วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
เร้น ๒๐
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
บทที่ ๑๒
การติดต่อผ่านวิดีโอคอล
หน้าจอคอมพิวเตอร์รหัส K-Killer และจอคอมพิวเตอร์รหัส L-Light
“เกินสามวันแล้ว ได้ร่องรอยอะไรบ้าง”Light หญิงชราถาม
“ดูจากกล้องวงจรปิดที่ลานจอดรถคลินิกนั่น รู้ว่าคนที่พาเด็กไปเป็นผู้หญิง ใช้รถมาสด้า 3 ห้าประตูสีแดง แต่ไม่เห็นเลขทะเบียน”
“ผู้หญิงหน้าตาเป็นยังไง” หญิงชราถามต่อ
“เห็นไม่ชัด เพราะตัวเด็กบังอยู่ แต่คิดว่าเป็นลูกค้าคลินิกงามพิศ”
“สืบจากประวัติลูกค้าหรือยัง?”
“ตรวจเช็คกล้องวงจรปิดในคลินิก และรายชื่อลูกค้าที่มาช่วงเวลานั้น ได้ผู้หญิงเข้าข่ายใกล้เคียงอยู่หกคน ส่งเด็กไปตรวจสอบถึงบ้าน ที่พักพวกนั้นแล้ว ยังไม่พบว่าเด็กอยู่กับใคร”
“ไม่มีผู้หญิงคนไหนใช้รถมาสด้าสีแดงเลยหรือ”
“ไม่มี”
“ถ้าอย่างนั้นเราคงได้รายชื่อมาผิด หรือก็อาจได้มาไม่ครบ อีกอย่างถ้าผู้หญิงหนึ่งในหกซ่อนเด็กไว้ในบ้าน พวกคุณซุ่มดูข้างนอกก็มองไม่เห็นอยู่ดี” หญิงชราแนะนำแกมตำหนิ
แววตาชายชราทอประกายโทสะวูบหนึ่ง
“ตอนนี้ได้เบาะแสใหม่แล้ว” เขาเลี่ยงการตอบโต้
“ว่ามาสิ”Light ถามเรียบเฉย
“รู้แล้วว่าใครเป็นคนขอตรวจสอบลายนิ้วมือเด็ก”
“ใคร” คราวนี้หญิงชราค่อยให้ความสนใจ
“ตำรวจชื่อธงรบ”
“เขาเป็นตำรวจ ‘ของคุณ’ หรือเปล่า” เสียงถามฟังแปลก
“เปล่า” ชายชราตอบทันที “ฉันให้ตรวจสอบประวัติแล้ว เป็นพวกตำรวจน้ำดี แต่งงานแล้ว ภรรยาและลูกอยู่ต่างจังหวัด พวกตำรวจอื่นไม่มีใครรู้เรื่องเด็กคนนี้ ตัวเด็กไม่ได้อยู่ในห้องพักเขาที่กรุงเทพฯ”
คำบอกเล่าขนาดนี้ แสดงว่าส่งคนลอบเข้าไปดูถึงห้องพักนายตำรวจระดับรองผู้กำกับเรียบร้อย
“ตำรวจคนนี้น่าจะรู้ว่าเด็กอยู่ที่ไหน” หญิงชราพูดลอย ๆ
“ใช่...เขาน่าจะรู้” ชายชราตอบเฉยเมย “ที่เราทำได้คือส่งคนแอบติดตามว่าเขาติดต่อกับใครบ้าง ซึ่งจะสามารถโยงไปถึงที่ซ่อนเด็กได้”
Killer ไม่คิดจะนำตัวนายตำรวจคนนี้ไปขู่เข็ญ สอบสวนเพราะเป็นเรื่องโง่เขลา ล้าสมัย เปล่าประโยชน์ หนำซ้ำยังแหวกหญ้าให้งูตื่น เปิดเผยร่องรอยตัวเอง
