วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เร้น ๒๙


            
Ren



ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ‘เขา’ ได้รับคำสั่งจาก ‘คุณท่าน’ ให้มาทำงานเป็นลูกน้อง Wolf คนใหม่ นอกจากรับคำสั่งของเจ้านายแล้ว ยังต้องรายงานพฤติกรรมของบุคคลนี้ต่อ ‘คุณท่าน’ โดยตรง

            Wolf สั่งงานด่วน ให้มาซุ่มคอยที่บ้านหลังนี้พร้อมติดตั้งเซ็นเซอร์ไว้ที่รั้วบ้าน

            ภารกิจของเขาคือเฝ้ารอคอยเหยื่อให้มาติดกับดัก แผนการถูกวางอย่างรอบคอบรัดกุม ลูกน้องโดยตรงของ Wolf ทำหน้าที่ไล่ล่าเหยื่อ ส่วน ‘มือสังหารพิเศษ’ อย่างเขาจะอยู่รอคอยตะครุบเหยื่อแบบนุ่มนวล

            เสียงปืนนัดแรกดังจากถนนใหญ่ บอกให้รู้การตามล่าเริ่มต้นแล้ว...

            เวลาผ่านไป...ผ่านไป...รอบกายเงียบสงัด เจ้าของบ้านตัวจริงถูก ‘ยาสลบ’ หลับสนิทบนห้องจนถึงเช้า ไม่รู้ว่าบ้านตนเองกลายเป็นกับดัก ล่อแมลงโง่ให้หลงบินเข้ามา

            ไฟกะพริบวะวาบ ส่งสัญญาณจากเซ็นเซอร์ริมรั้ว บอกให้ทราบ...เหยื่อติดกับดักแล้ว

            ตามที่ Wolf คำนวณไว้ เหยื่อจะเข้ามาขอความช่วยเหลือจากคนในบ้าน แต่รอครู่หนึ่งยังเงียบ ดูเหมือนฝ่ายนั้นลังเลไม่แน่ใจ หยุดดูลาดเลานอกรั้ว ไม่ผลีผลามสุ่มสี่สุ่มห้าเข้ามาทันที

            ใบหน้าเขาเผยรอยยิ้มหยัน ‘เหยื่อ’ คิดว่าตนฉลาด ระวังตัวดีแล้ว หารู้ไม่...เมื่อใดเหยียบย่างเข้ามาในบริเวณรอบบ้านหลังนี้ ย่อมโดนควันกำยาน ‘ชาสั่งจิต’ ที่เขาจุดทิ้งไว้ข้างนอกตั้งแต่สิบห้านาทีที่แล้ว

            ยิ่งซุ่มซ่อนนอกรั้วนานเท่าไหร่ ก็จะสูดกลิ่นควันอันตรายมากเท่านั้น จนสุดท้ายยากแก้ไข ไม่มีใครรักษาได้

            เขาดูนาฬิการอให้ควันชาทำหน้าที่มันอย่างเต็มประสิทธิภาพ ประมาณห้าถึงสิบนาที จากนั้นล้วงเม็ดยาลูกกลมสีน้ำตาลจากกระเป๋านำมาวางใต้ลิ้น รอให้มันละลายจนหมดจึงลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อม

            ‘ยา’ ซึมซาบสู่ร่างกาย สามารถป้องกันฤทธิ์ควันอันตรายได้หนึ่งชั่วโมง ซึ่งเหลือเฟือพอจัดการเหยื่อจนสำเร็จ

            ออกจากบ้าน เดินไปเปิดประตูรั้วด้านหลัง สัญญาณจากเซ็นเซอร์บอกให้รู้ว่าเหยื่อซุ่มซ่อนอยู่ตรงไหน

            เพียงกวาดตามองตามเงามืดใต้ต้นไม้ใหญ่ พบเงาดำตะคุ่มสองร่าง หนึ่งหญิงสาวหนึ่งเด็กน้อยนั่งคุดคู้กลมกลืนกับความมืด

            “ใคร...ใครหลบอยู่ตรงนั้นน่ะ” เขาแสร้งเล่นละครเป็นเจ้าของบ้าน ทำเสียงตกใจเมื่อพบคนแปลกหน้า

            ร่างนั้นนิ่งขึงไม่กล้าขยับตัว คล้ายลังเลไม่แน่ใจควรทำอย่างไร

            “ถ้าไม่ออกมา ผมจะแจ้งตำรวจนะ” พูดไปอย่างนั้นเอง เขาคงไม่เรียกตำรวจมาจับตนเองแน่

            คำว่า ‘ตำรวจ’ ได้ผลตามคาด หญิงสาวในเงามืดขยับตัวลุกขึ้นยืน มืออุ้มเจ้าตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน

            “คุณเป็นใครน่ะ” เขาพยายามทำเสียงแปลกใจ สงสัย เพื่อให้อีกฝ่ายเชื่อถือ คิดว่าเป็นเจ้าของบ้านไม่รู้อิโหน่อิเหน่จริง ๆ

            “ขอโทษ” เสียงหญิงสาวดังขึ้น ก่อนเธอเดินออกมายังแสงสว่าง “ไม่ต้องโทรบอกตำรวจหรอก ฉันไม่ใช่คนร้าย”

            พอยืนชัดเจนท่ามกลางแสงสว่างเช่นนี้ เขาลอบยินดี ‘เด็ก’ ในอ้อมแขนหญิงสาวตรงกับสินค้าสำคัญ ที่ต้องนำไปส่งเจ้านายโดยไม่ให้มีริ้วรอยบุบสลาย

            “คุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่า เข้ามาก่อน...คุยกันใกล้ ๆ ก็ได้”

            ผู้หญิงคนนั้นถอนใจ ลังเลใจชั่วขณะ มองเขาอย่างชั่งใจ ก่อนเดินเข้ามาใกล้จนมองเห็นใบหน้าชัด ระยะแค่นี้ไม่ยากเลยที่จะ ‘สั่งจิต’ ให้อีกฝ่ายทำตามโดยไม่ขัดขืน

            เขาจ้องตาหญิงสาว เปล่งวาจาด้วย ‘คาถา’ ภาษาแปลก ๆ สองสามคำ จากนั้นพูดเรียบ ๆ ด้วยน้ำเสียงทรงพลัง

            “ส่งเด็กมาให้ผม!”

            หญิงสาวเบิกตากว้าง ถอยห่างอย่างผิดคาด เขาเพ่งจ้องดวงตาเธออีกครั้ง กล่าววาจาสะกดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เต็มไปด้วยพลังกว่าเดิม

            “วางเด็กลง...ส่งมาให้ผม”

            “ไม่!” หญิงสาวถอยกรูด ดวงตาวาวโรจน์ดุจแม่เสือร้าย วงแขนโอบกระชับเด็กหญิงมั่นคง ชนิดไม่ยอมปล่อยให้ใครมาช่วงชิง

            “เธอ...ไม่โดนฤทธิ์ชาสั่งจิต...” เขาพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ

            ควันกำยานถูกจุดก่อนหน้านี้ไม่นาน บริเวณโดยรอบไม่มีลมแรง ขณะนี้ยังได้กลิ่นของมันโชยชาย ผู้หญิงตรงหน้าสูดดมไม่ต่ำกว่าห้านาที สมควรตกอยู่ใต้อำนาจแล้ว เหตุใดเธอจึงยังปกติเช่นนี้?



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ตอนที่รู้ตัวว่าโดนควันชาสั่งจิต มีนานึกถึงตี๋เล็ก และผงว่านปลุกเสกครูแกลงที่เขาให้ไว้

            มันอยู่ในกระเป๋าสะพายซึ่งเธอคว้ามันมาจากรถด้วยความเคยชิน ไม่รู้สึกเกะกะกีดขวางระหว่างหลบหนี

            ล้วงมือลงกระเป๋า หยิบหลอดใสขนาดเท่าหลอดยาดมออกมา สัมผัสรอยอุ่นจัด เหมือนธันวาเคยเล่าให้ฟังตอนผงว่านนี้อยู่ใกล้ร่างมาโนช แสดงว่าผงว่านปลุกเสกข้างในหลอดมีปฏิกิริยากับควันชาสั่งจิตเช่นกัน

            เปิดฝาสูดกลิ่นเต็มแรง ผงว่านเข้าจมูกฉุนกึก ก่อนหัวโล่งโปร่ง คล้ายขยะถูกเก็บกวาดออกไป จากนั้นให้ส้มน้อยสูดดมตาม



            ทว่า...ต่อให้ควันชาสั่งจิตทำอะไรสองสาวต่างวัยไม่ได้ ชายตรงหน้ากลับอันตรายยิ่งกว่า เขาคือผู้ล่าที่อาจพลิกสถานการณ์ช่วงชิงตัวส้มน้อยไปได้ในที่สุด

            ...มีนาไม่ยอม...ต่อให้ทุ่มเทด้วยชีวิต เธอก็จะปกป้องเด็กคนนี้...

