วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
เร้น ๑๖
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
นายมาโนช...ประธานกลุ่ม W.คอร์ป เจ้าพ่อธุรกิจก่อสร้างอันดับหนึ่งของประเทศ ผู้มีเครือข่ายร่วมทุนกับธุรกิจยักษ์ใหญ่หลายแห่งทั่วโลก
ยายแก่ Light นั้นพูดถูก เขามีวันนี้เพราะ ‘คุณท่าน’ บิ๊กบอส หรือที่เขามักเรียกว่า ‘นายใหญ่’
นายมาโนชเคยเป็นนักธุรกิจถังแตกจากพิษเศรษฐกิจเมื่อยี่สิบปีก่อน เกือบกระโดดตึกฆ่าตัวตายแล้ว ถ้าบิ๊กบอสไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
บิ๊กบอส...เป็นผู้มีอิทธิพลที่ไม่เคยแสดงตัวให้ใครรู้ ท่านสามารถช่วยเหลือ หยิบยื่นโอกาส แนวคิด เงินทุน และความช่วยเหลือทางลับ ‘ทุกด้าน’ แก่เขา จนกระทั่งยี่สิบปีผ่านไป W.คอร์ป สามารถทะยานขึ้นเป็นอันดับหนึ่งอย่างมั่นคงเช่นนี้
ทว่า...หลายปีมานี้ เขาก็สร้างเม็ดเงินตอบแทนคืนให้บิ๊กบอสเป็นจำนวนมหาศาลเหมือนกัน ไม่นับการสนับสนุนธุรกิจผิดกฎหมายต่าง ๆ ให้กับ K-Killer และช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ L-Light แต่กลายเป็นว่า เขาคือเบี้ยล่าง คอยฟังคำสั่ง รับคำตำหนิจากคนที่ไม่ใช่นายใหญ่อย่างสองคนนี้
ถึงวันนี้ นายมาโนช Wolf หมาป่าอย่างเขาได้แอบวางแผนประกาศอิสรภาพอย่างลับ ๆ เพื่อก้าวพ้นออกจากเงามืดนายใหญ่เสียที
เริ่มต้นด้วยการแอบร่วมทุนกับบริษัทระดับบิ๊กในต่างประเทศ โดยใช้ชื่อคนอื่น ไม่ให้ทีมตรวจสอบของนายใหญ่สืบทราบได้ จากนั้นค่อยถ่ายโอนเม็ดเงินลงทุนผ่านตัวแทนลับ ๆ ไปยังประเทศที่นายใหญ่เอื้อมไม่ถึง
สุดท้ายค่อยวางยา W.คอร์ปทีละน้อย ให้เกิดรูรั่ว ปัญหา เพราะหุ้นส่วนรายใหญ่แท้จริงของที่นี่คือบิ๊กบอส ไม่ใช่เขาที่เป็นเพียงแค่หุ่นเชิด
อีกไม่นาน แผนการของหมาป่าตัวนี้จะสำเร็จ สามารถติดปีกทะยานผ่านกรงเล็บนายใหญ่ได้เสียที และไม่ต้องมาอดทนกับตาแก่ ยายแก่สองคนนั่นอีกต่อไป
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
ส้มน้อยตื่นขึ้นมาพบหญิงสาวที่ร่วมหลบซ่อนกับเธอนั่งอยู่ข้างเตียง ดวงตาอ่อนโยน เมตตา กุมมือน้อยเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ
เด็กหญิงสับสน งุนงงกับสภาพปัจจุบัน แต่ด้วยคำพูด คำอธิบายอ่อนโยนของผู้หญิงคนนั้น ‘แม่มีน’ ทำให้เธอผ่อนคลาย รู้สึกปลอดภัยขึ้น
‘แม่มีน’ ถามไถ่เกี่ยวกับเรื่องของส้มน้อยหลายอย่าง...ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน ทำไมถึงซ่อนในตึกร้างนั้น...
