วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
เร้น ๒๓
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
คนร้ายสี่ห้าคนถูกสองสหายจัดการจนสลบ โดนมัดแน่นหนา แล้วขังในโกดังแทนพวกตน จากนั้นทั้งคู่เอารถของพวกมันที่จอดทิ้งไว้ด้านหน้าโกดัง ขับรถข้ามคืนแทบไม่หยุดพัก ไปจนถึงท่าเรือจุดหมาย
เมื่อไปถึงก็ต้องคอยหลบซ่อน กลัวคนร้ายที่ล่วงหน้ามาก่อนจะเห็น แอบลัดเลาะรอบท่าเรือ ไม่เห็นร่องรอยว่ามีใครรอ จึงส่งข้อความกลับไปยังเบอร์แปลก ๆ นั้นอีกที
“มาถึงแล้ว...มีคนร้ายล่วงหน้ามาก่อนด้วย”
ข้อความนี้บอกไปโดยไม่รู้ว่าใครเป็นผู้รับ
รออยู่ไม่นานก็ได้ข้อความกลับมา
“สองทุ่มเจอกันที่โกดังหมายเลข...” เป็นโกดังที่อยู่ใกล้ท่าเรือ
ภูริชโทรกลับไปยังหมายเลขนั้น หวังจะได้พูดคุย ถามไถ่ถึงมารดา มีสัญญาณดังสามสี่ครั้งก่อนถูกตัดสาย แสดงว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการพูดคุย เขาจึงส่งข้อความกลับไปอีกครั้ง
“แม่เป็นยังไงบ้าง ปลอดภัยหรือเปล่า”
ไม่มีข้อความกลับมา ภูริชกังวลเป็นห่วง ธันวาต้องคอยปลอบให้กำลังใจ บอกว่าคืนนี้น่าจะรู้คำตอบ...อดทนรออีกหน่อย
ก่อนสองทุ่มเล็กน้อย สองสหายลอบไปโกดังตามนัดหมาย ยังไม่ทันถึงก็พบกลุ่มคนร้ายที่กระจายกำลังตามหาพวกตนกับมารดาเช่นกัน
เกิดการต่อสู้ตะลุมบอนระหว่างเด็กหนุ่มสองคนกับนักเลงเกือบสิบ ธันวา ภูริชหันหลังชนกัน สู้ยิบตาชนิดยอมตายไม่ยอมถูกจับเป็นตัวประกัน
กัดฟันสู้สุดฤทธิ์เอาชนะศัตรูได้เกินครึ่ง แต่พลาดในช่วงสุดท้าย เกือบโดนฟาดให้สลบอีกครั้ง พอดีมีกลุ่มนักเลงนิรนามมาช่วยไว้
ผู้นำกลุ่มเป็นหญิงสาว ดูจากใบหน้าอายุราวสามสิบต้น ๆ รูปร่างบอบบาง ดวงตากลมโตมีอำนาจ กลุ่มนักเลงนิรนามจัดการเหล่าผู้ร้ายจนสิ้นซาก
“คุณเป็นคนส่งข้อความให้ผมใช่มั้ย” ภูริชถามผู้หญิงคนนั้น
“ใช่” คำตอบเรียบเฉย
“แม่ผมเป็นคนติดต่อคุณหรือเปล่า”
“ใช่” คำตอบเดิมสีหน้าไม่เปลี่ยน
พูดเช่นนี้เท่ากับยืนยันว่าเธอคือญาติของเขา
“แม่ผมอยู่ไหน” เด็กหนุ่มถามคำถามสำคัญ
ผู้หญิงคนนั้นยื่นกระดาษให้แผ่นหนึ่งโดยไม่พูดจา ภูริชรับไปอ่านแล้วหน้าซีดเผือด เข่าอ่อนทรุดฮวบลงกับพื้น
ธันวารีบประคองเพื่อน หยิบกระดาษแผ่นนั้นมาอ่านโดยไม่สนใจมารยาท พอรู้ข้อความในนั้นใจหล่นวูบ พูดอะไรไม่ออกเช่นกัน
...กระดาษแผ่นนั้นเป็นจดหมายสั่งเสีย ลาตายจากแม่ภูริช...
