วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เร้น ๑๙



Ren



ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            มีนานิ่ง...หรี่ตาคิดทบทวน ในหัวโยงเรื่องราวต่าง ๆ เข้าหากันก่อนตอบ

            “การจะเอาเด็กในสภาพโคม่าขึ้นเครื่องข้ามประเทศ มันต้องผ่านขั้นตอนยุ่งยาก...นายมาโนชมีเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว ใช้เดินทางไปติดต่อธุรกิจบ่อย ๆ... การทำแผนการบินขออนุญาตไปประเทศนั้นเพื่อทำธุรกิจบังหน้า แต่แอบนำเด็กที่เป็นเจ้าหญิงนิทราซ่อนไปในเครื่องบินน่าจะเป็นเรื่องง่ายกว่า เพราะคนสำคัญในประเทศปลายทางต้องการตัวเด็กอยู่แล้ว”

            “เพราะฉะนั้น โรงพยาบาลจึงแจ้งว่าส้มน้อยตาย แล้วขอศพไว้ เพื่อตัดปัญหายุ่งยากต่าง ๆ” ธันวาสรุป

            หญิงสาวหนาวเยือกถึงหัวใจ รู้สึกว่าองค์กรนี้มันใหญ่โตมีอิทธิพลจนน่ากลัวเกินไปแล้ว

            “ผีเสี่ยหมงนี่เก่งนะ ตามรอยจนเจอธุรกิจอีกอย่างของนายใหญ่ได้” มีนาพูดแกมประชด

            “เสี่ยหมงน่าจะระแคะระคายเรื่องนี้ตั้งแต่ก่อนตายแล้ว...” ธันวาบอก “หลังจากเขาไปพบนายมาโนชตอนบ่าย ช่วงเย็นค่ำเขาอยู่สังสรรค์พูดคุยกับเพื่อนนักธุรกิจ...ฉันเชื่อว่าตอนนั้นแหละที่ทำให้เขาสะกิดใจ เชื่อว่าเหนือกว่านายมาโนช ยังมี ‘นายใหญ่’ อีกคน ทำให้เขาไปหากัญญา แกล้งพูดกึ่งขู่ให้ติดต่อนายใหญ่ ซึ่งมันก็ได้ผล รู้ว่ามีนายใหญ่อยู่จริง แต่ทำให้ฝ่ายนั้นคิดว่า...เสี่ยหมงรู้มากเกินไปแล้ว...”

            “เขาก็โดนเก็บซะเลย!” มีนาสรุปให้

            ธันวาพยักหน้า อธิบายขยายความต่อให้

            “ด้วยใจที่เป็นห่วงครอบครัว เขาเลยมาขอความช่วยเหลือจากเธอ แล้วตามมือสังหารไปจนถึงคลินิกงามพิศ และด้วยสัญชาตญาณ หรือความรู้แบบผีอะไรสักอย่าง ทำให้เขามั่นใจว่าเจ้าของคลินิก หมอคนที่ผ่าอวัยวะ มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายใหญ่...เขาเลยช่วยส้มน้อยกับปกป้อง แล้วมาเข้าฝันเธอ บอกให้มาที่คลินิกงามพิศ...เพราะนอกจากเธอจะเจอตัวมือสังหารแล้ว ยังสามารถไปช่วยส้มน้อย ซึ่งทำให้เธอได้ร่องรอยสำคัญ สามารถสืบหาว่า ‘นายใหญ่’ เป็นใคร”

            จิตแพทย์ผู้รู้ใจผี นำคำพูดของเธอมาเรียบเรียงใหม่ อธิบายจนมีนาคล้อยตาม

            “ไม่น่าเชื่อนะ” หญิงสาวพึมพำ “สิ่งที่เหมือนจะไม่เกี่ยวข้อง เป็นคนละเรื่อง กลับผูกโยงมาเป็นเรื่องเดียวกันได้”

            บทสนทนาที่ต่างคนต่างบอกเล่าผ่านมุมมองความคิด วิเคราะห์ตามเหตุผลหลั่งไหลมาราวสายน้ำ ช่วยคลี่คลาย ไขปัญหาข้องใจจำนวนมากออกไป