ส้มน้อยบอกแค่ชื่อตัวเอง ไม่กล้าพูดอะไรมากกว่านั้น เธอยังจำความฝันแม่นยำ...เพราะพี่ป้องหลุดวาจาสำคัญ จึงถูกทำร้าย ขู่เข็ญ จนต้องกระโดดน้ำ...และตายในที่สุด
ตอนสายคุณหมอหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่งเข้ามาคุยด้วย ใบหน้าเขาเคร่งขรึม ไม่มีรอยยิ้มอย่างผู้ใหญ่ ‘แสร้ง’ ใจดี
ส้มน้อยแสดงอาการหวาดกลัว ปิดกั้น ไม่กล้าพูดจา กระถดตัวหลบชิดหัวเตียงอย่างต้องการรักษาระยะห่าง หากไม่มีแม่มีนอยู่ใกล้ เธอคงกระโจนหนีนานแล้ว
คุณหมอมีวิธีพูดจาให้ผ่อนคลาย สบายใจ ฟังแล้วรู้สึกปลอดภัย จนข้างในใจเธอค่อยเชื่อมั่น วางใจ ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่กล้าบอกว่าบ้านอยู่ไหน...หนีใครมา...
เพราะหากบอกว่า ‘บ้าน’ อยู่ไหน เธอก็จะถูกส่งกลับไป ‘พี่ป้อง’ ปรากฏให้เห็นในฝัน มาเตือนว่าส้มน้อยยังกลับ ‘บ้าน’ ไม่ได้ มันอันตราย ส้มน้อยเข้าใจ ถ้ากลับบ้านตอนนี้จะถูกส่งไปโรงพยาบาลอีก...
...ส้มน้อยกลัว...ไม่อยากถูกส่งกลับไปโรงพยาบาลแห่งนั้นอีกแล้ว...
ชั่วระยะเวลาชั่วโมงกว่า คุณหมอรูปหล่อคนนั้นทำได้เพียงช่วยให้ส้มน้อยหมดความหวาดกลัว วางใจในตัวคุณหมอคนนี้ โดยไม่สามารถหาคำตอบใดเกี่ยวกับตัวเด็กหญิงได้เลย
คุณหมอไม่โกรธ ไม่คาดคั้น เซ้าซี้เอาคำตอบ หนำซ้ำยังลูบผมเธออย่างเอ็นดู ไออุ่น ความเมตตาซึมซาบเข้ามา ทำให้ส้มน้อยอยากเอ่ยปากเรียกเขาว่า ‘พ่อ’ อย่างที่เคยเรียกขานผู้ชายใจดีหลายคน ที่มักเอาขนม ของเล่นมาให้ที่บ้านเหมือนกัน
หลังรับประทานอาหาร แม่มีนถามส้มน้อยว่า
“ไปอยู่กับแม่มีนมั้ย?”
ส้มน้อยพยักหน้าอย่างไม่ลังเล แม่มีนยิ้มแล้วดึงตัวเธอไปกอด ส้มน้อยอุ่นใจ รู้สึกปลอดภัยที่สุดตั้งแต่ตนหลบหนีออกมา
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
มีนาเปิดประตูคอนโด เผยให้เห็นห้องขนาดกะทัดรัด ตกแต่งเรียบหรู ไม่มีของใช้เกินจำเป็น แบ่งเป็นสองห้องนอน ห้องรับแขก ครัว ระเบียง และห้องน้ำอย่างลงตัว
เด็กหญิงเดินตามเข้ามากึ่งกลัวกึ่งกล้า สายตามองรอบห้องด้วยความรู้สึกแปลก...จะว่าดีใจ ยินดีก็ไม่เต็มที่ จะว่ากลัวก็ไม่ใช่ เธอไม่กลัวมีนา หนำซ้ำเต็มใจตามมาอยู่ด้วยกัน แต่ไม่พร้อมเอ่ยปากพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องตนเอง
หลังจากอาบน้ำ จัดที่นอนให้ส้มน้อยพักผ่อนในห้องเรียบร้อย มีนาหยิบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กออกมานั่งทำงานที่ห้องรับแขก จิตใจฟุ้งซ่าน ไม่มีสมาธิต่องานตรงหน้า
เรื่องของส้มน้อยเป็นปัญหาคาใจ ไขไม่ออก
เด็กหญิงยอมรับ เรียกเธอว่า ‘แม่มีน’ แต่ไม่ยอมบอกเรื่องราวส่วนตัวใด ๆ ดวงตาคู่นั้นฉายแววหวาดกลัวเกินกว่าจะกล้าพูดถึง
ขนาดจิตแพทย์อย่างธันวาเข้าไปพูดคุย ทำความสนิทสนม ใช้ความรู้ที่มีพยายามไขเปิดประตูใจ ยังทำได้เพียงแค่ให้เด็กวางใจ ไม่สร้างกำแพงรักษาระยะห่าง
“เด็กยังไม่พร้อม” จิตแพทย์หนุ่มบอก “เขาน่าจะผ่านเรื่องราวน่ากลัวมาก ๆ ทำให้ปิดประตูใจแข็งแรงขนาดนี้ เราต้องให้เวลาเขาหน่อย เท่าที่เขายอมรับเธอกับฉันได้ ก็ถือว่าก้าวหน้าไปเยอะแล้ว”
เมื่อยังทำงานไม่ได้ หญิงสาวจึงเปิดอินเตอร์เน็ตดูข่าวทั่วไป จนสะดุดตาข่าวหนึ่ง
...เด็กจมน้ำตาย เสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ...
เด็กจมน้ำตายไม่ใช่เรื่องแปลก มันอาจเกิดจากอุบัติเหตุ แต่เด็กชายที่เสียชีวิต มีรอยฟกช้ำทั้งร่าง บาดแผลเต็มไปหมด ลักษณะเหมือนโดนทารุณกรรมก่อนจมน้ำเสียชีวิตเช่นนี้ มันไม่ใช่ธรรมดา
ภาพใบหน้าเด็กถูกเบลอเอาไว้ แต่รูปร่างผิวพรรณ เสื้อผ้าที่ใส่นั้นมีนาจดจำขึ้นใจว่าเป็นคนเดียวกับวิญญาณเด็กชายที่พาเธอไปหาส้มน้อย!
หญิงสาวรีบโทรศัพท์หาธงรบทันที
“ขอโทษที่โทรมารบกวนค่ะพี่ธง” มีนาเกริ่นขอโทษก่อน
“ไม่เป็นไร ตอนนี้พี่เอาลายนิ้วมือเด็กไปให้เขาตรวจสอบอย่างลับ ๆ แล้ว อีกสักชั่วโมงสองชั่วโมงคงได้ข้อมูลมาให้”
“ขอบคุณค่ะ แต่มีนยังมีอีกเรื่องอยากรบกวน”
“ว่ามาเลย”
หญิงสาวพูดถึงข่าวเด็กชายที่จมน้ำเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ บอกว่าเด็กคนนี้เกี่ยวข้องกับส้มน้อย อยากให้เขาช่วยหารายละเอียดเพิ่มเติมมาให้
“น่าจะได้นะ” ธงรบแบ่งรับแบ่งสู้ “ถ้ายังไงเย็นนี้พี่จะแวะเอาข้อมูลทั้งหมดไปให้ที่คอนโด”
“ขอบคุณค่ะ”
วางสายโทรศัพท์พร้อมถอนใจยาว นึกถึงการพูดคุยกับส้มน้อยตั้งแต่เช้า เด็กหญิงเงียบ เวลาพูดเรื่องส่วนตัว และไม่เอ่ยถามถึงใครเลย
เพราะอะไร...หากวิญญาณเด็กชายเป็นห่วงน้องน้อยขนาดนี้ เด็กหญิงต้องมีความผูกพันไม่แพ้กัน อย่างน้อยเมื่อลืมตาตื่นต้องถามถึงกันบ้าง
หรือว่า...การที่แม่หนูไม่เอ่ยถึง แสดงว่าล่วงรู้ชะตากรรมบุคคลนั้นแล้ว และกำลังหวาดกลัวอย่างยิ่ง หวาดกลัวจนไม่กล้าพูดถึง ไม่กล้าให้ใครตามหาเด็กชาย เพราะอาจทำให้ ‘ผู้ไล่ล่า’ ล่วงรู้ จนตามมาถึงตัวเธอได้
น่าแปลก...ตั้งแต่เช้าจนบัดนี้ มีนายังไม่เห็นภูตผี วิญญาณสักดวง
ไม่ใช่ว่าเธอเสียสติอยากเห็นผีขึ้นมา แต่บางทีการได้พบวิญญาณเด็กชายอีกครั้ง อาจได้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องราวของพวกเขาได้ อย่างน้อยก็รู้ว่าทั้งคู่เป็นใคร มาจากไหน กำลังหลบหนีผู้มีอิทธิพลด้วยสาเหตุใด
คนทั่วไปมักชอบคิดว่า...ตายเป็นผีแล้วจะมีอิทธิฤทธิ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการให้หวย หลอกหลอน หักคอผู้คน
ภูตผีที่มีนารู้จักไม่มีอิทธิฤทธิ์เก่งกล้าขนาดนั้น ปู่คงคาบอกหล่อนเสมอว่า ผีหักคอเธอไม่ได้ จะกลัวไปทำไม
‘ความกลัว’ ต่างหากที่สามารถทำร้ายตัวเธอ
การที่วิญญาณเด็กชาย หรือผีเสี่ยหมงไม่อาจปรากฏตัวได้อย่างใจต้องการ แสดงว่า พวกเขาไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์อำนาจ จนมนุษย์ต้องเกรงกลัวเกินจริงขนาดนั้น
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
ธงรบมาหามีนาที่คอนโดตอนเย็นพร้อมกับธันวา ประโยคแรกที่นายตำรวจบอกเธอคือ
“ส้มน้อยเป็นเด็กกำพร้า อยู่ที่บ้านดาวัน...แต่เธอตายไปแล้วเมื่อสองวันก่อน ทางบ้านเด็กกำพร้าได้แจ้งอำเภอ พร้อมออกใบมรณะบัตรเรียบร้อย”
บทที่ ๑๐
ที่โรงพยาบาล เวลาบ่าย
ธันวาตรวจดูแลคนไข้ในโรงพยาบาลเสร็จ กลับมานั่งสะสางงานต่อจนเรียบร้อย เตรียมตัวกลับคอนโดฯ ใจนึกเป็นห่วงมีนาที่ต้องรับมือดูแลเด็กหญิงคนเดียว
คุณหมอเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดกาวน์เป็นเสื้อยืด กางเกงยีนส์ ดูไม่คล้ายนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ แต่สะดวก คล่องตัวสำหรับการเดินทางขึ้นรถไฟฟ้า
ออกจากห้องแต่งตัว เดินผ่านห้องโถงที่คนป่วยรอรับบัตรคิวในตอนเช้า พบพยาบาลกำลังยืนคุยกับหญิงกลางคนดูคุ้นตา ลักษณะท่าทางเคร่งเครียด
“อุ๊ย...คุณหมอ” พยาบาลเงยหน้าอุทานขึ้น หญิงกลางคนนั้นเหลียวมองตาม
“คุณหมอ...” น้ำเสียงหญิงกลางคนบอกความยินดี โล่งใจ
“คุณคนนี้เขาอยากพบหมอค่ะ...ดิฉันบอกว่าหมดเวลาตรวจพบแพทย์แล้ว เขาก็ไม่ยอม” พยาบาลอธิบายกึ่งฟ้อง
“ไม่เป็นไร” ธันวาพูดพร้อมก้มศีรษะทักทายฝ่ายที่มารอ “สวัสดีครับ...คุณณีรนุช”
ณีรนุช พี่สาวเสี่ยหมงเคยถูกพามาพบธันวาเพื่อตรวจดูอาการทางจิต และยังให้ความร่วมมือช่วยเหลือจนนำโฉนดของคุณย่าร้อยกรองคืนมาได้
คุณหมอหนุ่มเลือกนั่งคุยตรงเก้าอี้รอคิวคนป่วย เนื่องจากเวลานี้ว่างผู้คน และตัวเขาเองไม่คิดสนทนายืดยาวนัก
“คุณหมอเจอหมงบ้างมั้ยคะ” ณีรนุชถามตั้งแต่ประโยคแรก
ธันวาลอบถอนใจ คราวก่อนเขาใช้เทคนิคพูดจาหว่านล้อม จนเธอยอมร่วมมือ แต่ทำให้เข้าใจผิด คิดว่าเขาสามารถติดต่อกับวิญญาณเสี่ยหมงได้จริง
“ไม่ครับ” ธันวาตอบ...ไม่อธิบายว่า คนที่เห็นผีเสี่ยหมงเป็นคนอื่น ไม่ใช่เขา
ณีรนุชแสดงสีหน้ากังวล อึดอัดใจ ก่อนระบายความอัดอั้นออกมา
“ตอนนี้ บริษัทหมงวุ่นวายใหญ่แล้ว...”
นั่นคือประโยคเริ่มต้น จากนั้นเรื่องราวก็พรั่งพรูตามมา...ซึ่งเป็นเรื่องไม่เกินคาดสำหรับธันวา
นักธุรกิจที่โดนหลอกให้ร่วมทุนกับโครงการเมืองใหม่ ต่างเดินหน้าเข้าแจ้งความ ฟ้องร้องเพื่อดำเนินคดีกับบริษัทเสี่ยหมง ตอนนี้คนที่รับหน้าเป็นเป้าความผิดคือภรรยาเสี่ยหมง ผู้เป็นกรรมการบริษัท
ขณะที่ ‘นนท์’ ทนายความและผู้ดูแลด้านกฎหมายทั้งหมด รวมถึงเป็นคนเก็บหนังสือสัญญาต่าง ๆ ไว้ก็เร้นกาย...หายตัว
“ตอนแรก เด็กที่สำนักงานทนายความบอกว่า ไอ้นนท์มันหายตัวไปวันกับคืนนึง พอกลับมามีท่าทางแปลก ๆ กลัวลาน เก็บตัวเงียบในห้องทำงาน จากนั้นก็เก็บข้าวของส่วนตัวหายไปอย่างไม่มีร่องรอย”
ณีรนุชพูดอย่างหนักใจ คนที่รู้เรื่องโครงการเมืองใหม่รองจากเสี่ยหมงคือนนท์ ทนายความ ไม่ใช่ภรรยาผู้เป็นกรรมการแต่ในนาม
พอเกิดเรื่องขึ้นมา คนรู้ดีกลับหนีเอาตัวรอด ส่วนกรรมการแต่ชื่อต้องรับเคราะห์เป็นจำเลยสังคม
“คุณณีรนุชจะให้ผมช่วยอะไรครับ” จิตแพทย์หนุ่มถาม
“อยากให้ถามหมงทีว่า...ใครเป็นตัวการ อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ เพราะเท่าที่ฉันดูมา รวมถึงข้อความสุดท้ายที่ส่งให้ ดิฉันว่าหมงมันทำเรื่องนี้คนเดียวไม่ได้ ต้องมีคนวางแผนหลอกใช้ สั่งการมันอีกที...ถ้ารู้ว่าคนนั้นเป็นใคร เมียมันจะได้พ้นเคราะห์ ไม่ต้องเป็นเป้าให้พวกเสียประโยชน์มันเล่นงาน”
ธันวาหนักใจแทน ถึงรู้ว่าเสี่ยหมงไม่ใช่นักธุรกิจซื่อสัตย์ตรงไปตรงมานัก แต่งานนี้เจ้าตัวก็เป็นเหยื่อ ถูกคนโยงโย วางแผนอยู่เบื้องหลังจริง ๆ
“เรื่องใครเป็นตัวการ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ตำรวจเถอะครับ”
ธันวาไม่บอกว่า คืนที่เขา ปู่ พ่อ และพ่อมีนาร่วมประชุมกัน พร้อมด้วยข้อมูลใหม่ที่เสี่ยหมงให้มา ทำให้รู้แล้วว่าใครเป็นตัวการ อีกทั้งนายตำรวจใหญ่เพื่อนรักทั้งสองต่างก็จับมือ เตรียมติดต่อประสานงานกับบางหน่วยงานเพื่อดำเนินการเอาผิดตัวการให้ได้อยู่แล้ว
“รอตำรวจสืบ มันจะช้าเกินไปน่ะสิ” สตรีกลางคนบอกอย่างไม่มั่นใจ
“อย่าเพิ่งดูถูกตำรวจสิครับ” คุณหมอพูดเสียงหนัก “พ่อผมก็เป็นตำรวจ...ผมเชื่อว่าตำรวจเขามีวิธีจัดการ ลากเอาตัวคนผิดมาลงโทษได้อย่างเร็วที่สุดแน่ ๆ”
“ถึงตอนนั้นเมียหมงมันคงจมดินไปแล้ว” ณีรนุชยังคงท้อใจ
“ผมว่า...เรื่องบริษัทน่ะ ถ้าภรรยาเสี่ยหมงประกาศตัวยอมร่วมมือกับตำรวจ ยินดีให้มาเก็บหลักฐานทั้งหมด เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ คืน ‘หลักประกัน’ ให้พวกนักธุรกิจนั้นไป อย่างที่คุณยอมคืนโฉนดให้ย่าผม แสดงให้เห็นว่าตัวเองก็เป็นเหยื่อเหมือนกัน ผมว่าผู้เสียหายคนอื่นน่าจะเข้าใจได้”
ณีรนุชถอนใจเฮือกใหญ่
“ไม่รู้ว่าไอ้นนท์มันแอบเอา ‘หลักประกัน’ ของพวกนักธุรกิจคนอื่นไปด้วยหรือเปล่า แต่จริง ๆ แล้วทุกคนอยากได้เงินคืนด้วย จำนวนมันไม่ใช่น้อยเลย...ดิฉันว่า...ผู้เสียหายคนอื่นคงไม่พูดง่ายเหมือนย่าคุณหมอหรอก”
ดวงตาธันวาฉายแววเห็นใจ
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ในฐานะที่ย่าผมเป็นผู้เสียหายในคดีนี้ด้วยเหมือนกัน ตอนนี้ผมว่าแม่คงเป็นตัวแทนย่าเข้าไปแจ้งความแล้ว...ถ้าให้แม่ผมเป็นตัวแทนย่า ไปคุยกับผู้เสียหายคนอื่นขอให้เขาใจเย็น อธิบายสถานการณ์จริงของภรรยาเสี่ยหมงให้ทุกคนรู้...อาจพอช่วยได้บ้าง”
สีหน้าณีรนุชดีขึ้น ผ่อนคลายความตึงเครียดลง...เธอรู้ดีว่า ดวงสุดา ลูกสะใภ้คุณนายร้อยกรองเป็นคนอ่อนหวาน พูดจาไพเราะ จิตใจดี กว้างขวางเป็นที่รักของคนทั้งเมือง หากให้ดวงสุดา...สะใภ้ผู้มีอิทธิพล ซึ่งตกอยู่ในฐานะผู้เสียหายเหมือนกัน เป็นคนอธิบาย ทำความเข้าใจกับผู้เสียหายคนอื่น ย่อมสามารถบรรเทาอารมณ์ร้อนแรง กรุ่นโกรธของผู้คนให้เบาบางลงได้
“ถ้าได้อย่างนั้น ดิฉันต้องขอบคุณ...คุณหมอจริง ๆ ค่ะ” ณีรนุชเกือบยกมือไหว้ผู้อาวุโสน้อยกว่า ถ้าชายหนุ่มไม่รีบยกมือกันไว้ก่อน
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมโทรบอกแม่ให้...แล้วคุณณีรนุชพาภรรยาเสี่ยหมงไปคุยกับท่านได้เลย...พูด ‘ความจริง’ ทั้งหมดที่รู้ให้ท่านทราบ...ถ้าพวกคุณจริงใจ ท่านก็เต็มใจช่วยครับ”
ลงว่าหลานชายผู้มีอิทธิพลออกปากขนาดนั้นแล้ว ณีรนุชก็คลายใจ กลับไปอย่างโล่งอก
ธันวาโทรไปหามารดา สรุปเรื่องราวให้ฟังสั้น ๆ ดวงสุดาไม่ซักไซ้ลูกชาย เพราะตนก็รับรู้ข่าวสารจากที่นี่มามากเหมือนกัน พร้อมเอ่ยปากรับคำจะช่วยเหลือ ถ้าฝ่ายนั้นจริงใจ ไม่วางแผนหลอกลวงอีก
สิ่งหนึ่งที่จิตแพทย์หนุ่มไม่ได้บอกณีรนุชนั่นคือ ทางตำรวจรู้ตัวคนที่อยู่เบื้องหลังเสี่ยหมงแล้ว การที่ผู้เสียหายแห่กันมาแจ้งความดำเนินคดี เป็นแค่ขั้นตอนแรกในแผนจัดการวายร้ายตัวใหญ่เท่านั้น หลังจากมีจำนวนผู้เสียหายมากพอ รวมกับหลักฐานจากการสอบปากคำ เอกสารที่เสี่ยหมงให้มา และข้อมูลในแฟลชไดร์ฟภูริช เชื่อว่าคงจัดการเอาผิดนายมาโนชไม่ยาก
บางที...ชวนให้นึกสงสัย การที่วิญญาณเสี่ยหมงมาขอความช่วยเหลือจากมีนา...นั่นเป็นแค่ความบังเอิญที่หญิงสาวมีจิตสื่อวิญญาณ หรือผีตนนั้นรู้ว่าผู้หญิงคนนี้มีผู้อยู่เบื้องหลัง ซึ่ง ‘มือแข็งพอ’ ที่จะคว่ำนักธุรกิจใหญ่ผู้มีอิทธิพลขนาดนั้นได้
ธันวาเป็นจิตแพทย์ หน้าที่คือเยียวยา รักษาจิตใจผู้คน ส่วนการสืบสวน จับกุม ดำเนินคดีเป็นหน้าที่ตำรวจ ซึ่งทั้งพ่อเขา พ่อมีนาต่างรับปากกันในที่ประชุมแล้วว่า จะร่วมมือกัน ทำทุกวิถีทางที่จะเรียกร้องความเป็นธรรมแก่ผู้เสียหายให้ได้...มันจะเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของสองนายตำรวจระดับบิ๊ก ก่อนจะเกษียณอายุราชการ
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
ออกจากโรงพยาบาล ขึ้นรถไฟฟ้ามาลงสถานีใกล้คอนโดตนเอง แวะห้างสรรพสินค้าซื้อเสื้อผ้าเด็กสามสี่ชุด เพราะรู้ว่ามีนาน่าจะยังผวา ไม่กล้าพาส้มน้อยออกมาช้อปปิ้งตอนนี้แน่นอน
ขณะกำลังจะเข้าคอนโด พบรองผู้กำกับธงรบเดินตามมาพอดี
“สวัสดีครับพี่ธง” คุณหมอหนุ่มทักทาย
“คุณธัน...เพิ่งมาถึงเหมือนกันหรือ” ธงรบมีสีหน้าเคร่งเครียดหนักใจ
“ทำหน้าอย่างนี้แสดงว่า...ได้ข้อมูลทั้งหมดที่พวกผมขอแล้วใช่มั้ยครับ” จิตแพทย์หนุ่มดักคอ
นายตำรวจพยักหน้ารับอย่างไม่แปลกใจ
“อือ...ยิ่งขุดลึกยิ่งมีเรื่องน่าแปลกใจ เรื่องชวนเครียดเยอะเลยคุณธัน”
“งั้นขึ้นไปคุยที่ห้องมีนาดีกว่าครับ เด็กน่าจะยังหลับอยู่”
ธันวาจำได้ว่า อาการไข้ส้มน้อยยังไม่หายขาด ตนเองจึงสั่งยาให้อีกสองเวลาคือช่วงบ่ายกับเย็น ตอนนี้มีนาน่าจะให้เด็กรับประทานยาแล้วนอนพักผ่อน รอให้เขามาตรวจอีกครั้งว่าเด็กหายไข้จนควรหยุดยาได้หรือยัง
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
“ส้มน้อยเป็นเด็กกำพร้า อยู่ที่บ้านดาวัน...แต่เธอตายไปแล้วเมื่อสองวันก่อน ทางบ้านเด็กกำพร้าได้แจ้งอำเภอ พร้อมออกใบมรณะบัตรเรียบร้อย”
นี่แค่ประโยคแรกที่ธงรบบอกมีนา ประโยคที่ตามมาคือ...
“เด็กผู้ชายที่เสียชีวิตชื่อปกป้อง...หลักฐานจากบัตรประชาชนบอกว่าเป็นเด็กบ้านดาวันเหมือนกัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ของบ้านนั้นได้ออกมายืนยัน ยอมรับแล้วว่าเป็นเด็กในปกครองจริง แต่เด็กคนนี้นิสัยเกเร ไม่อยู่ในระเบียบ ไม่เชื่อฟังเจ้าหน้าที่ พี่เลี้ยง เมื่อสองวันก่อนทะเลาะกับพี่เลี้ยงแล้วหนีออกจากบ้านมา...ทางตำรวจคาดว่าเด็กคงหนีมาจากบ้านดาวัน แล้วเกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกับนักเลงเจ้าถิ่นจนจมน้ำเสียชีวิต”
ที่สร้างความประหลาดใจสุดคือรายสุดท้าย
“เมวดี...ผู้หญิงที่น้องมีนาให้พี่สืบ เธออายุยี่สิบแปดปี เช่าอพาตเม้นท์อยู่คนเดียว ทำอาชีพรับจ้าง เป็นแม่บ้านทั่วไป...และ...เคยเป็นเด็กกำพร้าที่บ้านดาวันมาก่อนเหมือนกัน!”
คนทั้งสาม...เด็กผู้หญิงอายุประมาณแปดขวบ เด็กผู้ชายวัยรุ่นตัวโตอายุประมาณสิบสามสิบสี่ และหญิงสาววัยยี่สิบแปดปี...ต่างเพศ ต่างวัย แต่มาจากสถานที่เดียวกัน... ‘บ้านดาวัน’
“รู้จักบ้านดาวันมั้ย” ธันวาถามหญิงสาว
“เคยไปถ่ายทำสกู๊ปครั้งนึง นานแล้ว” มีนาตอบ
ตอนนั้นหญิงสาวและทีมงานไปทำสกู๊ปออกอากาศเพื่อช่วยประชาสัมพันธ์ หาทุนสนับสนุน ให้ผู้คนรู้จัก และร่วมทำบุญกับบ้านเด็กกำพร้านี้
“ทำไมสามคนนี้ถึงเกี่ยวข้องกับบ้านดาวัน” ธงรบตั้งประเด็นและมองคู่สนทนาทั้งสอง
“แล้วทำไมถึงแจ้งว่าส้มน้อยเสียชีวิต” มีนาสงสัยเรื่องนี้มากที่สุด
สองคำถามไม่มีใครตอบได้ ธันวาจึงตั้งอีกคำถามให้มีนา
“ตอนที่ไปทำสกู๊ปบ้านดาวัน มีอะไรน่าสงสัยมั้ย”
“ไม่มีหรอก” มีนาตอบ “ที่นั่นอบอุ่น น่ารัก ทุกคนเป็นมิตร เด็ก ๆ ได้รับการอบรม ฝึกฝนอย่างดี”
โปรดิวเซอร์สาวพูดอย่างนั้น สองหนุ่มเริ่มมองหน้ากันอย่างนึกสงสัย...ถ้ามีรายการทีวีมาถ่ายทำเพื่อประชาสัมพันธ์ ไม่มีสถานที่ไหนยอมเปิดเผยมุมแย่ ด้านมืดของตนเองแน่
...วี้ด...เสียงหวีดร้องดังจากห้องนอนส้มน้อย นายตำรวจกับจิตแพทย์ลุกพรวด แต่ยังช้ากว่าหญิงสาวเจ้าของห้องที่พุ่งตัวถึงประตู พร้อมเปิดเข้าไปดูด้วยความเป็นห่วง
ภายในห้องสลัวรางด้วยแสงโพล้เพล้ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง เด็กหญิงลุกขึ้นนั่งบนเตียงหน้าตาตื่น น้ำตาไหลอาบแก้ม
มีนากดสวิตช์เปิดไฟสว่าง ทรุดนั่งบนเตียง มือโอบกอดเด็กหญิงอย่างอ่อนโยน
“เป็นอะไรจ๊ะส้มน้อย...ไม่ต้องกลัวนะ...แม่มีนอยู่นี่แล้ว ทำใจดี ๆ ไว้”
เด็กหญิงซุกร่างเข้าอ้อมอกอุ่น น้ำตาไหลพรากโดยไม่พูดอะไร ธันวากับธงรบยืนมองจากตรงหน้าประตู รู้สึกว่าพวกตนเป็นส่วนเกิน ไม่ควรเข้าไป จึงงับประตูแล้วเลี่ยงออกมานั่งที่ห้องรับแขกตามเดิม
ทั้งสองไม่อาจรู้ว่า หลังจากพวกตนช่วยงับประตู เดินจากมา หญิงสาวเจ้าของห้องเกือบสะดุ้ง ส่งเสียงร้องกรี๊ดตามส้มน้อยไปแล้ว
เพราะที่ปลายเตียงนั้น ดวงวิญญาณเด็กชายปกป้องกำลังยืนอยู่ มองมาด้วยแววตาเป็นห่วง กังวล
เมื่อตอนกลางวันมีนาแอบนึกในใจ ขอให้มีผีสักตนโผล่มาหา ตนเองจะได้ซักถามปัญหาข้อข้องใจทั้งหลาย...คิดไม่ถึง เพียงแค่โพล้เพล้ไม่ถึงพลบค่ำ วิญญาณตนหนึ่งก็มาปรากฏกาย แต่จะสามารถสื่อสารกันได้หรือไม่...
‘คนเห็นผี’ อย่างเธอไม่แน่ใจ
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
< Prev | Next > |
---|