Light สงบใจฟังโดยไม่เสนอแนะอย่างใด
“เรื่องต่อไป” หญิงชราเปิดประเด็นใหม่
“เกี่ยวกับคนที่จะมาทำหน้าที่ Wolf คนใหม่!” Light เน้นเสียง
เจ้าของรหัส Wolf คนเดิมถูกจับ เสียสติ และอาจมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน องค์กรต้องเลือกคนมาทดแทน
“รู้แล้ว”Killer ตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ก็แค่เด็กไฟแรง อ่อนประสบการณ์คนนึง”
“เขาเป็นคนที่ ‘คุณท่าน’ ปั้นมากับมือนะ” หญิงชราแย้ง
“ฉันจะคอยดูผลงานเขาแล้วกัน” ชายชราพูดด้วยแววตาราบเรียบก่อนเอ่ยปากวกมาอีกเรื่อง “แล้วจะไม่ถามถึง Wolf คนเก่าบ้างหรือ”
“มันถูกจับไปแล้ว คุณเองก็ให้คนปลอมตัวไปข่มขู่จนนนท์ ทนายความคนนั้นต้องยอมออกมาเป็นพยาน แฉหลักฐานทั้งหมดที่มันมี และที่คุณ ‘ยัด’ ให้มันจน Wolf คนเก่าต้องรับผิดไปทุกคดีอยู่แล้ว...อีกอย่าง” หญิงชรายิ้มแปลก “คนที่โดน ‘ยา’ คุณท่านไปขนาดนั้น ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว”
Light พูดอย่างรู้ศักยภาพฤทธิ์ยาอย่างยิ่ง
“กระเป๋าที่ติดตัวมันบนเครื่องบิน” ชายชราพูดเนือย ๆ ดวงตาวาววับ “นอกจากจะมีเอกสารสำคัญส่วนตัวของมัน ยังมีบันทึกเรื่องราวและหลักฐานเอาผิด ที่สามารถแฉองค์กรของเราได้หมด แถมยังดึง ‘คุณท่าน’ เข้าคุกได้อีก”
คำพูดชวนหวาดหวั่น หญิงชรากลับไม่มีแม้รอยกระเพื่อมในแววตา
“หลักฐานทั้งหมดนั่นก็อยู่กับคุณแล้ว ยังต้องกลัวอะไรอีก” วาจาตอบราบเรียบ
“มั่นใจได้ยังไง ว่ามันไม่ทำสำเนาซ่อนเอาไว้” ชายชราติง
“ต่อให้มีสำเนา ซ่อนไว้ที่ไหน กับใคร...ยังไงคุณต้องหาเจอแน่!”Light ตอบอย่างมั่นใจในฝีมือฝ่ายตรงข้าม
Killer รู้จัก Wolf คนเก่าดีแค่ไหน เธอรู้ชัด...ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถสืบจนรู้แผนหักหลังองค์กร ที่ฝ่ายนั้นวางไว้อย่างแนบเนียนมาเนิ่นนานได้หรอก หนำซ้ำยังวางแผนหลอกล่อให้มันมาติดกับได้โดยไม่เสียเวลา
แม้ว่าคนที่ระแคะระคาย รู้ล่วงหน้า จนออกคำสั่งลับให้สืบจะเป็น ‘คุณท่าน’ ก็ตาม
และหาก Wolf ทำสำเนาหลักฐานความผิด เบื้องหลังองค์กรนี้จริง Killer ย่อมหาเจอ