แม่ภูริชรู้ว่าร่องรอยถูกเปิดเผย จึงติดต่อขอความช่วยเหลือจากญาติที่เคยบอก...ซึ่งเธอนัดหมายให้สองแม่ลูกรีบมาท่าเรือแห่งนี้ เพื่อจะได้ช่วยให้เดินทางออกนอกประเทศ
ขณะแม่กำลังโทรศัพท์บอกลูกชายให้รีบหนีไปด้วยกัน ผู้ร้ายก็บุกมาถึงบ้านก่อน เธอดิ้นรนสู้ยิบตาเอารอดเฉียดฉิว แต่พลาดท่าได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งทำโทรศัพท์ตก
ระหว่างเดินทางหลบหนี ร่างกายบาดเจ็บหนักขึ้น ไม่กล้าไปหาหมอ ไม่มีโอกาสติดต่อหาลูกชาย พอพบหญิงสาวคนนี้ ร่างกายก็ไม่ไหวแล้ว จึงรวมรวมแรงครั้งสุดท้ายเขียนจดหมายสั่งเสีย บอกกล่าวลูกชายก่อนตาย
ข้อความในโทรศัพท์ที่ภูริชได้รับ มาจากผู้หญิงคนนี้ทั้งหมด
“ศพของแม่อยู่ไหน” เด็กหนุ่มถาม
ผู้หญิงคนนั้นพาสองสหายไปยังห้องเก็บศพในโรงพยาบาล ให้ภูริชเห็นแม่เป็นครั้งสุดท้าย พร้อมกับบอกความลับข้อหนึ่ง
“เรื่องนึงที่แม่เธอไม่ได้เขียนไว้ในจดหมาย” คำพูดนี้กระตุ้นให้เด็กหนุ่มมีสติจากความเสียใจ
“หัวหน้าแก๊งค้ายาเสพติดนั่น ไม่ได้ต้องการ ‘ของสำคัญ’ อะไรจากครอบครัวเธอเลย แต่พ่อเธอหักหลังเล่นงานมันจนสาหัส ทำให้แค้น...เลยหาข้ออ้างเล่นงานครอบครัวเธอ”
ความลับนี้เปลี่ยนจากความเสียใจเด็กหนุ่มกลายเป็นความแค้นเคือง
“มันเป็นใคร?” ภูริชถามเสียงเครียด
“รู้ตอนนี้เธอก็ทำอะไรมันไม่ได้ หลบไปเสียก่อน เมื่อถึงเวลาค่อยมาแก้แค้น”
ธันวาฟังแล้วชะงัก มองผู้หญิงคนนั้นด้วยแววตาแปลก ปู่เขาเป็นนักเลงเก่า แต่ไม่เคยสั่งสอนลูกหลานให้ผูกความแค้นกับใคร
“แล้ว...แม่ผม...จะทำยังไง” ภูริชถามอย่างเป็นห่วงในซากศพมารดา
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะจัดการเอง ยังไงเสียเราก็เป็นญาติกัน”
ภูริชถอนใจ
“ขอบคุณครับ” รู้สึกเหมือนมีคนช่วยแบ่งเบาภาระสำคัญออกไป
“เธอควรรีบเดินทางให้เร็วที่สุด ก่อนพวกมันจะย้อนมาอีกครั้ง” ผู้หญิงคนนั้นบอกอย่างเป็นห่วง
นั่นทำให้เด็กหนุ่มเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายสองคนต้องแยกจากกัน
ภูริชบอกธันวาก่อนขึ้นเรือ
“กูจะกลับมา”
“เออ...” ธันวาตอบรับ พูดอะไรไม่ออกมากกว่านี้
หลังส่งเพื่อนรักขึ้นเรือ ธันวาหันมาเจอหญิงสาวญาติภูริชยืนอยู่