            “ถ้าอย่างนั้น...แกคิดว่าใครคือนายใหญ่” มีนาตั้งคำถามสำคัญ

            “คนที่มีอำนาจเหนือกว่านายมาโนช เจ้าของ W.คอร์ป และหมอโกเมน เจ้าของคลินิกงามพิศ” ธันวาตอบเหมือนไม่ได้ตอบ

            “แกรู้อะไรมากกว่านี้มั้ย” หญิงสาวถามกึ่งท้าทาย

            “คนคนนั้นอาจมีอำนาจอยู่ที่บ้านดาวัน และโรงพยาบาลที่พวกเด็กกำพร้าต้องไปตรวจร่างกายประจำ” ธันวาขยายความคิดออกมา

            “โรงพยาบาลที่พวกเด็กต้องไปตรวจร่างกายประจำคือโรงพยาบาลดาวัน” มีนาบอกชื่อสถานที่

            ตอนที่หญิงสาวไปทำสกู๊ปบ้านดาวัน ทำให้มีข้อมูล รายละเอียดแวดล้อมเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้พอสมควร

            “โรงพยาบาลดาวัน กับบ้านดาวัน ดำเนินการอยู่ภายใต้ ‘มูลนิธิดาวัน’ ใช่มั้ย”

            ธันวารู้จักมูลนิธิชื่อดังที่ตั้งมาห้าสิบกว่าปี สร้างชื่อเสียงดีงาม ช่วยเหลือผู้คนเกินกว่าครึ่งศตวรรษ

            “อย่าบอกนะว่า นายใหญ่คือคนที่เป็นเจ้าของมูลนิธินี้” มีนาไม่อยากเชื่อ

            เจ้าของมูลนิธิดาวัน คือคุณย่าดาวัน เศรษฐีนีชราวัยแปดสิบ ผู้ก่อตั้งบ้านดาวัน โรงพยาบาลดาวัน และมูลนิธิดาวัน

            “คนอายุแปดสิบ สร้างคุณงามความดีมากมายขนาดนั้น เขาไม่ยอมเอาชื่อเสียงมาแลกกับธุรกิจมืดแบบนี้หรอก” ธันวาพูดอย่างที่ตนคิด

            “ถ้างั้นน่าจะเป็นใครสักคนที่มีอำนาจรองลงมา หรือไม่ก็พวกผู้บริหารเงาที่แอบชักใยโดยไม่เปิดเผยตัว” มีนาตั้งสมมุติฐาน

            “นั่นเป็นเรื่องที่ ‘เรา’ ต้องไปสืบหาอีกที” ธันวาพูดคำว่า ‘เรา’ เต็มปาก คล้ายยอมร่วมทีมกับหญิงสาวเพื่อคลี่คลายความลับนี้

            ได้ยินอย่างนั้น มีนารู้สึกอบอุ่นใจ คล้ายกำลังเดินอยู่บนทางเปลี่ยว เต็มไปด้วยขวากหนามอันตราย แล้วจู่ ๆ ผู้ชายคนนี้ก็ก้าวขึ้นมายืนเคียงข้างอย่างเต็มใจ

            “จริงสิ พี่ธงหายไปไหนแล้วล่ะ” หญิงสาวเพิ่งนึกถึงนายตำรวจที่มาพร้อมกับธันวา

            “ติดธุระด่วน กลับไปก่อนแล้ว” ธันวาตอบ

            “แย่จัง ว่าจะปรึกษาเรื่องส้มน้อยหน่อยว่าจะเอายังไงดี ทางบ้านดาวันแจ้งตายแล้วแบบนี้ เราจะพาเธอไปส่งคืนก็ไม่ได้ อันตรายเกินไป หรือจะให้ตำรวจคอยคุ้มครองก็เสี่ยงอยู่ดี” มีนากังวลใจ

            “เก็บส้มน้อยไว้ที่นี่ก่อน” ธันวาสรุป “ระหว่างนี้เรามาสืบดูว่าบ้านดาวัน มูลนิธิดาวันมีส่วนรู้เห็นการขายอวัยวะด้วยหรือเปล่า”

            คำพูดธันวาชวนให้หนาวเยือกหัวใจ หากผู้ใหญ่ที่มีอำนาจเต็มในสถานที่สองแห่งนี้ รู้เห็นเรื่องการขายอวัยวะ ขายชีวิตเด็กคนหนึ่ง โลกเรายังมีที่แห่งใดปลอดภัยสำหรับเด็กตาดำ ๆ อีกบ้าง