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
เช้าวันนี้ธันวาตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์แจ่มใส ใจเบา ปลอดโปร่งกว่าทุกวัน อาจเพราะเมื่อวานได้ปลดเงื่อนบางอย่างหลุดออกจากใจ
หลังจากเสร็จงานเผาศพเสี่ยหมง เขาไปส่งปู่ย่าและแม่ที่บ้านเรียบร้อยก็ขับรถเข้ากรุงเทพฯ ทันที รู้สึกว่ามีเรื่องรอให้สะสางหลายอย่าง
ก่อนถึงกรุงเทพฯ นึกได้ว่าควรแวะหาภูริช ให้ช่วยค้นภูมิหลังบางคน และมีบางเรื่องอยากสะสางคลี่คลายเสียที
อพาตเม้นท์ภูริชอยู่ในสภาพเดิม ตัวเจ้าของห้องดูแปลกไป ถึงจะแต่งตัวตามสบาย ไม่มีมาดเหมือนเดิม ผมเผ้ากลับเรียบร้อยกว่าปกติ อีกทั้งมีบางสิ่งในแววตาฉายรอยรื่นรมย์ คล้ายคนที่รู้สึกว่าตนเอง ‘เปี่ยมอำนาจ’
“มึงนี่ เรียกใช้งานกูไม่รู้เวล่ำเวลา ค่ำมืดป่านนี้ยังโผล่มาอีก” เจ้าของห้องบ่นไม่จริงจังนัก
“เออ...กูเพิ่งกลับจากงานศพแถวบ้าน เลยมาถึงกรุงเทพฯ ค่ำหน่อย” ธันวาอธิบาย
“มีเรื่องอะไรให้กูสืบอีกล่ะ” ภูริชถามดักคอ
“ไม่คิดว่ากูมาเยี่ยมเฉย ๆ บ้างหรือไง” คนมาเยือนบ่นเบา ๆ
“มาเยี่ยมประสาอะไร ไม่มีของติดไม้ติดมือสักอย่าง” เจ้าของห้องรู้ทัน
“เออ...เข้าเรื่องเลยก็ได้” ธันวายอมแพ้
“ให้กูสืบเบื้องหลังใคร” ภูริชถามตรง ๆ
“หมอโกเมน เจ้าของคลินิกงามพิศ”
ดวงตาภูริชทอประกายแปลก เอ่ยปากถามเนือย ๆ
“อยากได้ไปทำไมวะ หรือว่าคนไข้โรคจิตของมึงไปศัลยกรรมที่นี่แล้วเสียโฉม” พูดอย่างนี้แสดงว่ารู้จักคลินิกศัลยกรรมชื่อดัง
“มึงอย่ารู้ดีกว่า” ธันวาตอบตรง ๆ ไม่อยากให้เพื่อนมาพัวพัน รับรู้เรื่องอันตรายมากเกินไป
“เออ...ก็ได้ ศัลยแพทย์ชื่อดังแบบนี้ หาข้อมูลง่ายจะตาย”
ภูริชพูดพลางคีย์ข้อมูลค้นหาด้วยท่าทางสบาย ๆ เพียงแต่สีหน้าแววตาขณะอยู่หน้าจอดูแปลกจากเดิม
“ไม่ต้องรีบก็ได้ พรุ่งนี้กูค่อยมาเอา” ธันวาไม่อยากเร่งเพื่อน อีกทั้งยังมีเรื่องสำคัญต้องการคุยด้วย
“ไม่เป็นไร คนดังอย่างนี้ กูขุดไม่เกินห้านาทีก็ได้เป็นสิบหน้าแล้ว...มึงนั่งรอนี่แหละ” ภูริชบอกง่าย ๆ
ธันวานิ่ง นั่งรอข้างโต๊ะคอมพิวเตอร์ มองเพื่อนทำงานพลางถอนใจเบา...ครุ่นคิด จะเริ่มต้นพูดเรื่องสำคัญอย่างไร?