“ฉันจะไปส่งเธอที่บ้าน”
“ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มไม่ปฏิเสธ เขาไม่คิดขับรถคนร้ายกลับบ้านแน่
ระหว่างทางกลับบ้านหญิงสาวคนนั้นบอกให้เขาคลายใจ
“พวกคนร้ายที่เธอเจอโดน ‘เก็บกวาด’ หมดแล้ว” เธอพูดคำว่าเก็บกวาดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา “พวกมันที่เหลือรวมถึงหัวหน้าแก๊งไม่รู้จักเธอแน่นอน...สบายใจได้”
ธันวานิ่งไม่รู้ควรตอบวาจาเธออย่างไร อีกทั้งไม่รู้ที่พูดอย่างนี้เจ้าตัวมีเจตนาใด
“แต่...ถ้าเหตุการณ์ที่เกิดถูกแพร่งพรายออกไป พวกมันต้องตามหาว่าเพื่อนภูริชคนไหนเป็นคนบอก...”
หญิงสาวพูดถึงตรงนี้ ธันวาก็อ่านเจตนาออก
“ผมไม่พูดเรื่องพวกนี้ออกไปหรอกครับ”
“ดีแล้ว เพราะถ้าเธอพูดออกไปมันจะเป็นอันตรายต่อภูริช ตัวเธอ และครอบครัวเธอเองด้วย”
“ผมทราบ”
“สัญญาได้มั้ย”
“อะไรนะครับ”
“สัญญาว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ห้ามบอกใครเด็ดขาด แม้แต่พ่อแม่คนที่เธอไว้ใจที่สุด จนกว่าศัตรูของภูริชจะถูกกำจัดจนหมด”
ธันวาถอนใจ เขาไม่คิดอยากบอกใครอยู่แล้ว จึงไม่ยากที่จะเอ่ยปากรับคำ
“ครับ”
มันเป็นคำตอบรับง่ายสั้น ทว่าต้องใช้จิตใจที่เข้มแข็งขนาดไหน ถึงสามารถรักษามันได้จนถึงทุกวันนี้
วันที่สามารถถอนคำสัญญาเรียบร้อยอย่างเป็นทางการ
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
มีนาฟังเรื่องราวจนจบก็นิ่งอั้น เงียบงันพูดอะไรไม่ออก ในหัวฟุ้งซ่านสับสนอธิบายไม่ถูก ไม่รู้ตนเองรู้สึกอย่างไร...ดีใจ เสียใจ โกรธ โมโห คับแค้น หรือโล่งใจแทนเขา
ในเมื่อไม่รู้จะพูดอะไรจึงนิ่งเงียบจนมาถึงคอนโด หยิบไฟล์สกู๊ปบ้านดาวัน พร้อมฟุตเทจ เอกสารข้อมูลประกอบทั้งหมดให้ธันวา
พอชายหนุ่มรับของเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรอีก หญิงสาวก็หมดความอดทน ระเบิดออกมา
“ปิดปากมาตั้งสิบห้าปี จู่ ๆ มาเล่าให้ฟังแบบนี้ แกต้องการอะไรกันแน่”
ใบหน้าธันวาละมุนลง ริมฝีปากมีรอยยิ้มเช่นวันวาน
“เธอไม่รู้จริง ๆ หรือ?”
มีนาอึ้ง พูดอะไรไม่ออก...เธอไม่รู้จริง ๆ หรือ ธันวายอมเล่าเรื่องนี้เพราะอะไร
...ไม่อยากให้คาใจกัน...หรือ...ต้องการ...เริ่มต้นใหม่...