            หญิงสาวถอยจนหลังชนต้นไม้ใหญ่ รู้ว่าไม่มีทางหนีไปไหนได้แล้ว จำเป็นต้องยืนหยัดสู้ยิบตาเพื่อปกป้องเจ้าตัวเล็กจากภัยร้าย

            มีนาจ้องมองฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ยอมหลบ ริมฝีปากเลื่อนมาที่หูส้มน้อย กระซิบแผ่วเบาทว่าหนักแน่น

            “ส้มน้อย...หลบไปก่อน...รักษาตัวให้ดี...ไปหาคุณพ่อให้เร็วที่สุด!”

            เด็กหญิงทราบว่าภัยร้ายแรงใกล้มาถึง ตั้งแต่ผู้ชายคนนั้นบอกให้ ‘แม่มีน’ ส่งตัวเธอให้เขาแล้ว

            เสียงพูดหนักแน่นของมีนาทำให้แข้งขาที่กำลังสั่นเทาด้วยหวาดกลัวของส้มน้อยเริ่มมีกำลังเรี่ยวแรงขึ้นมา ความกล้าหาญถูกปลุกขึ้นในจิตใจ

            มีนายอบตัวลงเล็กน้อย ปล่อยเด็กหญิงลงกับพื้น แล้วใช้ร่างตนเองบดบังเจ้าตัวเล็กไว้

            “คิดว่าเธอ...จะช่วยเด็กคนนี้ได้หรือ” ชายแปลกหน้าถามด้วยดวงตากร้าว

            การที่ควันชาสั่งจิตไม่ออกฤทธิ์ แปลว่าความสามารถของเขาไม่เพียงพอ ถือว่าทำงานผิดพลาด ‘คุณท่าน’ ทราบต้องลงโทษรุนแรง

            วิธีเดียวที่จะพ้นผิด แก้ตัวได้คือต้องจัดการผู้หญิงตรงหน้าให้เด็ดขาด และชิงตัวเด็กมาอย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องสนใจวิธีการ

            มีนาไม่ตอบวาจา...ลักษณะท่าทางแววตาเปลี่ยนไป จากหญิงสาวอ่อนแอปวกเปียก คอยพึ่งพาผู้ชาย กลายเป็นแม่เสือลูกอ่อน พร้อมเข้าฟาดฟัน ขย้ำทุกคนที่หาญกล้ามาช่วงชิงลูกของเธอ

            ส้มน้อยค่อย ๆ ถอยหลังหลบซ่อนในเงามืดตามคำสั่งมีนา...ผู้ชายคนนั้นก้าวตามทันทีแต่โดนหญิงสาวสกัดกั้น เพื่อปกป้อง ‘ลูกรัก’ แววตาดุ น่ากลัวอย่างไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน

            มีนาไม่เคยเรียนศิลปะการต่อสู้ แต่เธอก็เล่นกีฬา ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อรักษารูปร่าง อีกทั้งยังอยู่กับคนที่เก่งเรื่องต่อยตีตั้งแต่เด็ก เห็นการฝึกซ้อมต่อสู้จนชิน ได้ยินคำสอน เทคนิคมากมาย

            “อย่าละสายตาจากคู่ต่อสู้”

            “มีสติ อย่าลนลาน อย่าให้ความกลัวเอาชนะเราก่อนคู่ต่อสู้จะลงมือ”

            “ถ้าเราอ่อนแอกว่า อย่าปะทะตรง ๆ ใช้สมองมากกว่ากำลัง”

            “ในสถานการณ์จริง ทุกสิ่งรอบตัวใช้เป็นอาวุธได้หมด”

            “แค่ใจไม่ยอมแพ้...ชัยชนะก็มาได้ครึ่งทางแล้ว”

            สารพัดคำสอนของลุงชาติตอนตะโกนบอกลูกศิษย์ในค่ายมวย ดังสะท้อนในหัวอีกครั้ง

            ...เพื่อปกป้องคนสำคัญ มีนาถอยไม่ได้ ละสายตาจากชายตรงหน้าไม่ได้ ต้องสู้จนถึงที่สุด...

            ...ความคิดปกป้องคนอื่น ปลุกพลังแฝงเร้นในกายขึ้นมา...