            “ตอนนี้ฉันควรทำอะไรดี” มีนาพูดอย่างเหนื่อยใจ อยากสลัดความหนักอึ้งออกจากหัวชั่วคราว

            “หาอะไรกินซะ แล้วก็รีบเข้านอนแต่หัวค่ำ” ธันวาบอกง่าย ๆ

            เวลานั้นหญิงสาวเพิ่งรู้สึกหิวขึ้นมาจริง ๆ นาฬิกาบอกเวลาค่ำพอสมควร

            “ดีเหมือนกัน” มีนายอมรับง่าย ๆ

            คุณหมอหนุ่มยื่นถุงเสื้อผ้าส้มน้อยให้กับเธอ

            “ฉันซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ส้มน้อย เก็บไว้ด้วยสิ”

            “ขอบใจ...ฉันลืมไปเลย” ความวุ่นวายประดังมาหลายเรื่อง หญิงสาวจึงหลงลืมเรื่องใกล้ตัว

            พอรับถุงเสื้อผ้ามาเปิดดูสิ่งที่ชายหนุ่มซื้อฝากเด็กน้อย มองเห็นเสื้อผ้าสามสี่ชุดลวดลายน่ารัก ขนาดพอดีตัวเด็กหญิง แสดงว่าเขาใส่ใจในทุกรายละเอียด

            “แล้ว ‘คุณหมอ’ กินอะไรมาหรือยัง” คราวนี้เป็นฝ่ายหญิงสาวแสดงน้ำใจบ้าง

            ธันวายกชาตนเองขึ้นจิบโดยไม่ตอบวาจา

            “งั้นตรวจอาการไข้ส้มน้อยเสร็จแล้วก็อยู่กินข้าวด้วยกันสิ จะทำเผื่อไว้ให้” มีนาพูดเสียเอง

            “เอาสิ” ธันวาไม่ปฏิเสธ

            มีนาอมยิ้ม ไม่ถามต่อว่าเขาอยากกินอะไร เพราะรู้...ต้องได้คำตอบนี้

            เธอกินอะไร ฉันก็กินได้หมด

            นั่นเป็นคำพูดติดปากตั้งแต่สมัยเด็ก...ธันวาเป็นคนกินง่าย แต่ชมใครยาก หากวันไหนเขาบอกว่าอาหารอร่อย แม่ครัวจะยิ้มไม่หุบทั้งวัน



            ขณะจิตแพทย์หนุ่มเข้าไปตรวจวัดอาการไข้เด็กหญิงส้มน้อย แม่ครัวจำเป็นอย่างมีนายืนอยู่หน้าเตา ประกอบอาหารง่าย ๆ ที่จำได้ว่าเคยถูกปากเพื่อนผู้ชายข้างบ้าน สามารถกินหมดสามจานโดยไม่ชมคนทำเลยสักคำ ส่วนน้องชายน้องสาวตัวแสบผู้รับอานิสงส์อาหารมื้อนั้นต่างชื่นชมเป็นเสียงเดียว

            “เจ้มีนทำข้าวผัดอร่อยสุดสุด...สุดยอดเลย แม่ดายังทำไม่อร่อยเท่านี้นะ” เด็กชายพิจิกยิ้มแป้นชม

            “นั่นสิ...เจ้ใส่อะไรมั่ว ๆ ลงไปอย่างนั้น กลับอร่อยได้เนอะ” นั่นเป็นคำชมดีสุดสำหรับเด็กหญิงเมษา น้องสาวแท้ ๆ ของเธอ

            ส่วนเด็กหนุ่มที่เธอตั้งใจทำให้กินกลับไม่ชมเชยสักคำ แต่รับประทานเกลี้ยงสามจาน พร้อมรอยยิ้มสวยที่นานครั้งจะผุดบนใบหน้าหล่อ ๆ นั้น



            ข้าวผัดควันกรุ่นหอมยั่วน้ำลายสองจานวางบนโต๊ะอาหาร สองหนุ่มสาวนั่งเก้าอี้คนละฝั่ง ธันวาเป็นฝ่ายรินน้ำเสิร์ฟเจ้าของบ้าน ตอบแทนค่าอาหาร