คำตอบที่รู้แก่ใจทำให้ใบหน้าร้อนวูบ รีบกลับขึ้นห้องตนเองโดยไม่พูดจาอะไรอีกเลย
บทที่ ๑๔
เสียงกริ่งหน้าประตูห้องมีนาดังขึ้นแต่เช้า เจ้าของห้องเดินหัวยุ่ง สวมชุดนอนเก่าโทรมหลวมโพรกงัวเงียออกมาเปิดอย่างมึน ๆ พอเห็นว่าใครมายืนรอ แทบอยากปิดประตูแล้วเผ่นแผล็วกลับไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ทันที
“มีอะไรให้กินมั้ย?” ธันวาถามเหมือนวันก่อน
“นี่...ฉันบอกแล้วไงว่า...” หญิงสาวใช้ความฉุนเฉียวปกปิดความอายสภาพตัวเอง
“รู้แล้ว...ร้านเซเว่นอยู่ข้างล่าง” ชายหนุ่มพูดต่อให้หน้าตาเฉย ก่อนเดินเข้าห้องโดยไม่สนใจความไม่พร้อมของเธอ
ส้มน้อยถือถ้วยกาแฟ เพิ่งชงเสร็จควันกรุ่นมายืนยิ้มรอให้ที่โต๊ะ
“หนูเตรียมอาหารเช้าให้คุณหมอเกือบเสร็จแล้วค่ะ...ดื่มกาแฟรอก่อนนะคะ”
มีนาเดินตามหลังชายหนุ่ม เห็นอย่างนั้นแทบอยากบอกให้เจ้าตัวน้อยย้ายสำมะโนครัวไปอยู่ห้อง ‘คุณหมอ’ เสียรู้แล้วรู้รอดไป
ยังไม่ทันเอ่ยปากเหน็บแนม ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นกิริยาของเขา
ธันวาก้มตัวลง ยิ้มสวยให้แม่หนูน้อย ประกายตาอบอุ่นสดใส มือขยี้ผมเธอเบา ๆ
“ขอบใจจ้ะ น่ารักอย่างนี้...ไม่ต้องเรียกคุณหมอแล้ว...เรียก ‘คุณพ่อ’ ดีกว่า”
ส้มน้อยยิ้มกว้างมองอย่างแปลกใจ
“ได้จริงหรือคะ” ถามแบบไม่แน่ใจ
“จริงสิ”
เด็กหญิงแทบตัวลอย นัยน์ตาใสแจ๋วฉายแววปลาบปลื้ม
มีนานิ่งอั้น ยืนมองอย่างงุนงง...หากพิจิก น้องชายเขาพูดประโยคนี้ เธอยังคิดว่าเป็นแค่คำหยอกล้อ พูดเอาใจเด็กน้อย...แต่คนพูดคือธันวา...ผู้ชายปากหนัก ยิ้มยาก...คนอย่างนี้ไม่ล้อเด็กเล่นด้วยเรื่องแบบนี้แน่
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
ส้มน้อยกลับไปทำอาหารต่อ ธันวายังไม่ให้หญิงสาวเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า บอกว่าตนมีบางเรื่องที่ไม่อยากพูดต่อหน้าเด็กหญิง
“จะบ้าเหรอ แกดูสภาพฉันสิ จะให้นั่งคุยแบบนี้ได้ยังไง” หญิงสาวบ่น ความเขินอายหายไปมากแล้ว
“สภาพแย่กว่านี้ ฉันก็เคยเห็นมาแล้ว จะมาอายอะไรกัน อยู่แค่สองคน” ธันวาเถียง
“เออ...มีอะไรรีบพูดมาเลย” มีนาประชดด้วยการนั่งแปะบนเก้าอี้รับแขก ปล่อยหัวฟู ชุดนอนหลวมโพรก หน้าตาไม่แต่ง มองฝ่ายตรงข้ามอย่างต้องการรอฟังว่าเรื่องที่พูดสำคัญแค่ไหน
“ตอนฉันไปหาที่บริษัท เธอบอกว่าพรุ่งนี้จะไปบ้านดาวันใช่มั้ย”
“อือ...”