ที่จริง การมาให้ภูริชช่วยค้นข้อมูลหมอโกเมนเป็นแค่ข้ออ้างส่วนหนึ่ง หากเขาต้องการข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับคดีส้มน้อยจริง ก็คงขอให้เพื่อนสนิทค้นและขุดเบื้องหลังบ้านดาวัน โรงพยาบาลดาวัน มูลนิธิดาวัน และคุณย่าดาวันไปแล้ว
ธันวารู้สึกว่าองค์กรนี้ใหญ่โต มีอิทธิพลกว้างขวาง จึงเป็นห่วงไม่อยากให้เพื่อนเกี่ยวข้องกับคดีนี้มากเกินไป ส่วนอีกใจ เป็นสัญชาตญาณลึก ๆ ที่รู้สึกว่า ภูริชวันนี้มีความลึกลับบางอย่าง ไม่เหมือนเพื่อนสนิทคนเดิมเมื่อสิบห้าปีก่อน ทำให้ไม่กล้าเปิดเผยเรื่องราวมากเกินไป
สำหรับเรื่องสำคัญที่ตั้งใจมาพูดคืนนี้...เขายังหาวิธีเริ่มต้นไม่ได้
“มึงนั่งเงียบ จ้องหน้ากูแบบนี้ จะรอสารภาพรักหรือไงวะ” ภูริชหยอกเมื่อเห็นเพื่อนเงียบไปนาน
“เออ...เอ่อ...ไม่ใช่” จิตแพทย์ซึ่งเคยพูดจาไม่ติดขัดกลับหาวาจาเปิดประเด็นสำคัญไม่ได้
“ไม่ใช่อะไร...ไม่ได้มาสารภาพรักกู หรือไม่ใช่เรื่องที่ตั้งใจจะมาพูดกับกูจริง ๆ” ภูริชย้อนถามเชิงชี้นำให้
“อืม...ไม่ใช่เรื่องที่กูตั้งใจมาพูดจริง ๆ นั่นแหละ” ธันวายอมรับ
“งั้นเรื่องที่มึงอยากพูดกับกูจริง ๆ คืออะไร?” ภูริชหันมาสบตาเพื่อนตรง ๆ
“มึงจำ...ผู้หญิงที่ช่วยพามึงขึ้นเรือตอนนั้นได้มั้ย” ธันวาไม่หลบสายตา
“จำได้สิ ตอนนี้ก็ยังติดต่อกันอยู่ มึงมีธุระอะไรกับเขาล่ะ” คนเป็นเพื่อนพูดอย่างเปิดทางเต็มที่
“กูอยากเจอเขา...มึงนัดให้กูได้มั้ย” ถามตรงไปตรงมา
“บอกธุระมึงก่อนสิ แล้วกูจะพิจารณาอีกทีว่าควรนัดให้มึงมั้ย”
“กูอยากเจอเขาเพื่อ...ขอถอนคำสัญญา” พอประโยคนี้หลุดจากปาก ธันวารู้สึกหัวอกโล่ง ผ่อนคลาย
“คำ...สัญญา” ภูริชทวนคำ มองเพื่อนด้วยแววตาแปลก “สัญญาที่มึงเคยบอกว่า รับปากเขาที่จะไม่เล่าเรื่องของกู และเหตุการณ์สามวันนั้นใช่มั้ย”
“อือ...” ธันวาตอบรับ
ภูริชถอนใจเบา แววตาทอประกายสับสน ก่อนมันจะนิ่งสงบเหมือนสมรภูมิในใจยุติลงรวดเร็ว
“มึงรู้ใช่มั้ย...เขาให้มึงสัญญาเพราะอะไร” ภูริชถามช้า ๆ
“รู้...กูต้องปิดปากให้สนิท บอกใครไม่ได้แม้แต่พ่อแม่ปู่ย่า ไม่งั้นศัตรูมึงจะตามรอยจากกูได้ แล้วชีวิตมึงจะเป็นอันตราย”
มือที่กำเม้าส์เกร็งชั่วขณะ แววตาหม่นวูบ ริมฝีปากเม้มสนิท ก่อนสีหน้าภูริชคลี่คลายลงด้วยรอยยิ้มที่ดูเสมือนเป็นหน้ากากอำพราง
“พวกศัตรูกูมันตายห่า พังพินาศหมดแล้ว...มึงยกเลิกสัญญานั้นได้เลย” วาจาหลุดจากปากง่ายดาย
“เฮ้ย!” ธันวาอุทานอย่างงุนงง ทำอะไรไม่ถูก
คำสัญญาที่ตนเองเก็บรักษามานานถึงสิบห้าปี คำสัญญาที่ทำให้ต้องยอมแข็งข้อกับผู้ใหญ่ คำสัญญาที่ต้องแลกกับผู้หญิงคนสำคัญ กลับถูกถอดถอน ยกเลิกง่ายดาย...ง่ายเสียจนรู้สึกว่า เขาบ้าไปเองที่มัวยึดมั่นถือสัญญานั้นเป็นเรื่องจริงจัง
“ไอ้ภู...” ธันวาไม่รู้ควรพูดอย่างไร ต้องถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนค่อยถามไถ่ “แล้ว...ผู้หญิงคนนั้นล่ะ...”