            เขาย่างเข้ามารวดเร็ว หวังจัดการปิดบัญชีหญิงสาวในหมัดเดียว แล้วคว้าตัวเด็กหญิงไว้ ก่อนเจ้าตัวเล็กจะเตลิดหนีหายหลบตามพงหญ้าในความมืด

            หญิงสาวดูอ่อนแอคนนี้ กลับไม่อ่อนแออย่างที่คิด หล่อนหลบหมัดแรกของเขาได้ แล้วผลักให้เด็กหญิงอ้อมต้นไม้ หนีไปทางด้านหลัง พอเขาไล่ตาม เธอก็กระโจนเข้าขวาง...ปล่อยให้ส้มน้อยเร้นกายหายในเงามืด

            เขาจึงประจันหน้า ฟาดหลังมือเข้าใส่ ตั้งใจให้หล่อนสลบคามือ

            มีนาย่อตัวหลบ แล้วต่อสู้ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี แรก ๆ ใช้วิธีล่อหลอกตีฉาบฉวยห่าง ๆ คอยหลบหมัดเท้าเป็นระยะ พอถูกฟาดจนล้ม ก็คว้าก้อนหินขว้างใส่ไม่ยั้ง ทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าบุกเข้าใกล้

            โชคดีคว้าท่อนไม้ใกล้ตัวได้ รีบหาจังหวะหวดใส่ตรง ‘จุดอ่อน’ อีกฝ่ายจนตัวงอซวนเซเสียขบวนชั่วขณะ ทุกอย่างรอบตัวเธอกลายเป็นอาวุธ ใช้ต่อสู้อย่างมีสติ ไม่ยอมให้ความหวาดกลัวครอบงำ

            ผู้ชายตัวโต กับผู้หญิงบอบบางสูงเกินไหล่นิดเดียว ต่อสู้แบบไม่ยุติธรรมสักนิด แต่หญิงสาวคนนี้กลับไม่ยอมแพ้ พลาดโดนตบจนล้มอีกที เธอก็เอาคืนด้วยการขว้างก้อนหินใส่หน้าผากอีกฝ่ายจัง ๆ แล้วรีบลุกคอยหลบหลีกการตอบโต้ ระวังจุดอ่อนตัวเองอย่างคล่องแคล่ว กำท่อนไม้ในมือแน่น ฟาดใส่อย่างมีเป้าหมาย ไม่ยอมหลับตาสู้แบบคนขาดสติ จึงมองเห็นอีกฝ่ายโจมตีมาทางใด ตนเองสามารถหลบหลีก ตีฟาดตอบโต้วิธีไหนได้บ้าง

            ถึงอย่างนั้น ผู้ชายตัวโต แข็งแรง ถูกฝึกมาเพื่อเป็นมือสังหาร จึงแกร่งกว่าธรรมดา โดนมีนาฟาดหลายไม้ตรงจุดสำคัญก็ยังจู่โจมตบต่อยหญิงสาวได้หลายครั้ง เพียงแต่หล่อนหลบไวไม่โดนจัง ๆ จึงไม่ถึงขั้นสลบ ทว่าร่างกายก็เต็มไปด้วยบาดแผล รอยฟกช้ำทั่วตัว

            มีนาไม่สนใจร่างกายเจ็บปวด บอบช้ำแค่ไหน คิดเพียงทำอย่างไรจึงจะหยุดผู้ชายคนนี้ให้ได้ เธอไม่หวังเอาชนะเขา แต่ต้องการซื้อเวลาให้ส้มน้อยหลบหนี ซ่อนตัว จนกว่าธันวา หรือพวกลุงชาติจะตามมาช่วย

            ร่างมือสังหารชายเต็มไปด้วยบาดแผล รอยฟกช้ำจากท่อนไม้ ก้อนหิน ตัวมีนาก็บอบช้ำไม่น้อยกว่ากัน เวลานี้ยืนหยัดได้ด้วยจิตใจล้วน ๆ ใจที่หวังปกป้องเด็กหญิงตัวน้อย ไม่ต้องการให้เธอพบชะตากรรมอันเลวร้าย

            ...แต่...จิตใจเข้มแข็งสักแค่ไหน ร่างกายก็เป็นผู้หญิงบอบบาง จะทนทานได้นานเท่าใด...



            ส้มน้อยน้ำตาไหลพราก ละล้าละลังไม่กล้าหนีไปตามคำสั่งมีนา...หนูน้อยกลัวคุณแม่คนนี้จะมีชะตากรรมเหมือน ‘พี่ป้อง’ เด็กผู้ชายที่ปกป้องเธอด้วยชีวิต จึงแอบมองซ่อนตัวเอาใจช่วย ‘แม่มีน’ อยู่ในพงหญ้าใต้เงามืด

            ลมยะเยือกพัดแผ่วผ่านแขนส้มน้อย...เด็กหญิงขนลุกซู่ รู้สึกเหมือนมีมือ ‘พี่ป้อง’ มาฉุดดึง ร้องบอกให้รีบหลบหนี ทำให้ได้สติ นึกถึงคำสั่งของ ‘แม่มีน’ ได้ชัด

            “...ไปหาคุณพ่อให้เร็วที่สุด...”