“ฉันไปด้วย” ธันวาบอก
“รู้แล้วเหรอว่าเป็นเรือนเพาะชำกระจกหลังไหน” มีนาไม่แปลกใจ เขาน่าจะใช้เวลาค่อนคืนศึกษาเรื่องบ้านดาวันจนละเอียดแล้ว
“พอคุ้นตาสองหลัง” เขาตอบ
“แล้วเรื่องนี้มันเป็นความลับยังไง ถึงพูดต่อหน้าส้มน้อยไม่ได้” หญิงสาวยังคาใจประเด็นนี้
“ปกป้องยังอยู่ห้องนี้มั้ย” จู่ ๆ ธันวาก็ถามขึ้น
มีนาสะดุ้งตกใจ เหลียวมองรอบห้องก่อนส่ายหน้า
“ไม่อยู่...แกอย่าพูดถึงได้มั้ย เดี๋ยวเขามาจริงฉันจะหัวใจวายเปล่า ๆ” พูดทั้งที่ตนเห็น ‘ผี’ หลายครั้งแต่ไม่เคยหัวใจวายอย่างปากว่าสักที
ชายหนุ่มอ่อนใจ โรคกลัวผีแบบนี้ จิตแพทย์อย่างเขายังไม่สามารถรักษาได้
“คิดว่าพรุ่งนี้เขาจะอยู่กับส้มน้อย หรือตามเราไปบ้านดาวันด้วย” ธันวาตั้งคำถาม
“แกถามเขาเองมั้ย?” มีนาย้อน แล้วนึกสงสัย “ทำไมถึงคิดว่าเขาจะไปกับเราด้วย”
“เธอฝันว่าเขาพาไปหาผู้หญิงชื่อดอกแก้วที่บ้านดาวันไม่ใช่เหรอ...พรุ่งนี้เขาอาจตามเราไปก็ได้” ชายหนุ่มตั้งข้อสังเกต
มีนานิ่งคิดชั่วขณะก่อนส่ายหน้า
“ไม่รู้...ฉันไม่ได้จบจิตวิทยา ‘ผี’ อย่างแกนี่...เลยตอบไม่ได้ว่าเขาจะตามเราไปหรือเปล่า” คำตอบอดแขวะไม่ได้
“ฉันเป็นห่วงส้มน้อย” ธันวาอธิบาย “เราไม่ควรปล่อยให้อยู่คนเดียวบ่อย ๆ ต่อให้มีปกป้องอยู่ดูแล...แต่ถ้าเกิดเหตุปัญหาอะไรขึ้นมาก็คงช่วยไม่ได้มากเท่าไหร่”
“แล้วจะเอายังไง...คนที่บ้านดาวันคิดว่าส้มน้อยตายแล้ว ขืนพาไปด้วยเกิดปัญหาแน่ ตัวเด็กก็จะเป็นอันตราย”
“หาคนมาอยู่เป็นเพื่อนสักวันได้มั้ย” ธันวาเสนอ
“ใครดีล่ะ ที่จะดูแลเด็กได้ และไม่ปากโป้งเอาเรื่องส้มน้อยไปบอกคนอื่น”
หญิงสาวตั้งเงื่อนไขเช่นนี้ ชื่อแรกที่ผุดขึ้นมาคือ ‘ธงรบ’ แต่นายตำรวจรายนี้เพิ่งส่งข้อความมาบอกว่า
‘ห้องพี่โดนคนแอบเข้าไปค้น...แสดงว่ามีคนคอยติดตามอยู่ อาจเกี่ยวข้องกับส้มน้อย...ช่วงนี้เราควรห่างการติดต่อกันสักพัก’
ขนาดห้องพักรองผู้กำกับ พวกมันยังกล้าแอบเข้าไปค้น กับคนทั่วไปคงไม่ใช่ปัญหา นี่คือเรื่องที่ธันวาเป็นห่วง
สองหนุ่มสาวนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนมีชื่อหลุดจากปากพร้อมกัน
“น้องเพชร...”
“ตี๋เล็ก!”
ธันวาอมยิ้ม พูดต่อ
“ถ้าเขายอมก็เหมาะที่สุด”
“เดี๋ยวฉันโทรถามเอง” มีนาบอกแล้วหรี่ตามองชายหนุ่มแปลก ๆ “ฉันชักสงสัย ทำไมวันนี้แกดีกับส้มน้อยเป็นพิเศษ...แล้วที่ให้เด็กเรียกแกว่า ‘คุณพ่อ’ น่ะ พูดจริงเหรอ”
ใบหน้าธันวามีรอยยิ้ม ดวงตาอ่อนโยนลง
“จริง...ฉันจะเอาเรื่องนี้มาพูดเล่น ๆ กับเด็กได้ยังไง...เมื่อคืนดูเรื่องเกี่ยวกับเด็กบ้านดาวัน เลยรู้สึกผูกพันไม่รู้ตัว เห็นส้มน้อยเจอเรื่องร้าย ๆ แบบนี้มันสงสาร...ฉันเลยคิดว่า ถ้าคดีนี้มันเสร็จเรียบร้อยเมื่อไหร่ จะให้แม่ทำเรื่องขอรับเลี้ยงส้มน้อยอย่างถูกต้องไปเลย...เพราะไม่รู้ว่าหลังจากนี้บ้านดาวันจะเป็นยังไงบ้าง...”
คำคาดการณ์ของธันวาทำให้มีนาเห็นด้วย...หากพวกเธอเปิดโปงเบื้องหลังมูลนิธิดาวัน บ้านดาวัน โรงพยาบาลดาวัน...สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้านั้นจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป
“มิน่าล่ะ แกถึงให้เด็กเรียกว่า ‘คุณพ่อ’ ล่วงหน้าแบบนี้” มีนาอดเหน็บไม่ได้
ธันวามองเธอด้วยแววตาแปลก รอยยิ้มแตะมุมปากนิด ๆ
“อือ...ก็ถูกแล้วไง เธอก็ให้ส้มน้อยเรียกว่า ‘แม่’ เหมือนกันไม่ใช่หรือ”
โดนย้อนกลับอย่างนี้มีนาสะอึก หน้าร้อนวูบขึ้นมาทันที สายตาธันวาส่งสัญญาณบางอย่างที่เธอเข้าใจ แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้
เมื่อคืนเขาเคลียร์เรื่องเก่าค้างคาใจจนหมด แล้วย้อนถามว่าหล่อนไม่รู้หรือ เขาพูดเพื่ออะไร...?
รุ่งเช้าก็มาหาหล่อนถึงห้อง คล้ายต้องการดูว่าเธอจะมีปฏิกิริยาอย่างไร...
พอเห็นเธอพูดจาเหมือนเดิม ดวงตามีแววเข้าใจ สีหน้าเขาดูยินดี จนความใจดีนี้เผื่อแผ่ถึงส้มน้อยไปด้วย
การที่ธันวาให้ส้มน้อยเรียกเขาว่า ‘พ่อ’ ในขณะที่เด็กหญิงเรียกเธอว่า ‘แม่’ อยู่แล้ว...นั่นเหมือนเป็นการบอกทางอ้อมแล้วว่า...เขาคาดหวังอย่างยิ่งที่จะเริ่มต้นใหม่ เพื่อร่วมเป็นครอบครัวเดียวกับเธอ!
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
“ท่านกำลังเข้าสู่บริการรับฝาก...หัวใจ...
ลงทะเบียนฝากไว้...ตัวเอากลับไป ใจให้เก็บรักษา
ยอมจำนนเธอแล้ววันนี้แค่แรก...เห็นหน้า...
ฝากไว้กับฉันนะ หัวใจของเธอ...แลกเบอร์โทร...โอ๊ะ โอ โอย...”
เสียงเพลงจังหวะสนุกสนาน เรียกความครึกครื้นแก่ผู้ฟัง เหล่าเด็ก ๆ ปรบมือร้องตาม ผู้ใหญ่สาวน้อยสาวมากแฟนคลับศิลปินออกมาช่วยกันเต้นเป็นหางเครื่องสร้างความบันเทิง
นักร้องเป็นหญิงสาวสารพัดหน้าที่ ทำตั้งแต่พิธีกร คนวางแผนงาน ติดต่อประสานนักข่าวไปจนถึงเป็นนักร้อง นักเอนเตอร์เทน ช่วยให้เจ้าของงานอย่างเตวิชย์ ดาราพิธีกรหนุ่มหล่อสบายใจ ยิ้มจนหุบแก้มไม่ลง
กำหนดการเดิมมีแค่เลี้ยงอาหารกลางวัน แจกของทำกิจกรรมพื้น ๆ แล้วแยกย้ายกันกลับ ถูกเปลี่ยนเป็นชาวคณะมาถึงประมาณสิบโมงเช้า มีการแสดงสร้างความบันเทิงแก่เด็ก ๆ ชักชวนเหล่าแฟนคลับมาร่วมสนุกทำบุญจนถึงเวลารับประทานอาหารกลางวัน
ช่วงบ่ายจะให้เด็กบ้านดาวันเป็นมัคคุเทศก์นำชมสถานที่ แนะนำความเป็นอยู่ว่าที่นี่ทำอะไรบ้าง ตลอดทั้งงานจะมีการถ่ายวิดีโอไลฟ์สดเป็นช่วง ๆ ผ่านทางเฟซบุ๊คของศิลปินเตวิชย์ ซึ่งมีผู้ติดตามเป็นแสน
นอกจากนี้มีนายังได้ติดต่อนักข่าวสายบันเทิงให้มาทำข่าวการทำบุญวันเกิดของเตวิชย์เพื่อเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ทางโทรทัศน์ด้วย
นั่นหมายความว่า ‘บ้านดาวัน’ จะเปิดกว้างให้บุคคลภายนอกเข้าเยี่ยมชมตั้งแต่ช่วงสายถึงบ่ายแก่ ๆ เป็นเวลามากพอให้ธันวา มีนาเข้ามาสืบหาหลักฐาน และความลับที่ซุกซ่อนไว้
ธันวายืนตรงมุมเสาทำตัวกลมกลืนกับบรรยากาศ ตามที่วางแผนกัน ช่วงแรกตอนทำกิจกรรมบันเทิงจะยังไม่มีการเคลื่อนไหว รอจนกระทั่งเสร็จพิธีมอบของ แจกรางวัลเด็กเรียบร้อย และเริ่มเลี้ยงอาหารกลางวัน ตนเองจึงสามารถหลบออกไปหาเรือนเพาะชำกระจกได้
ส่วนมีนาจะใช้ช่วงเวลาที่พวกเด็กพาเที่ยวชมรอบมูลนิธิดาวัน สืบหาร่องรอยดอกแก้ว
บทเพลง ‘ขอใจเธอแลกเบอร์โทร’ จบลง เหล่าแฟนคลับหางเครื่องต่างแยกย้ายกระจายตัว รอเวลาพิธีการมอบของ ซึ่งผู้รับมอบเป็นคุณหมอเยาวลักษณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลดาวัน และผู้อำนวยการบ้านดาวัน
พี่เลี้ยงบ้านดาวันเข้ามากระซิบบอกพิธีกรสาวว่า ท่านผู้อำนวยการติดธุระมาช้าสักนิด ขอให้เธอร้องเพลงดึงเวลาต่ออีกสักหน่อย
“เด็ก ๆ อยากฟังเพลงอะไรค้า...” มีนากรอกเสียงหวาน ๆ ใส่ไมค์ ใบหน้าเปื้อนยิ้มชวนให้ทุกคนอารมณ์ดี
เสียงร้องตอบดังเซ็งแซ่ เสนอชื่อเพลงโน้นเพลงนี้ หญิงสาวยิ้มรับ ส่งเสียงต่อ
“อยากให้พี่เตวิชย์ร้องเพลงอีกใช่มั้ยเอ่ย?”
คราวนี้เสียงกรี๊ดดังมาจากเหล่าแฟนคลับสาว ๆ ส่วนเด็กน้อยปรบมือกันเกรียว มีนาหันไปมองศิลปินหนุ่ม ก่อนปรายตาไปทางด้านหลังเสาซึ่งธันวาหลบมุมอยู่
“เอ...พี่มีนว่าของดีต้องมาตอนท้าย พระเอกควรมาเวลาสำคัญ...ตอนนี้เรามาฟังเพลง ‘ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน’ จากคุณหมอรูปหล่อที่อยู่ข้างหลังเราก่อนดีมั้ยค้า”
คราวนี้ทุกคนหันหลังพรึบ พอเห็นหน้าคุณหมอ เสียงกรี๊ดดังกระหึ่มลั่นห้อง ยิ่งกว่าเสียงเชียร์ศิลปิน
กระทั่งตัวศิลปินเตวิชย์เองยังแอบกระซิบกลั้วหัวเราะกับผู้จัดการที่ยืนข้าง ๆ
“เจ้มีนพาแฟนมาฆ่าผมแท้ ๆ”
จะไม่ให้พูดอย่างนี้ได้อย่างไร จู่ ๆ โปรดิวเซอร์สาวผู้ไม่เคยควงผู้ชายคนไหน กลับนั่งรถ SUV คันหรูสัญชาติยุโรปมากับคุณหมอหนุ่มรูปหล่อ ที่ขนาดศิลปินอย่างเขายืนประกบด้วยยังดูหมองถนัดตา
ทว่า...พอ ‘คุณหมอรูปหล่อ’ ได้ยินเสียงเรียกจากหน้าเวที แล้วทุกคนหันพรึบมองเป็นตาเดียวเช่นนั้น เขาก็มีความสามารถพิเศษวิ่งจู๊ดออกจากห้องประชุมรวดเร็ว ก่อนเสียงปรบมือแปะแรกจะดังขึ้นเพื่อกดดันให้ขึ้นเวที
มีนาหัวเราะจนตัวโยน ดีใจที่มีโอกาสแกล้งชายหนุ่มข้างบ้าน...ทุกคนที่สนิทสนมคุ้นเคยย่อมรู้ ธันวาหนุ่มหล่อ เรียนเก่ง กีฬาเลิศ ความสามารถต่อสู้เป็นเยี่ยม กลับร้องเพลงได้ห่วยสุด ชนิดใครได้ยินต้องฝันร้ายไปหลายวัน
“ต๊ายตาย...ไม่คิดว่าคุณหมอจะขี้อายขนาดนี้ สงสัยต้องเรียกพระเอกของเราให้ขึ้นมาช่วยแล้ว...เตวิชย์ ขึ้นมาร้องเพลงหน่อยเร้ว...”
ดาราพิธีกรหนุ่มขึ้นเวทีตามคำแก้สถานการณ์พิธีกรสาว หัวเราะขำขันแล้วกระซิบหยอกล้อ
“เดี๋ยวต้องไปเคลียร์กันเองแล้วนะเจ้”
มีนายิ้มใส เธอรู้ว่าเรื่องแค่นี้ธันวาไม่ถือสาหรอก อาจเป็นโอกาสดีด้วยซ้ำที่ให้เขาออกจากห้องประชุม เผื่อสืบข้อมูลรอบ ๆ ได้บ้าง
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
< Prev | Next > |
---|