“ไม่มีปัญหา นี่มันเป็นเรื่องของกู...กูสามารถเป็นตัวแทนเขา รับคำยกเลิกสัญญาของมึงได้เลย” หยุดพูดชั่วขณะ ก่อนฝืนยิ้ม “ขอบใจมากที่อดทนเก็บเรื่องของกูมานานขนาดนี้”
ในใจธันวาเหมือนได้รับอิสรภาพ ปลดภาระหนักที่คาใจมานานออกไปได้
“เออ...ก็ใครใช้ให้กูเป็นเพื่อนมึงล่ะ” ธันวาตอบอย่างสบายใจ
ภูริชไม่สบตา แสร้งไปกดเครื่องปริ้นท์ สั่งพิมพ์เอกสารเกี่ยวกับนายแพทย์โกเมนออกมา
“กูถามจริง ๆ เถอะ” เอ่ยปากทั้งที่สายตายังอยู่ที่เครื่องปริ้นท์ มองกระดาษไหลออกมาทีละแผ่น “เพราะสัญญาข้อนี้มึงถึงเลิกกับมีนาใช่มั้ย”
“มันไม่ใช่ทั้งหมดหรอก” ธันวาไม่รู้ควรอธิบายอย่างไร
“ที่มึงมาขอถอนคำสัญญา ก็เพราะตั้งใจกลับไปคบกับเขาอีกครั้งเหรอ”
คำถามสองทำให้ธันวานิ่งอั้นไปนาน
หากเป็นคนอื่นถาม เขาคงนิ่งไม่ตอบวาจา พอคนถามคือภูริช เพื่อนสนิทเคยร่วมเป็นร่วมตาย อีกทั้งเป็นต้นเหตุคำสัญญา จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะปกปิดความรู้สึกในใจ
“ตอนกูเลิกกับเขา มันไม่เกี่ยวกับที่กูบอกเหตุผลผิดนัดไม่ได้หรอก มีนาไม่ใช่ผู้หญิงงี่เง่าแบบนั้น แต่มันมีเรื่องแย่เกิดซ้อนขึ้นมาอีก...เพราะการผิดนัดของกูทำให้เขาต้องเจอเรื่องอันตราย แถมกูยังปกป้องเขาไม่ได้ กูเลยรู้สึกว่า ไม่มีสิทธิที่จะคบเขาอีกต่อไป...มันอาจเป็นการลงโทษตัวเองก็ได้ ซึ่งกูยังคิดเลยว่ามันเป็นโทษที่น้อยเกินไป”
ธันวาหยุดเล่า ภูริชหยิบเอกสารที่พิมพ์ออกมาเรียงเงียบ ๆ รอให้เพื่อนพูดจนจบ
“มาวันนี้ กูมีเรื่องต้องใกล้ชิดกับเขา แล้วมึงก็กลับมาอย่างปลอดภัยดี กูเลยรู้สึกว่าควรสะสางเรื่องเก่าที่คาใจให้มันเคลียร์เสียที ตัวมีนาเองอาจลืมเรื่องนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ แต่กูก็อยากพูด จะได้ไม่ติดค้างกัน...ส่วน...จะกลับไปคบกันหรือเปล่า กูไม่รู้หรอก เพราะเราสองคนไม่ใช่เด็กวัยรุ่นอายุสิบแปดสิบเก้า เหมือนเมื่อสิบห้าปีก่อนอีกแล้ว”
นานครั้งธันวาจะพูดยาวขนาดนี้ เป็นการพูดที่ระบายความคั่งค้างในใจออกมาจนไม่มีเหลือ
ภูริชหัวเราะเสียงปร่า ก่อนปรับให้ปกติสดใส หยิบเอกสารที่พิมพ์ออกมาทั้งหมดยื่นให้ธันวา
“เอ้า...ข้อมูลที่มึงขอ...” พูดจบก็จ้องเพื่อนสนิทด้วยแววตาจริงจัง “ตอนนี้มึงไม่มีสัญญาอะไรผูกพันอีกแล้ว...พูดอย่างที่อยากพูด...ทำอย่างที่อยากทำเถอะ”
“เออ...ขอบใจ” ธันวารับเอกสารนั้นพร้อมรอยยิ้มยินดี
“ไม่ต้องคิดมาก...” ภูริชหยุดชั่วขณะ ปรับเสียงให้ฟังอารมณ์ดี “ตอนนี้...มึงกับกูไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว”
ธันวาชะงัก รู้สึกคล้ายมีบางสิ่งซ่อนอยู่ในวาจาเรื่อย ๆ สบาย ๆ นั้น
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
เวลายังเช้าอยู่ จิตแพทย์หนุ่มยืนหน้าห้องมีนา ไม่รู้เจ้าของห้องตื่นหรือยัง เอื้อมมือกดกริ่งหน้าประตู...ครู่หนึ่งหญิงสาวค่อยเปิดประตูออกมาด้วยสภาพหัวยุ่ง แววตาเอาเรื่อง
“มีธุระอะไร มาแต่เช้าเชียว”
“มีอะไรให้กินมั้ย” ชายหนุ่มถามหน้าตาเฉย
“ร้านเซเว่นอยู่ข้างล่างคอนโด” มีนาพูดฉุน ๆ “ห้องฉันไม่มีอาหารเช้าบริการใคร”
“อ๋อ...” ธันวาตอบรับพลางเดินเข้าห้องโดยไม่รอคำเชื้อเชิญ
“นี่แก...อย่าคิดว่าฉันใจดีเลี้ยงข้าวเย็นมื้อเดียว แล้วจะมาอาศัยกินข้าวเช้าได้ด้วยนะ” หญิงสาวเดินตามพร้อมบ่นยาวเป็นชุด
ภายในห้องหญิงสาวสะอาดเป็นระเบียบกว่าเคย กลิ่นอาหารเช้าโซยชายแตะจมูกชวนน้ำลายไหล
“ไหนว่าไม่มีอะไรให้กิน” ธันวาหันมาถาม “ฝีมือใครน่ะ หอมเชียว”
“ส้มน้อย” มีนาเลือกตอบคำถามหลัง
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
วันแรกหลังส้มน้อยฟื้นจากอาการป่วย มีนาพูดคุยซักถามเรื่องเกี่ยวกับแม่หนูอย่างจริงจัง โดยเริ่มต้นจากบอกว่า เธอรู้ว่าหนูน้อยเคยอยู่บ้านดาวัน และหลบหนีจากโรงพยาบาลพร้อมปกป้อง
“ส้มน้อยอยากกลับไปบ้านดาวันมั้ย” คำถามนี้ส้มน้อยตอบไม่ถูก
ตอนอยู่โรงพยาบาล เธอร่ำร้องอยากกลับบ้าน ขอให้หมอปล่อยตัว แต่พอได้รับความช่วยเหลือ หนีออกมาได้ยินเสียงสนทนาของพวกผู้ร้าย ฝันเห็นปกป้องมาเตือน ส้มน้อยก็ไม่กล้ากลับบ้านดาวัน กลัวเจอคนพวกนั้นดักคอยอยู่ กลัวถูกจับส่งโรงพยาบาลนั้นอีก กลัวพวกแม่ ๆ พี่น้องในบ้านจะเป็นอันตราย
เมื่อมีนาไม่ได้คำตอบ จึงสรุปเอง
“ถ้าส้มน้อยยังไม่พร้อมกลับบ้านดาวัน แม่มีนว่าหนูอยู่ที่นี่ไปสักพักนึงก่อน รอให้ตำรวจจับผู้ร้ายได้ค่อยคุยกันอีกทีดีมั้ย”
“ตำรวจ...” ส้มน้อยพึมพำ ตั้งแต่ฝันเห็นชะตากรรมสุดท้ายของพี่ป้อง เด็กหญิงรู้สึกไม่ไว้ใจตำรวจเลย
มีนาเห็นสีหน้านั้นก็เข้าใจ
“ไม่ต้องห่วง แม่มีนไม่ส่งส้มน้อยให้ตำรวจหรอก แต่ตอนนี้หนูอาจลำบากหน่อย ออกไปไหนไม่ได้ ไม่งั้นอาจเจอพวกคนร้าย หนูเข้าใจมั้ยคะ”
เด็กหญิงจ้องตามีนา ดวงตาใสแจ๋วบอกความเชื่อมั่น... ‘พี่ป้อง’ บอกเธอแล้วว่าแม่มีนไว้ใจได้
“ค่ะ” ส้มน้อยตอบรับ
สมัยอยู่บ้านดาวัน ส้มน้อยต้องตื่นแต่เช้า เก็บที่นอนให้เรียบร้อย แล้วออกไปทำความสะอาดตามพื้นที่ได้รับมอบหมาย หรือไม่ก็เข้าเวรช่วยงานในครัว เสร็จแล้วถึงจะไปอาบน้ำ แต่งตัวรับประทานอาหารเช้า ก่อนไปโรงเรียน
ส้มน้อยชอบทำครัว เธอจึงมักตื่นก่อนเด็กคนอื่นไปช่วยแม่ครัว สังเกตการทำอาหารบ่อย ๆ แอบลองทำเองหลายครั้งจนรสชาติได้มาตรฐาน
เช้าวันนี้ ส้มน้อยตื่นก่อนมีนาอย่างเคย กิจวัตรเคยทำตอนอยู่บ้านดาวันถูกนำมาปฏิบัติตามปกติ แม้เจ้าของบ้านจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องทำก็ตาม
เด็กหญิงพับผ้าห่ม เก็บที่นอนเรียบร้อย ออกไปทำความสะอาดห้องรับแขก บริเวณห้องอื่น ๆ จนถึงห้องน้ำได้อย่างสะอาดหมดจด
จากนั้นเข้าครัวเตรียมอาหารเช้าให้มีนา...ซึ่งวันแรก ๆ หญิงสาวเจ้าของห้องจะร้องห้าม
“ไม่ต้องทำหรอกลูก...เดี๋ยวแม่มีนทำเอง”
พอเห็นการทำครัวคล่องแคล่ว ชิมอาหารเช้าฝีมือเด็กแปดขวบครั้งแรก มีนาต้องเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“อร่อยจัง ใครสอนคะ”
“แม่มังคุด” เด็กหญิงบอกชื่อแม่ครัวบ้านดาวัน ซึ่งมีนาไม่รู้จัก
นั่นทำให้หญิงสาวกล้าปล่อยเด็กหญิงลองทำอาหารมื้อกลางวัน และตอนเย็นให้รับประทาน...จากนั้น...สามสี่วันที่ผ่านมา อาหารสามมื้อเป็นฝีมือส้มน้อยทั้งหมด!
เจ้าของห้องมีหน้าที่แค่ลงไปซื้อของสดที่ซูเปอร์มาร์เก็ตข้างคอนโดเท่านั้น
อาหารมื้อเช้าเพิ่งเสร็จ กริ่งหน้าประตูห้องดังขึ้น ส้มน้อยสะดุ้งเฮือก ก่อนนึกได้ว่าคนที่มาห้องมีนาภายในสามสี่วันนี้ มีแค่ ‘หมอธัน’ คนเดียว
ถึงอย่างนั้นเด็กหญิงก็ไม่กล้าเปิดประตู รีบไปปลุกเจ้าของห้อง จากนั้นกลับไปเตรียมอาหารเช้าอีกชุดอย่างรู้งาน
เสียงมีนากับธันวาคุยกันแว่ว ๆ ที่หน้าประตู ก่อนดังชัดขึ้นเมื่อสองหนุ่มสาวเข้ามาในห้อง
ตอนนั้นส้มน้อยค่อยเยี่ยมหน้าออกมา แววตาขลาดอาย ไม่กล้าสบตาชายหนุ่ม
“หนูเตรียมอาหารเช้าเผื่อคุณหมอแล้วค่ะ” ถึงส้มน้อยจะยังไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อคนเป็นหมอนัก แต่กับ ‘หมอธัน’ เด็กหญิงถือเป็นข้อยกเว้น
“ส้มน้อยไม่ต้องใจดีกับหมอธันก็ได้จ้ะ เปลืองข้าวบ้านแม่มีนเปล่า ๆ” มีนาบอกพลางส่ายหน้า เด็กหญิงรู้ดีว่าเป็นการล้อเล่น
“ขอบใจนะ น่ารักจริง” คุณหมอคุกเข่าบอกใกล้ ๆ ริมฝีปากคลี่บาง ๆ ดวงตาคู่สวยมีประกายอบอุ่น เด็กหญิงรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
หลังอาหารเช้า สองหนุ่มสาวไม่ยอมให้เด็กหญิงล้างจาน ไล่ให้ไปดูทีวี อ่านหนังสือในห้องส่วนตัว แล้วทั้งคู่มายืนช่วยกันล้างจานอยู่ที่ซิงค์พร้อมพูดคุยเรื่องสำคัญ
ธันวาอยากเอ่ยปากเรื่องในอดีตก่อน แต่ไม่รู้ควรเกริ่นเริ่มต้นอย่างไร การยกเรื่องเก่านานขนาดนั้นมาพูดตอนนี้ มันเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง
“เมื่อวานฉันไปงานเผาเสี่ยหมง” สุดท้ายชายหนุ่มเริ่มพูดจากปัญหาใกล้ตัวก่อน
“มีอะไรพิเศษมั้ย” มีนาถาม
“เสี่ยหมงบอกปู่ฉันว่า นายมาโนชซ่อนหลักฐานความผิด ‘นายใหญ่’ ไว้หลายเรื่อง”
“งั้นก็ดีสิ” หญิงสาวมั่นใจในการสื่อสารกับวิญญาณของพวกปู่มากกว่าตนเอง “เสี่ยหมงบอกปู่มั้ยว่ามาโนชซ่อนหลักฐานไว้ที่ไหน”
“ไม่ได้บอก...เสี่ยหมงไม่รู้”
“อ้าว...” ได้ยินอย่างนี้พูดอะไรไม่ถูก
“ปู่บอกว่าคนที่รู้น่าจะเป็นมาโนชคนเดียว”
“ได้ข่าวว่าเสียสติไปแล้วไม่ใช่เหรอ จะบอกเราได้ยังไง” มีนาสงสัย
“ปู่ว่านายมาโนชโดนยาสั่งคล้ายเสี่ยหมง แต่เป็นคนละประเภท”
“ไม่ใช่ ‘ชาสั่งจิต’ เหรอ” มีนาพยายามนึกถึงฤทธิ์ของชาสั่งจิตเท่าที่เคยคุยกับตี๋เล็ก “จริงสิ ชาแบบนี้ถ้าไม่ชง แล้วเอาไปเผาเป็นกำยานก็ได้ผลร้ายแรงเหมือนกัน...แต่ไม่น่าถึงขั้นเสียสตินะ”
ธันวานิ่งฟังคำพูดมีนาชั่วขณะก่อนเอ่ยถาม
“พอจะรู้มั้ยว่ามียาอะไรใช้แก้ฤทธิ์มันได้”
มีนากำลังจะบอกว่า ผงว่านปลุกเสกของครูแกลงน่าจะใช้ได้...แต่ต้องชะงักวาจา เกิดไม่แน่ใจ...คิดว่ามีหนทางอื่นที่จะช่วยหาคำตอบดีกว่านี้
“ฉันไม่แน่ใจหรอก แต่รู้ว่ามีใครคนหนึ่งช่วยเราหายาแก้ตัวนี้ได้”
“ใคร” ธันวาย้อนถามทันที
“จำครูแกลง...อาจารย์ของปู่เราสองคนได้มั้ย...คนที่น่าจะช่วยเราได้เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของท่าน”
หญิงสาวกำลังจะบอกชื่อ...ชายหนุ่มก็สวนวาจามาก่อน
“เพชร...ตี๋เล็ก...เหลนของท่าน!”
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
< Prev | Next > |
---|