            อาหารมื้อค่ำ รับประทานกันเงียบ ๆ โดยไม่มีบทสนทนา อาจเพราะเมื่อครู่พูดคุยปรึกษากันมากเกินไปแล้ว ช่วงเวลานี้เป็นการผ่อนคลาย เติมพลังให้อิ่มท้องเพื่อเผชิญหน้ากับด่านทดสอบต่อไป

            ธันวารับประทานหมดจานก่อน เขารวบช้อน เงยหน้ามองหญิงสาวด้วยแววตามีรอยยิ้ม

            “อร่อยนะ...ฝีมือพัฒนากว่าเดิมเยอะเลย”

            สำหรับคนไม่คิดว่าจะได้รับคำชม พอได้ยินอย่างนั้นก็นิ่งอึ้งชั่วขณะ ก่อนก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม ดวงตาพราวขบขัน อดไม่ไหวต้องหัวเราะเบา ๆ จนหัวไหล่สะเทือนให้ชายหนุ่มเห็น

            บรรยากาศตึงเครียดระหว่างพูดคุยปัญหาต่าง ๆ แปรเปลี่ยนไป สองหนุ่มสาวคล้ายกลับเป็นเด็กวัยรุ่นอีกครั้ง ที่อยู่บ้านติดกัน มีเรื่องทะเลาะง้องอนไม่ขาด ไม่เคยคิดถึงเรื่องวันข้างหน้า...และไม่เคยผิดใจกันรุนแรงมาก่อนเลย



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            หลังจากผู้เสียหายในโครงการเมืองใหม่แจ้งความ ทางตำรวจก็มาตรวจค้น เก็บหลักฐานที่บริษัทเสี่ยหมงและสำนักงานทนายความของนนท์

            ช่วงเวลานั้น ทนายความผู้หายสาบสูญกลับปรากฏตัว ขอให้ตำรวจกันตนเองเป็นพยาน พร้อมกับเปิดโปงเบื้องหลังแผนฉ้อโกงโครงการเมืองใหม่อย่างหมดเปลือก

            นนท์บอกว่า เสี่ยหมงและตนเองเป็นแค่ลูกน้อง หรือเหยื่อ ผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริงคือมาโนช...ประธาน W.คอร์ป

            ทนายความรอบจัดมีหลักฐานการติดต่อระหว่างตนเองกับประธาน W. คอร์ปหลายชิ้น หลักฐานการโอนเงิน เทปเสียงสนทนา จนสามารถออกหมายจับนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่ได้ไม่ยาก

            ทว่า...เพียงแค่ออกหมายเรียกประธาน W.คอร์ปเพื่อมาสอบสวน เจ้าตัวกลับหลบหนีโดยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว ซึ่งต่อมาเกิดเรื่องไม่คาดฝัน เครื่องบินทะยานขึ้นจากสนามบินไม่นานก็วกกลับ วิ่งลงมาจอดหน้าโรงเก็บเครื่องบินเรียบร้อย

            นักบินหายสาบสูญ เหลือเพียงมาโนช นักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่ นอนสลบไสลบนเครื่องเพียงผู้เดียว รอให้ตำรวจมาควบคุมตัว

            ประธาน W.คอร์ปถูกจับตามด้วยข้อหายาวเป็นหางว่าว หลักฐาน พยานพร้อม โดยเจ้าตัวไม่มีโอกาสแก้ต่าง สู้คดี เพราะข่าววงในล่าสุดบอกว่า...มาโนชเสียสติแล้ว!



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            งานฌาปนกิจศพเสี่ยหมง

            ผู้คนมาร่วมงานคึกคักเต็มศาลาจนล้นไปถึงเต็นท์ข้างนอก ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงไม่มีใครหายหน้า กระทั่งเหล่านักธุรกิจที่เคยแจ้งความ ก็ยังมาเพื่ออโหสิกรรมครั้งสุดท้าย

            เผด็จ ร้อยกรอง ดวงสุดา และธันวานั่งเก้าอี้แขกผู้มีเกียรติในงานศพ

            ท่านผู้เฒ่าสองสามีภรรยามาร่วมงานเพื่ออโหสิให้แก่ผู้วายชนม์ ช่วยลดแรงเสียดทาน ไม่ให้ครอบครัวเสี่ยหมงตกเป็นเป้าโจมตีมากกว่าเดิม

            ส่วนธันวาถูกมารดาเรียกตัวให้กลับมาร่วมงานศพนี้ นอกจากช่วยมาดูแลคุณปู่คุณย่าแล้ว ตัวณีรนุช พี่สาวเสี่ยหมงก็อยากขอบคุณคุณหมอหนุ่มที่ช่วยเหลือมาตลอด

            ผู้ใหญ่ บุคคลสำคัญในเมืองต่างเข้ามาทักทาย แสดงความเคารพชายชราที่นานครั้งจะก้าวออกจากบ้านสักที ณีรนุช คอยอยู่ดูแลไม่ห่าง เพื่อแสดงความขอบคุณในน้ำใจผู้เฒ่าทั้งสอง และหลานชาย ที่มีส่วนช่วยให้ครอบครัวตนพ้นจากข้อกล่าวหาได้

            พิธีสวดเริ่มต้น แขกผู้ร่วมงานต่างนั่งประจำที่ เผด็จกับร้อยกรองเพิ่งมีเวลาพักจากการรับการคารวะ ทักทาย ดวงสุดาคอยส่งน้ำ ยาดมให้พ่อแม่สามีเป็นระยะ ขณะที่ธันวาคอยสังเกตดูห่าง ๆ หากไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ก็จะให้สองผู้เฒ่าอยู่ร่วมจนเสร็จงาน

            หลังจากผู้ร่วมงานแยกย้ายนั่งฟังสวด บรรยากาศค่อยเข้าสู่ความสงบ ธันวาพนมมือฟังสวดครู่หนึ่งก็เริ่มรู้สึกถึงกระแสความมีอยู่ของวิญญาณดวงหนึ่งซึ่งกำลังเดินวนเวียนอยู่ในงาน ความรู้สึกเป็นตัวตนของผู้ต่างภพตนนั้นทำให้คุณหมอหนุ่มพอคาดเดาได้ว่าเป็นใคร

            “เสี่ยหมงก็มางานศพตัวเองด้วย” เผด็จกระซิบเบา ๆ คล้ายยืนยันสัมผัสพิเศษหลานชาย

            “ครับ” ธันวาไม่สงสัยความสามารถท่านผู้เฒ่า

            หลังจากกระซิบบอกหลานชาย เผด็จก็นั่งนิ่ง ดวงตาแลตรงเบื้องหน้า ทอดสายตาอ่อนโยนไม่โฟกัสจุดใดเป็นพิเศษ เสียงพระสวดเป็นจังหวะช่วยเอื้อให้จิตเกิดความสงบตั้งมั่น

            ธันวารู้สึกเหมือนร่างกายปู่นั่งอยู่ตรงนี้ก็จริง จิตใจกลับเข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่ง ซึ่งดวงตามนุษย์ไม่อาจแลเห็น บรรยากาศรอบกายท่านผู้เฒ่าเหมือนแผ่ความอบอุ่น ชุ่มเย็นบางอย่างออกมา เป็นกระแสเมตตาที่คนเป็นหลานชายสัมผัสชัดเจน

            พอพระสวดจบ เผด็จค่อยขยับตัว สีหน้าละมุนอ่อนโยนลง ดวงตาทอกระแสเมตตา แผ่ส่วนบุญกุศล ความสุขออกไปกว้างขวาง

            ธันวาไม่เอ่ยถาม...ปู่ทำอะไร?

            ท่านผู้เฒ่าเหลือบมองหลานชายแล้วยิ้มนิด ๆ ไม่ปริปากบอก จากนั้นดำเนินตนตามขั้นตอนพิธีฌาปนกิจศพจนเสร็จสิ้น ร่างเสี่ยหมงถูกเผาเป็นเถ้า ควันลอยเป็นสายเหนือปล่องเมรุ



            เสร็จพิธี ดวงสุดาและร้อยกรองยังต้องเข้ากลุ่มพูดคุยปรึกษากับเหล่านักธุรกิจที่โดนหลอก เกี่ยวกับขั้นตอนฟ้องร้อง เรียกคืนเงินที่พวกตนเสียไป

            ธันวาพาคุณปู่มานั่งพักในห้องรับรองปรับอากาศในวัด ป้องกันคนภายนอกรบกวน พออยู่ตามลำพังสองคน ท่านผู้เฒ่าจึงเอ่ยปากถาม

            “หมวยมีนติดธุระอะไร ถึงไม่ได้มาด้วยกันล่ะ”

            “เขาต้องดูแลเด็กครับ” ธันวาตอบแค่นั้น

            เผด็จไม่ถามต่อ จุดประสงค์ที่เกริ่นแบบนี้ เพราะมีเรื่องอื่นอยากบอก

            “ถ้าหมวยมีนมา เสี่ยหมงมันคงได้ขอบคุณอีกครั้ง”

            “เขาจะไปเกิดใหม่แล้วหรือครับ” พอได้ยินอย่างนั้น ธันวาก็คิดเหมือนคนทั่วไป

            ...เมื่อดวงวิญญาณหมดภาระคาใจ ก็จะได้ไปเกิดใหม่ในที่ดี ๆ...

            “ยังหรอก” ผู้เฒ่าตอบยิ้ม ๆ “เขาแค่สบายใจขึ้น ความเป็นห่วงน้อยลง ไม่เหนียวแน่นจนใจเป็นทุกข์มากอย่างเดิม”

            “ผมคิดว่า นายมาโนชโดนจับ...ครอบครัวไม่โดนถล่ม เขาคงหมดห่วงไปเกิดใหม่แล้ว”

            เผด็จหัวเราะเบา ๆ

            “อย่าคิดอะไรง่าย ๆ อย่างนั้นสิ วัฏสงสารเป็นเรื่องน่ากลัวนะ ภพที่เสี่ยหมงอยู่ตอนนี้ ก็มีอายุขัยของมัน...ไม่ใช่ว่าหมดห่วง หมดภาระทางใจแล้วจะสุขสบาย ได้ไปเกิดใหม่ในภพดี ๆ ทันทีเมื่อไหร่ล่ะ”

            “ทำไมเขาถึงยังไปที่ดี ๆ ไม่ได้ล่ะครับ” ธันวาสงสัย

            “ถึงตอนมีชีวิตอยู่เขาจะไม่ใช่คนเลวร้าย ไม่เคยทำบาปกรรมชั่วช้าอะไร แต่ก็ไม่ใช่คนที่หนักแน่นในการให้ทาน รักษาศีล อย่างนี้จะมีอะไรมาช่วยยกระดับจิตให้ขึ้นสู่ภูมิที่สูงได้ล่ะ”

            “ที่ผมเห็นปู่นิ่งอยู่นาน แสดงว่าแผ่เมตตา แผ่ส่วนบุญให้เขาใช่มั้ย”

            “ก็มีส่วน...แต่ที่สำคัญกว่าคือปู่บอกเขาว่า แค่บุญกุศลที่ญาติพี่น้อง คนอื่นอุทิศมาให้ มันก็แค่พอกินชั่วครั้งชั่วคราว เดี๋ยวก็หิวอีก ที่เขาทำได้ตอนนี้คือตั้งใจรักษาศีล ยึดมั่นในพระรัตนตรัยเอาไว้ เมื่อกำลังของกุศลเพียงพอเขาก็จะได้ไปอยู่ภพที่ดีขึ้นเอง”

            ธันวาถอนใจอย่างแปร่งแปลก หวนนึกถึงตนเอง...เขายึดมั่นในศีลห้า หนักแน่นในการให้ทานหรือยัง?

            พอคิดได้ก็เงยหน้าสบตาปู่...คำที่ท่านสอนวิญญาณเสี่ยหมง แท้จริงแล้วมันช่วยกระตุกใจหลานชายให้คิดด้วย เขาเป็นมนุษย์ อยู่ในภพภูมิเหมาะสมขนาดนี้ ได้กระทำตนสมกับความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์หรือยัง...



            เผด็จรู้ว่าคำพูดตนสะกิดใจหลานชายแล้ว จึงไม่คิดจี้หรือตอกย้ำอีก คนอย่างธันวา บอกเพียงแค่หนึ่ง ก็สามารถเข้าใจได้ถึงร้อย

            “ที่จริงยังมีเรื่องสำคัญอีกอย่างที่เสี่ยหมงอยากให้หลานรู้...” ท่านผู้เฒ่ากล่าวอีกเรื่อง

            “ครับ” ธันวารอฟัง

            “เสี่ยหมงบอกว่า...นายมาโนชซ่อนหลักฐานความผิด ‘นายใหญ่’ ไว้หลายเรื่อง แต่ไม่รู้อยู่ที่ไหน เพราะในหัวมาโนชตอนนี้ มันปั่นป่วนสับสน ขนาดผีอย่างเสี่ยหมงยังล้วงความลับไม่ได้”

            “ผียังล้วงความลับไม่ได้ แล้วผมจะทำยังไง” ธันวาถาม...หากปู่พูดอย่างนี้ แสดงว่าต้องมีวิธีจัดการ

            “เท่าที่ปู่ ‘ดู’ นายมาโนชโดนยาสั่งบางอย่างทำให้เสียสติ” ผู้เฒ่าไม่บอกว่า ‘ดู’ ของท่านนั้นเป็นแบบไหน คนเป็นหลานชายย่อมไม่คิดสงสัย

            “ยาสั่ง...” ธันวาทวนคำ ในหัวเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ลาง ๆ

            “ปู่คิดว่า ถ้ามียาแก้...อาจช่วยให้มาโนชพอมีสติชั่วคราว บอกที่ซ่อนหลักฐานได้”

            “ชั่วคราว!” ธันวาทวนคำ “ไม่ได้รักษาให้หายเลยหรือ?”

            “น่าจะรักษาไม่ทันแล้ว” ดวงตาผู้เฒ่าหรี่เรียว คล้ายกำลังใช้ญาณพิเศษตรวจดูจากทางไกล “ปกติถ้าใครโดนยาแบบนี้ไม่เกินหนึ่งวัน อาจพอรักษาหายขาดได้...นี่มันผ่านมาสองสามวันแล้ว แค่ทำให้เขาพูดรู้เรื่องเกินครึ่งชั่วโมงก็น่าจะเป็นปาฏิหาริย์แล้ว”

            “ผมจะหายาแก้จากไหน?” ชายหนุ่มถามตรง ๆ

            เผด็จนิ่งอีกครู่ สูดลมหายใจยาวลึก ดวงตาฉายแววอ่อนแรง

            “ถ้าปู่ ‘ดู’ ไม่ผิด คนที่ใช้ยาสั่งตัวนี้ น่าจะเคยใช้กับเสี่ยหมงมาก่อน แต่มันมีส่วนผสม วิธีใช้แตกต่างกันหลายอย่าง ซึ่งปู่เองก็แยกแยะอธิบายไม่ถูก”

            พอได้ยินอย่างนี้ ธันวานึกถึงเรื่องที่ให้มีนาตามรอยยาสั่งสังหารเสี่ยหมง จำได้ว่าหล่อนเล่าให้ฟังคร่าว ๆ ว่ายาสั่งสังหารเสี่ยหมงชื่อ ‘ชาสั่งจิต’

            ตอนนั้นหญิงสาวไม่มีเวลาเล่ารายละเอียดลึกซึ้ง เพราะกำลังขับรถมาโรงพยาบาล พาส้มน้อยมาให้เขารักษา

            “ผมรู้แล้วว่า ควรถามเรื่องนี้จากใคร”

            ถ้ามีนารู้จัก ‘ชาสั่งจิต’ ที่สังหารเสี่ยหมง เธอก็น่าจะรู้ว่ายาแบบไหนที่ทำให้มาโนชเสียสติ...และคงไม่ยากนักสำหรับการหายาแก้

            เผด็จมองหน้าหลานชาย เข้าใจในสิ่งที่เขาครุ่นคิดไตร่ตรอง จึงพยักหน้ารับรู้ เอนหลังพิงเบาะเพื่อพักผ่อน สิ่งที่คนแก่พอช่วยได้ก็กระทำไปแล้ว ที่เหลือเป็นหน้าที่คนหนุ่มสาวต้องจัดการต่อเอง



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            มีนาอยู่หน้าประตูทางเข้าบ้านดาวัน

            เด็กผู้ชายคนหนึ่งยืนรออยู่ตรงหน้า หล่อนมองเห็นเขาชัดเจนถนัดตา

            “ปกป้อง!”

            เพียงเอ่ยวาจาเรียกขาน เด็กชายก็พยักหน้ารับ แล้วหันหลังเดินนำหน้าเข้าไปในเขตบ้านดาวัน

            มีนาเดินตามโดยไม่ไถ่ถาม ในใจรู้ว่าเด็กชายต้องการนำเธอไปพบใครบางคน

            เดิน เดิน เดินตามหลังเด็กชายเรื่อย ๆ ไม่ทันสังเกตรายละเอียดบริเวณรอบตัว ปกป้องพาเธอเดินลัดเลาะผ่านด้านหลังบ้านดาวัน ไปยังถนนเส้นเล็ก ๆ ภายใน จากนั้นภาพรอบตัวก็ดูเบลอ มองไม่ชัด

            จนกระทั่งเด็กชายหยุดเดิน หญิงสาวค่อยมองเห็นว่าเขาพามายังแปลงดอกไม้แถวยาว กำลังผลิดอกตูมสวยงาม ความทรงจำถูกทบทวนรวดเร็ว

            บ้านดาวันอยู่ในอาณาเขตมูลนิธิดาวัน ซึ่งทางด้านหลังจะมีการปลูกผัก ปลูกไม้ดอกเพื่อส่งไปขาย นำเงินมาใช้หมุนเวียนภายใน และให้เป็นค่าจ้าง ค่าตอบแทนคนงาน

            แปลงดอกไม้สวยนี้อยู่ไม่ห่างจากบ้านดาวัน ปลายสุดแปลงดอกไม้ปลูกต้นตะแบกใหญ่ ผลิดอกสีม่วงสวย

            มีนามองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นตะแบกนั้น

            ปกป้องเดินนำมีนาเข้าไปหาจนถึงใต้ต้นตะแบก

            “พี่ดอกแก้ว...” ปกป้องหันมาบอกเธอ

            “ดอกแก้ว” มีนาทบทวนชื่อนั้นเบา ๆ

            หญิงสาวคนนั้นเงยหน้าสบตามีนาตรง ๆ ดวงตาคู่นั้นฉายแววเศร้าโศก หดหู่จนน่าสงสาร

            “พี่ดอกแก้วอยู่ที่นี่...ช่วยพี่ดอกแก้วด้วย” เด็กชายพูดย้ำ

            “ช่วย...” มีนาพึมพำ “ช่วยผู้หญิงคนนี้...ดอกแก้ว”

            “ฉัน...” ดอกแก้ว...หญิงสาวนัยน์ตาเศร้าเอ่ยวาจาคำแรก “ฉัน...อยู่ใต้นี้...ช่วยด้วย!”

            คำว่า ‘ช่วยด้วย’ สะท้อนก้องในหัวมีนาซ้ำ ๆ ภาพตรงหน้าเลอะเลือน จืดจางทีละน้อยจนกลายเป็นความมืด...มืดลงเรื่อย ๆ



            มีนารู้สึกตัวกลางดึก หล่อนนอนหลับฟุบอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ในห้องนอน ส้มน้อยนอนหลับสนิทบนเตียง ไม่ดิ้น ไม่มีอาการฝันร้าย

            คนที่ฝันแปลกประหลาดน่าจะเป็นตัวเธอเอง

            หญิงสาวบิดตัวอย่างเมื่อยขบ มองดูคอมพิวเตอร์ที่กำลังพักหน้าจอ...พอกดเรียกมาดู ก็เปิดให้เห็นภาพบ้านดาวัน

            ...สงสัยจะมัวค้นข้อมูลบ้านดาวันมากเกินไปจนเก็บมาฝัน...หล่อนคิด

            แล้วก็มีคำตอบเองโดยไม่ต้องให้ผีเด็กชายปกป้องโผล่มายืนยัน...

            ไม่ใช่หรอก...ปกป้องพาเธอไปที่บ้านดาวันจริง ๆ เพื่อไปพบกับ ‘พี่ดอกแก้ว’

            มีนาเรียบเรียงรายชื่อผู้อยู่ต่างภพที่โผล่มาขอให้ช่วยเหลือ...เสี่ยหมง เด็กชายปกป้อง จนล่าสุด...ดอกแก้ว

            ไม่ต้องถามมีนาว่ารู้อย่างไร ดอกแก้วเสียชีวิตไปแล้ว...เพราะคนเจอผีบ่อย ๆ อย่างเธอคงอธิบายไม่ถูก

            พี่ดอกแก้วมีความลับอะไร เกี่ยวโยงกับบ้านดาวันแค่ไหน...เป็นเรื่องที่มีนาต้องตามหาคำตอบต่อไป



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP