่น ๆ
“ลักษณะของคนคนนั้นเป็นยังไง” ถามพร้อมกับหยิบใบช้างลืมขึ้นมาดู แววตาสุกใสประหลาด ปกปิดอารมณ์ภายใน ไม่มีใครดูออก
“เป็น...ผู้หญิงสาวธรรมดากับ...เด็ก...” คำตอบเริ่มสั่น
“เด็กที่ทางเราต้องการตัวใช่มั้ย” ถามโดยไม่หันมามองเช่นเคย
“คะ...ครับ” ตอบพร้อมใจหายวูบ
“แค่...ผู้หญิงธรรมดาคนเดียว ต่อให้ใช้ชาสั่งจิตไม่ได้ ทำไมจัดการไม่สำเร็จ ปล่อยเด็กให้รอดอย่างนี้” คำถามบีบคั้นมากขึ้น
คนตอบกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอก่อนฝืนเอ่ยวาจา
“มัน...มีคนมาช่วยครับ ผมเองก็ถูกจับ”
“ถูกจับ” ทวนคำเบา ๆ ‘มือสังหาร’ ของตนพลาดท่าถูกจับได้เช่นนี้นับว่าขายหน้าอย่างยิ่ง
ผู้หญิงคนนั้นวางใบช้างลืมลงตะกร้าแล้วถามต่อเบา ๆ
“เธอรอดมาได้ยังไง” คำถามนุ่มนวลจนน่ากลัว
“ผมใช้แคปซูลยาที่ ‘คุณท่าน’ ให้ไว้ บีบมันจนแตก กลิ่นกระจายออกมา เลยสามารถสะกด ‘ผู้คุม’ ให้ปล่อยผมออกมาได้”
“อย่างนั้นรึ” ผู้ฟังมีรอยยิ้มมุมปากก่อนหันมาสบตาชายผู้นั้นตรง ๆ
“แสดงว่าชาสั่งจิตที่ฉันให้ไปก็ยังมีประสิทธิภาพอยู่!”
“ครับ” ตอบรับพร้อมก้มหน้างุดไม่กล้าสบตา
ตี๋เล็กเคยบอกมีนาว่า นอกจากชาสั่งจิตจะใช้ชงเป็นชาสำหรับดื่มเพื่อ ‘สั่งจิต’ แล้ว ยังสามารถเผาแบบกำยานให้มีควัน เพื่อใช้ประโยชน์แบบเดียวกันได้
หารู้ไม่...ผู้ ‘ปรุง’ ยาชนิดนี้ สามารถสร้างสรรค์ เพิ่มส่วนผสมพิเศษทำให้มันเป็นผงบรรจุแคปซูล เมื่อบิมันจนแตก จะส่งกลิ่น ‘สั่งจิต’ ได้ไม่ต่างจากดื่มชา หรือสูดควันกำยานเข้าไปเลย เพียงแต่มันใช้ได้แค่ชั่วเวลาสั้น ๆเท่านั้นก็หมดฤทธิ์รวดเร็ว
“เธอรายงานเรื่องนี้ให้ใครรู้หรือยัง” ถามเสียงนุ่มนวลเช่นเคย
“เอ่อ...” ผู้ตอบสีหน้าอึดอัด รู้สึกหวั่นกับน้ำเสียงเช่นนี้ของคุณท่าน “ระหว่างเดินทางเมื่อคืน...ผมรายงาน Wolf ไปแล้ว”
“ดีแล้วนี่...” ผู้พูดไม่มีร่องรอยขัดใจ “เธอทำหน้าที่...ไม่เลว”
ท้ายประโยค แววตาหญิงคนนั้นทอประกายฉายโชนขึ้นวูบหนึ่ง โดยฝ่ายตรงข้ามไม่อาจสังเกตเห็น
“ขออนุญาตค่ะคุณท่าน” เสียงจากลำโพงตรงประตูเรือนกระจก
‘คุณท่าน’ ยกมือขึ้นโบกรับเป็นเชิงอนุญาต ชั่วอึดใจเดียว หญิงสาวที่ยืนรอหน้าประตูก็เข้ามารายงานด้วยสีหน้าสงบสำรวม
“พวกเขามารอประชุมกันแล้วค่ะ”
“งั้นรึ” เสียงรับคำไม่แสดงความรู้สึก ดวงตาคงยังสุกใส เหลือบมองชายตัวโตที่ยืนกุมมือสำรวมรอ ‘คำตัดสิน’ แล้วหันกลับมาทางหญิงสาวผู้มาใหม่
“ฝากด้วยนะเมวดี” พูดพลางยื่นตะกร้าที่มีสมุนไพรทั้งสองชนิดให้
หญิงสาวรับตะกร้านั้น ก้มมองดูแล้วหรี่ตาด้วยรอยตระหนกชั่วแวบ...ดอกดอยเดือนหนึ่งพวงในตะกร้าถูกบี้บีบจนเละ ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ออกมา
‘คำตัดสินโทษ’ ออกมาแล้ว!
‘คุณท่าน’ เดินออกจากเรือนกระจกโดยไม่จำเป็นต้องเหลียวหลัง หันมาย้ำก็ทราบว่า...ผู้รับคำสั่งจะทำอย่างไรต่อไป
เมวดีก้าวไปหาชายตัวโตที่เพิ่งกล้าเงยหน้า เมื่อ ‘คุณท่าน’ ออกจากเรือนกระจก...จมูกกลับได้กลิ่นคุ้นเคยอย่างยิ่ง
‘ชาสั่งจิต’ ถูกแพร่กลิ่นเมื่อใดไม่มีใครทราบ เมวดีรีบเปล่งวาจาเป็นคาถาสั้น ๆ สี่ห้าคำ ทำให้ชายตัวโตยืนนิ่งขึง แววตาว่างเปล่าเลื่อนลอย ง่ายต่อ ‘สั่งการ’ ให้ทำสิ่งใด ๆ
“กลับไปที่พักเธอซะ” เมวดีชะงักวาจาชั่วขณะ เหมือนกำลังชั่งใจก่อนพูดต่อ “นอนหลับให้สบาย...หลับไปโดยไม่ต้องตื่นอีกเลย!”
...นี่เป็นความปราณีอย่างเดียว ที่เธอสามารถให้กับ ‘มือสังหาร’ ด้วยกัน...
คำที่บอกว่า ‘ฝากด้วยนะ’ และดอกดอยเดือนถูกขยี้คือคำสั่ง ‘ประหาร’ จากคุณท่าน
เมวดีได้ยิน Wolf กับ Killer ถกเถียงกันเมื่อครู่จึงรู้ว่ามือสังหารทำงานพลาด ชาสั่งจิตไม่ได้ผล
‘ชาสั่งจิต’ เป็นผลงานที่คุณท่านภูมิใจอย่างยิ่ง การที่บอกว่ามันทำหน้าที่ไม่ได้ผล เท่ากับเป็นการดูถูกฝีมือผู้ปรุงยา โทษทัณฑ์อย่างเบาก็ต้องป่วยหนักสามวัน...แต่ชาสั่งจิตทำงานไม่ได้ผล แล้วยังพลาดนำตัวเด็กที่อยู่ต่อหน้ามาไม่ได้อีก...ความผิดสองกระทงนี้คือ...หมดโอกาสเป็นมือสังหารต่อไป
ชายตัวโตสะดุ้งเฮือก คล้ายเพิ่งรู้สึกตัว...แต่ทว่า...ในหัวกลับมีหมอกควันฟุ้ง ๆ รบกวนจนคิดอะไรไม่ออก ไม่มีสติสัมปชัญญะหลงเหลือ
บอกตัวเองแค่...เหนื่อย...เหนื่อยเหลือเกิน ต้องรีบกลับไปนอน...พักผ่อนให้พอ
ส่วนลึกในใจร้องค้าน...อย่าไป อย่าทำ...ไม่...ไม่นอน...นอนไม่ได้...เมื่อไหร่ที่เอนตัวนอนหลับ เขาจะไม่มีโอกาสตื่นขึ้นมาอีก สภาพอาการจะเหมือนกับคน ‘ไหลตาย’ หลับไม่ตื่น ไม่พบสาเหตุเสียชีวิต
ต่อให้ส่วนลึกในใจร้องค้านอย่างนั้น ร่างกายก็ไม่อาจขัดขืน...เดินออกจากเรือนกระจก เพื่อหาทางกลับไปยังที่พักนอกมูลนิธิดาวัน...เพื่อนอน...หลับตลอดกาล...
เมวดีมองตามหลังชายคนนั้นด้วยแววตาหวั่น...ชีวิต ‘มือสังหาร’ ที่พวกเธอไม่ได้เลือกมันเปราะบาง เหมือนด้ายเปื่อยจะขาดเมื่อใดสุดรู้...
ชายคนนั้นทำงานผิดพลาด...ไม่อาจมีชีวิต...คนที่น่าสงสารกว่านั้น ‘ดอกแก้ว’ แค่ถูกสงสัยว่ามีใจออกห่าง ก็รับโทษไม่ต่างกัน
หญิงสาวตอบไม่ถูก...วันไหนจะถึงคิวของเธอ
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
บ้านคุณดาวัน
หลายคนอาจวาดภาพบ้านหญิงชรา เจ้าของมูลนิธิดาวันเป็นตึกสองชั้นทันสมัย ออกแบบสวยงามด้วยฝีมือสถาปนิกมือรางวัล ภายในตกแต่งจากไอเดียมัณฑนากรระดับศิลปิน สวนดอกไม้โดยรอบใช้นักออกแบบมืออาชีพ
ความเป็นจริงแล้ว บ้านคุณดาวันเป็นบ้านไม้ครึ่งปูนชั้นเดียวยกพื้นสูง ปูกระเบื้องลายล้าสมัยแต่คลาสสิก หลังคาเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมตีแบบเกล็ดปลา ฝาผนังทำจากไม้เนื้อดี ทนทานบอกอายุยาวนาน
ระเบียงกว้างหน้าบ้านใช้เป็นที่รับแขก มีเก้าอี้หวายรองเบาะนุ่มล้อมรอบโต๊ะไม้สักตัวเล็ก ซึ่งขณะนี้เก้าอี้หวายสามในสี่ตัวถูกจับจองเรียบร้อย เหลือเพียงตัวเดียวปล่อยว่าง รอเจ้าของบ้าน
Light Killer Wolf หมอเยาวลักษณ์ โชติ ภูริช นั่งพูดคุยเสียงไม่ดังนัก ทว่ามีกระแสขัดแย้ง ขุ่นเคืองแผ่ออกมาโดยรอบ ขนาดตรงหน้าทุกคนมีน้ำเย็น ๆ ลอยดอกมะลิหอมวางให้ดื่มดับอารมณ์ ก็ยังไม่สามารถช่วยได้
“การทำงานเกินหน้าที่ กับทำงานโดย ‘ไม่รู้’ หน้าที่ตัวเอง มันต่างกันนะ” โชติกล่าวกับเด็กรุ่นลูก
“ผมแค่พยายามทำงานเต็มความสามารถ ไม่ได้คิดว่าเกินหน้าที่ หรือไม่รู้จักหน้าที่ตัวเอง” ภูริชตอบด้วยสีหน้าปกติ
“แล้วผลเป็นยังไงล่ะ” โชติถามแววตาเยาะ
“ผลคือ...ตอนนี้เรารู้ว่าเด็กอยู่ที่ไหน...มีใครคุ้มครอง ฝ่ายนั้นมีความสามารถแค่ไหน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการวางแผนลงมือครั้งต่อไป”
ภูริชตอบชัดเจน ไม่มีร่องรอยยอม ‘ลง’ ให้กับผู้อาวุโสกว่า
คุณหมอเยาวลักษณ์คิดจะเป็นคนกลางห้ามทัพชายต่างวัย ตำแหน่งเสมอกันคู่นี้ แต่คิดว่าลองปล่อยให้ทั้งสองตีฝีปากอีกสักพัก ดูว่าใครจะ ‘คม’ กว่ากัน
“ลงมือครั้งต่อไป” โชติทวนคำ
“ผมไม่คิดว่างานครั้งนี้ผิดพลาด พวกเราไม่โดนจับ ไม่ทิ้งร่องรอยไว้สักคน แล้วเราก็ยังมีเวลาเหลือ เพราะกำหนดเซ็นสัญญาคือปลายสัปดาห์ ส่วนกำหนดเดินทางเป็นคืนมะรืนนี้ เราน่าจะพา ‘อวัยวะสำรอง’ มาได้ก่อนหน้านั้น”
ชายหนุ่มอธิบายใจเย็น
“ ‘เรา’ อย่างนั้นรึ” โชติย้อนถามเสียงหนัก “ลืมไปแล้วหรือว่าตัวเองตำแหน่งอะไร มีหน้าที่แค่ไหน”
คำพูดบอกชัด ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายเข้าไปก้าวก่ายงานในหน้าที่ตน
“ครับ...ผมไม่ลืม” ใบหน้าภูริชเกลื่อนรอยยิ้ม “เพราะโดยตำแหน่งหน้าที่ผมแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำ ‘อวัยวะสำรอง’ ขึ้นเครื่องไปให้ได้ตามกำหนดการ”
“ฉะนั้น” ชายหนุ่มพูดต่อเสียงหนักแน่น “ผมต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อให้มั่นใจว่า คืนมะรืนนี้ ‘อวัยวะสำรอง’ ต้องอยู่บนเครื่องบินส่วนตัวตามแผน”
การมีเครื่องบินส่วนตัว ใช่ว่าสามารถบินไปไหน เมื่อไหร่ได้ตามใจ ต้องทำแผนการบิน ขออนุญาตเดินทางล่วงหน้าอย่างถูกต้อง ไม่เช่นนั้นการเดินทางจะถูกตรวจสอบวุ่นวาย ร้ายสุดอาจไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นบิน
“ทำทุกวิถีทาง” ชายชราเน้นวาจาภูริช “แม้แต่จะต้องข้ามหัวผู้ใหญ่โดยไม่เกรงใจอย่างนั้นหรือ”
ภูริชสบตาผู้สูงวัยกว่าโดยไม่หลบ
“ผมไม่ได้ข้ามหัวนะครับ...ผมก็ทำตามหน้าที่ตัวเองเหมือนกัน” วาจาไม่มีคำก้าวร้าว แต่ไม่แสดงการให้เกียรตินอบน้อมเช่นกัน
ดวงตาโชติเหมือนมีเปลวไฟลุกโชน สีหน้าเครียด โทสะอัดอกแทบระเบิด หมอเยาวลักษณ์รู้ว่า ถึงเวลาที่ตนต้องเป็น ‘น้ำ’ ดับไฟอันร้อนแรงจากการต่อปากต่อคำครั้งนี้แล้ว
หญิงสูงวัยขยับตัวตั้งใจเอ่ยปากขอให้สงบศึก...จู่ ๆ กลิ่นหอมอ่อน ๆ โชยชายมาจากด้านนอก บรรยากาศเคร่งเครียด กดดันหายไป
ทุกคนหันไปทางต้นกลิ่น พบร่างเล็กบอบบาง สวมเสื้อผ้าฝ้ายสีครีม กางเกงขาสามส่วนเดินขึ้นบันไดขั้นเตี้ย ๆ มาบนระเบียงอย่างสบายอารมณ์
ทั้งสามต่างรีบลุกขึ้นยืนต้อนรับผู้มาใหม่
“รอนานมั้ย” เสียงมาถึงก่อนเจ้าตัว
“ไม่นานค่ะคุณท่าน” เยาวลักษณ์ตอบแทนทุกคน
“งั้นรึ” ดวงหน้ายังสาวยิ้มน้อย ๆ กวาดตามองใบหน้าทุกคน “นั่งลงสิ”
พอได้รับอนุญาต ทุกคนจึงนั่งบนเก้าอี้ดังเดิม ความเคร่งเครียด ขัดแย้งสลายตัวลงทันที เหมือนมีกระแสพลังงานที่มองไม่เห็นครอบคลุมบริเวณนี้ไว้
กระแสพลังนั้นทำให้ทั้งสามเกิดย่นระย่อหญิงผู้มาใหม่ ในใจเกรงกลัวลึก ๆ โดยอีกฝ่ายไม่แสดงท่าทีอย่างใดเลย
‘คุณท่าน’ นั่งบนเก้าอี้หวายตัวสุดท้าย กิริยาเป็นกันเอง ดวงหน้าดูสูงวัยกว่าภูริชเพียงเล็กน้อย แต่กลับทำให้หญิงชรา และชายสูงวัยทรงอำนาจทั้งสองเกิดความเคารพ นอบน้อมได้
นี่คือ ‘คุณดาวัน’ เจ้าของมูลนิธิดาวัน ‘คุณย่า’ ภูริช เป็นผู้เลี้ยงดู ให้ชีวิตใหม่แก่เด็กหญิงเยาวลักษณ์เมื่อห้าสิบปีก่อน อีกทั้งยื่นตำแหน่ง ‘หัวหน้าแก๊ง’ นายใหญ่มาเฟียให้แก่โชติ...หนุ่มมาเฟียเลือดร้อนเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว
สตรีวัยแปดสิบ ที่ดูเหมือนหญิงสาวอายุสามสิบกลาง ๆเท่านั้น
“มีปัญหาอะไรกัน” คำถามไม่เจาะจงผู้ตอบ
เยาวลักษณ์เตรียมรายงานเรื่องราวด้วยมุมมองคนกลาง ตั้งใจไม่เข้าข้างฝ่ายใด ภูริชกลับพูดขึ้นด้วยสีหน้าเกลื่อนรอยยิ้ม
“Killer เห็นว่าผมก้าวก่ายหน้าที่ครับ”
วาจานี้ทำให้คนถูกกล่าวถึงหน้าตึง แต่ไม่แสดงกิริยาขัดใจ ขุ่นเคืองต่อหน้าเจ้าของบ้าน
“แล้วจริงหรือเปล่าล่ะ” ดาวันถามหลานชายแบบไม่เข้าข้างใคร
“เมื่อวานผมแจ้งในที่ประชุมแล้วว่า เด็กซ่อนอยู่ที่ไหน...Killer ส่งคนไปตามจับแต่พลาด ผมแกะรอยทัน เลยรีบส่งคนไปก่อน เพราะถ้ามัวส่งข้อมูลให้ อาจคลาดกับเป้าหมาย”
“อืม...ฟังดูก็เหมือนไม่ได้ก้าวก่ายอะไรนะ”
ชายชราได้ยินอย่างนั้นก็นิ่งขึง ถอนใจ ไม่คัดค้านอย่างใด
“แต่...” ผู้อาวุโสสูงสุดมองหลานชายด้วยรอยยิ้มแปลก “ถ้าตอนนั้นเธอส่งข้อมูลให้โชติด้วย...ถึงจะตามไปช้าหน่อย แต่ก็จะได้ทีมเสริมแข็งแกร่งตามมาสมทบ...อาจทำให้งานเมื่อคืนไม่พลาดก็ได้”
ภูริชยิ้มรับ
“จริงครับ”
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
< Prev | Next > |
---|