            วิธีเดียวที่จะช่วย ‘แม่มีน’ เธอต้องตามหา ‘คุณพ่อ’ ให้เจอ...มีแต่พ่อธันวาเท่านั้น จึงสามารถช่วยแม่มีนได้

            สัมผัสที่เกาะกุมมือคล้ายมีอาการกระตุก ดึงแขนเด็กหญิงให้หันหลังจากภาพการต่อสู้ วิ่งฝ่าพงหญ้าท่ามกลางความมืด รอบกายมองไม่เห็นสิ่งใด ไม่รู้เหนือใต้ ส้มน้อยวิ่งตามทิศทางแรงฉุดดึงนั้น จนกระทั่งมองเห็นเงาร่างคุ้นตาจึงตะโกนลั่นอย่างไม่รั้งรอ

            คุณพ่อ...ช่วยแม่มีนด้วย



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ธันวารู้สึกขาตนเองสั้นเกินไป ระยะทางถึงแสงไฟข้างหน้าดูแสนไกล เพราะใจเขาโลดแล่นไปถึงนานแล้วด้วยความเป็นห่วงหญิงสาว

            ...มีนาเจอเหตุร้ายใด ‘ผู้ล่า’ วางกับดักแบบไหน เธอได้รับอันตรายหรือยัง?...

            วิ่งสุดกำลังอย่างไม่เคยวิ่งเร็วเท่านี้มาก่อน มองเห็นหญิงสาวคุกเข่าลงกับพื้นในสภาพหมดเรี่ยวแรง แขนตกห้อยข้างตัว ท่อนไม้ในมือหล่นร่วงโดยอาจกำไว้ได้อีก

            ผู้ชายตัวโตยืนเงื้อหมัดสุดล้า เตรียมชกเข้าที่ใบหน้าเธอเต็มแรง

            ธันวาพุ่งตัวเข้าไปโดยไม่สนใจสิ่งใด หมัดเขาออกช้ากว่าแต่ถึงเป้าหมายก่อน ซัดผู้ชายตัวโตคนนั้นจนหน้าหงาย แล้วตามด้วยฟันศอก และเข่าลอยปิดท้าย ส่งผลให้ฝ่ายตรงข้ามล้มครืน หลับกลางอากาศ

            ชายหนุ่มรีบประคองหญิงสาวไว้ในอ้อมแขน มีนายังมีสติ ลืมตามองเขาด้วยแววตาโล่งอก ยินดี

            “แก...มาแล้วเหรอ...ดีจัง” คำพูดแผ่วเบา ใบหน้าบวม

            “พอแล้วไม่ต้องพูดอะไร ฉันจะพาเธอไปโรงพยาบาล”

            “เดี๋ยว...” มีนาดึงคอเสื้อเขาไว้ “ส้มน้อยล่ะ...ส้มน้อยเป็นยังไงบ้าง”

            ธันวารู้สึกลำคอตีบตัน แทบพูดอะไรไม่ออก มีนายอมเจ็บตัวขนาดนี้เพื่อเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ด้วยกันไม่กี่วัน

            “ปลอดภัยแล้ว...อยู่กับลุงชาติ เดี๋ยวคงตามมา”

            “ดีจัง” ใบหน้าเธอผ่อนคลาย คล้ายมีรอยยิ้ม

            ชายหนุ่มมองร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลรอยฟกช้ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าบวม แขนห้อยร่องแร่ง ในใจเจ็บแปลบ ดวงตาวาวโรจน์ กัดฟันแน่น หันไปมองชายตัวโตที่เพิ่งโดนสยบ อยากกระทืบมันให้หนำใจ แล้วตะโกนถามว่า...ทำอย่างนี้กับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ได้อย่างไร

            แต่...วูบหนึ่งจิตย้อนคิด...มันเป็นความผิดของเขา...ถ้าเขาไม่บอกให้มีนาพาส้มน้อยมาที่นี่ เธอก็จะไม่เจ็บตัวขนาดนี้...ต่อให้เขาไม่คิดทอดทิ้งก็เหมือนทอดทิ้ง...เป็นความผิดที่อภัยให้ตัวเองไม่ได้อีกแล้ว

            “ธัน...” หญิงสาวเอ่ยเสียงแผ่ว คล้ายเข้าใจความรู้สึกของเขา

            “ยังไม่ต้องพูดอะไร” เขากลืนความรู้สึกผิดลงคอ ฝืนพูดต่อ “เดี๋ยวลุงชาติมาจะให้แกเรียกรถพยาบาลมาที่นี่”

            “ธันวา...” นานครั้งเจ้าหล่อนจะเรียกชื่อเขาจริงจังอย่างนี้ “อย่าโทษตัวเอง...แกไม่ได้ทำอะไรผิด”

            ธันวาอึ้ง...มีนารู้จักนิสัยเขาดีอย่างยิ่ง รู้ว่าเมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ เขาย่อมโทษตัวเอง...ไม่ยอมให้อภัยตัวเอง

            “มีนา...ฉันขอโทษ” เขาก้มหน้าพูดด้วยเสียงอ่อนโยน รู้สึกผิดอย่างไม่มีให้ใครบ่อยนัก

            “ไม่ต้อง” หญิงสาวพูดหนักแน่น “ฉันยอมเจ็บตัวเอง...เพื่อปกป้องส้มน้อย...เหมือนกับที่แกปกป้องพวกเราเต็มที่...ไม่มีใครผิด...เข้าใจมั้ย”

            ธันวารู้สึกขอบตาร้อนผ่าว รสชาติเลือดที่ริมฝีปากขมปร่า ลำคอตีบตันพูดอะไรไม่ออก...ช่วงเวลานั้นทั้งสองเกิดความเข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง เรื่องราวเก่า ๆ ทยอยเรียงรายเข้ามาในหัว ก่อนละลายหาย กลายเป็นอดีต

            ดวงตาธันวาอ่อนหวานอย่างยิ่ง สายตาเช่นนี้ไม่เคยมีให้ใครเนิ่นนานแล้วตั้งแต่ตัดใจจากรักครั้งแรก

            “มีนา...” เขาเรียกหญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน นุ่มนวล “ฉันรักเธอ”

            คำบอกชัดเจนตรงไปตรงมา จุดประกายในดวงตาหญิงสาวจนสว่างเจิดจ้า สดสวยกว่าทุกครั้งที่เคยเห็น

            “อืม...” เสียงตอบรับแค่ในลำคอ ยากเปล่งเป็นวาจา “เหมือนกัน”

            ธันวาคลี่รอยยิ้มสวย มือประคองโอบศีรษะหญิงสาวไว้ในอ้อมอกอย่างอ่อนโยน ราวกับบอกว่า จะไม่มีวันปล่อยมือจากผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว...ตลอดไป








บทที่ ๑๘



            หน้าห้องฉุกเฉิน

            มีนาถูกส่งเข้าไปรักษาพยาบาลร่วมครึ่งชั่วโมง ธันวายังนั่งคอยอยู่หน้าห้อง ไม่สนใจสภาพอาการบาดเจ็บตน ไม่ยอมเข้าไปทำแผล รอคอยพร้อมเจ้าตัวน้อยที่นอนหนุนตักเขาเงียบ ๆ

            หญิงสาวสลบตั้งแต่รถพยาบาลมาถึง ธันวาตรวจอาการเธอคร่าว ๆ ระหว่างทาง พบว่าบาดเจ็บมากกว่าที่เห็นตอนแรก อาจซี่โครงร้าว ไหล่หลุด แขนหัก ไม่นับร่องรอยบอบช้ำทั่วตัว

            เธออดทนสู้จนเขามาถึง พูดคุยกันรู้เรื่องกระทั่งรถพยาบาลมารับ พอวางใจจึงหมดแรงฝืนร่างกาย ปล่อยให้สลบ หลับลึกเพื่อหนีความเจ็บปวด

            ชายหนุ่มกับเด็กน้อยรอหน้าห้องฉุกเฉิน รู้ว่าอาการบาดเจ็บไม่ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต ใจก็ยังอยากได้ยินคำพูดจากแพทย์ผู้รักษาว่า...ปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง

            เสียงฝีเท้าดังกระชั้นเข้ามาใกล้ บอกอารมณ์ผู้มาใหม่ว่ากระวนกระวาย ร้อนใจไม่แพ้คนนั่งรอหน้าห้องเช่นกัน

            หญิงกลางคนสองรายเดินคู่กัน สีหน้าเคร่งเครียด คนแรกคือดวงสุดา ส่วนอีกคน เภามณี หรือ ‘คุณนายเภา’ แม่ของมีนา

            ผู้หญิงทั้งสองมีส่วนสูงไล่เลี่ย แตกต่างตรงรูปร่าง ลักษณะท่าทาง ดวงสุดาผอมบาง สวยหวานสมวัย หน้าตาใจดี ส่วนเภามณี ท้วมเจ้าเนื้อกว่า ใบหน้าอูมขาวอย่างคนมีเชื้อจีน ดวงตาดุจริงจัง ท่าทางมีอำนาจแบบคนต้องดูแลลูกน้องคนงานมากมาย

            ทั้งสองเดินใกล้เข้ามา ธันวาค่อยเงยหน้าขึ้นทักเสียงเบา

            “แม่เภา...คุณแม่” ผู้หญิงทั้งสองเป็นบุคคลที่ธันวาไม่อยากเจอเวลานี้มากสุด

            “เฮียชาติบอกแม่ว่า หมวยมีนเจ็บตัวเข้าโรงพยาบาล เรื่องเป็นยังไง” เภามณีถามลูกชายเพื่อนด้วยน้ำเสียงพยายามระงับความขุ่นเคืองใจ

            ธันวาขยับตัวลุกขึ้นตอบ ส้มน้อยจำเป็นต้องลุกตามด้วย

            “พวกเราเจอคนร้าย...แล้ว...” ชายหนุ่มพยายามอธิบาย...แต่ไม่ทันพูดจบประโยค

            ...เพียะ...ฝ่ามือดวงสุดาฟาดใบหน้าลูกชายเต็มแรง

            “แล้วทำไมแกไม่ดูแลเขาให้ดี” แรงฟาดทำให้เกิดรอยแดงขึ้นมา

            ดวงสุดาตบลูกชายทั้งที่เห็นเขาสะบักสะบอม ฟกช้ำ ปากแตกมีคราบเลือดบนใบหน้า

            “ขอโทษครับ” ธันวายืนนิ่งตอบด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด

            ...เพียะ...ดวงสุดาตบลูกชายอีกครั้ง แววตาจริงจัง ผิดแผกจากคุณแม่ใจดีคนเดิม

            “ขอโทษแล้วทำไมปล่อยให้เขาเจ็บตัวแบบนี้”

            “พอแล้วดา...ไม่เห็นเหรอว่าลูกเธอก็เจ็บตัวเหมือนกัน” เภามณีร้องห้ามเพื่อนสนิท ความขุ่นเคือง ‘ลูกชายเพื่อน’ จางหาย คล้ายดวงสุดาทำหน้าที่แทนเธอไปแล้ว

            ดวงสุดาถอนใจเบา ดวงตามองเพื่อนด้วยแววขออภัย...ขอโทษที่ลูกชายเธอดูแลลูกสาวเพื่อนไม่ดีพอ จนทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้...ไม่ว่าสาเหตุ เรื่องราวเบื้องหลังจะเป็นอย่างไร...ผลคือมีนาต้องบาดเจ็บ รักษาตัวในโรงพยาบาล...และที่สำคัญ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก สำหรับเหตุการณ์แบบนี้

            เภามณี พยักหน้า ยอมรับคำขอโทษของเพื่อน...เธอรู้ว่าธันวาเป็นผู้ชายที่ดี ไม่มีทางคิดร้ายกับมีนา แต่เมื่อเกิดเรื่องร้ายกับลูกสาวที่เธอรัก ใจมันก็อดหาคนมารับผิดชอบไม่ได้

            คนเป็น ‘ผู้ใหญ่’ เข้าใจเหตุผลการกระทำกันและกัน เด็กอย่างส้มน้อยไม่เข้าใจ เธอเห็น ‘คุณพ่อ’ โดนลงโทษโดยไม่ได้ทำอะไรผิด จึงเข้ามาปกป้องด้วยการผลัก ‘ผู้หญิงคนนั้น’ เต็มแรง

            “อย่ามาตีคุณพ่อหนูนะ!”

            เด็กหญิงยืนขวางธันวา ตะโกนใส่ด้วยความกล้าหาญ แววตาเอาจริง โดยไม่ทันคิดว่า ‘ผู้หญิงคนนั้น’ เป็นใคร

            “ส้มน้อย อย่าก้าวร้าวกับคุณย่าสิลูก” ธันวาตกใจ รีบดึงตัวเด็กหญิงไว้

            “...ลูก...เหรอ...” ดวงสุดาพึมพำอย่างงุนงง

            “คุณพ่อ...งั้นหรือ?” เภามณีทวนวาจาเจ้าตัวเล็ก

            ธันวาถอนใจยาว อุ้มส้มน้อยขึ้นมากอดแนบอก มองมารดาทั้งสองอย่างหวั่นใจลึก ๆ นอกจากต้องอธิบายเหตุการณ์คืนนี้แล้ว เขายังต้องเล่าเรื่องส้มน้อยให้แม่ทั้งสองฟังด้วย...ไม่เช่นนั้นทั้งคู่คงไม่เลิกราง่าย ๆ

            ...มันอาจเป็นค่ำคืนยาวนานคืนหนึ่งทีเดียว...



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            เที่ยงคืน

            ความมืดภายนอกและความเงียบภายในห้องพิเศษ ไม่อาจช่วยให้จิตใจธันวาคลายจากความฟุ้งซ่าน หงุดหงิดลงได้เลย บาดแผลบนใบหน้า ร่างกายได้รับการพยาบาลรักษาเรียบร้อย ในใจยังมีบาดแผลสำคัญใครก็ยากเยียวยา

            มีนาปลอดภัยแล้ว เธอหลับสนิทบนเตียงใกล้ ๆ ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างดี ส้มน้อยนอนบนโซฟาเฝ้าไข้ แม่หนูน้อยไม่กล้าตาม ‘คุณย่า’‘คุณยาย’ ทั้งสองกลับไปนอนบ้าน ทั้งที่ผู้ใหญ่ไม่ถือสากิริยาแรกพบนั้นแล้ว

            เหตุการณ์วันนี้ เรื่องราวส้มน้อย ถูกบอกเล่าให้ฟังจนทั้งสองเข้าใจ ไม่มีใครติดใจเรื่องเด็กหญิงกำพร้า หนำซ้ำยังชื่นชมในความกล้าหาญเกินตัว บอกให้ทราบว่าแม่หนูรักและพร้อมปกป้อง ‘พ่อแม่’ ตนเพียงไร

            เมื่อเข้าใจเบื้องหลังเหตุร้ายที่เกิดอย่างละเอียด เภามณีจึงถอนใจบอกกับธันวา

            “ธันดูแลหมวยมีนดีที่สุดแล้วล่ะ” วาจานี้แสดงว่าไม่มีความขุ่นเคือง คาใจลูกชายข้างบ้านแล้ว

            ดวงสุดายิ้มออก ค่อยรู้สึกว่า สองฝ่ามือที่ตบลูกชาย ไม่เสียเปล่าเลย

            เธอรู้ว่าเภามณีรักลูกสาวทั้งสองมากแค่ไหน สมัยอนุบาล มีนาถูกเพื่อนผู้ชายแกล้งเปิดกระโปรง คนเป็นแม่ยังตามไปดุ อบรมสั่งสอนเด็กคนนั้นถึงบ้าน นิสัยเพื่อนคนนี้ ไม่มีทางพูดปลอบใจตามมารยาท เพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นแน่



            ยิ่งเมื่อสิบห้าปีก่อน ตอนมีนาโดนกลุ่มผู้ชายตามลวนลาม แล้วหนีจนเกิดอุบัติเหตุ เภามณีแทบระดมลูกน้องทั้งหมดออกไป ‘เช็คบิล’ เอาคืนคนกลุ่มนั้นทันที ถ้าไม่โดน ปฐวี สามีผู้เป็นตำรวจคัดค้านเสียก่อน

            “ให้กฎหมายจัดการเถอะเภา”

            ความดุ ใจร้อน จริงจังของเภามณี จะสงบลงเมื่ออยู่ใกล้คนหนักแน่น เยือกเย็นอย่างปฐวี

            ถึงอย่างนั้น พอธันวาลุยเดี่ยวไป ‘เอาคืน’ จนผู้ชายกลุ่มนั้นเข้าโรงพยาบาลเรียงตัว ผู้ใหญ่ทุกคนปวดหัว แทบอยากหักคอเด็กหนุ่มเลือดร้อน เภามณีคนเดียวเห็นด้วยกับการกระทำของลูกชายข้างบ้าน

            นั่นเอง...ทำให้เมื่อรู้เบื้องหลัง เหตุผลที่มีนาต้องออกไปรอ ‘ใครบางคน’ จนค่ำมืด เกิดเรื่องร้าย ผู้ใหญ่ทุกคนจึงเข้าใจ ไม่มีใครพูดอะไร ไม่มีการลงโทษรุนแรง ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปด้วยตัวของมันเอง

            ...เพราะตัวคนก่อเรื่องก็ได้ลงโทษตัวเองมาตลอดสิบห้าปีแล้ว...



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP