วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
เร้น ๑๔
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
โรงพยาบาล เวลาค่ำ
มีนานำรถมาจอดใกล้ทางเข้าห้องฉุกเฉิน เด็กหญิงในรถยังไม่ได้สติ ร่างกายร้อนผ่าว ไข้ขึ้นสูง มีเสียงเพ้อ ละเมอฟังไม่ได้สรรพ
พอรถจอดสนิท นายแพทย์เวรมายืนรอรับข้างประตู
“เด็กเป็นยังไงบ้าง” ธันวาถาม
“ยังไม่ได้สติ ตัวร้อนมาก มีเพ้อด้วย” มีนาสรุปสั้นที่สุด
คุณหมอเปิดประตู อุ้มเด็กหญิงออกมาเอง หญิงสาวรีบลงจากรถ ปิดประตู มองชายหนุ่มด้วยแววตากังวล เป็นห่วงเด็กในอ้อมแขนเขา
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะดูแลเอง” คำพูดนั้นทำให้คลายใจ
เด็กหญิงถูกพาตัวเข้าห้องฉุกเฉินแล้ว มีนานั่งรอด้านนอก ประสานมือพยายามใจเย็น หล่อนทำทุกอย่างเต็มที่ ดีที่สุดในชั่วโมงนี้แล้ว
เริ่มตั้งแต่พาส้มน้อยออกจากตึก ลัดเลาะกลับมายังที่จอดรถโดยไม่เป็นที่สะดุดตา ไม่มีวิญญาณเด็กชายนำทางอย่างตอนแรก...อาจเป็นได้ที่เจ้าตัวใช้พลังงานในการช่วยบดบังพวกเธอจนอ่อนแรง ไม่สามารถปรากฏกายให้เห็นได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
พอขึ้นรถกำลังจะพาเด็กหญิงไปโรงพยาบาล นึกขึ้นได้ว่า...ถ้าคนกลุ่มนั้นมีสายในพวกตำรวจ ก็คงไม่ยากที่จะวางคนซุ่มดู ตรวจสอบตามโรงพยาบาลต่าง ๆ
เวลานี้...ใครพอจะไว้ใจช่วยเหลือได้
‘ธันวา’ เป็นชื่อแรกที่นึกถึง...คนเป็นจิตแพทย์ ก็ต้องผ่านหลักสูตรแพทย์ศาสตร์หกปี เหมือนคุณหมอทั่วไป ฉะนั้นการรักษาดูแลเด็กป่วย ไข้ขึ้นสูงจึงไม่น่าเกินกำลัง
หญิงสาวขับรถออกจากคลินิกงามพิศ มุ่งหน้าไปคอนโดฯตนเอง ระหว่างทางโทรศัพท์หาชายหนุ่มโดยไม่นึกถึงเรื่องการเสียฟอร์มใด ๆ
“หมอธัน...อยู่ที่คอนโดฯหรือเปล่า?” ลงทุนเรียกอย่างให้เกียรติ โดยไม่มีน้ำเสียงประชดประชันเช่นนี้ แสดงว่ายอมลงให้อย่างยิ่ง
“ฉันอยู่โรงพยาบาล เข้าเวร” คุณหมอหนุ่มตอบ
มีนาค่อยนึกได้...ช่วงไหนโรงพยาบาลขาดแพทย์เวร ก็จะจัดให้จิตแพทย์มาลงเวรด้วย เพื่อแก้ปัญหาแพทย์เวรไม่พอ
ความคิดจะพาส้มน้อยไปให้ธันวารักษาเริ่มคลอนแคลน ไม่แน่ใจ หากพาเด็กหญิงมอมแมมไปโรงพยาบาล ย่อมเป็นที่สังเกตง่ายดาย เสี่ยงอันตรายเกินไป
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” จิตแพทย์หนุ่มสังเกตความผิดปกติจากอาการนิ่งงันนั้น
“มี...” หญิงสาวตอบตรง ๆ ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทาง ขับรถไปโรงพยาบาลแทนคอนโดมิเนียมตนเอง
“ฉันมีเรื่องให้ช่วย...สำคัญมาก”
ระหว่างทางจากคลินิกงามพิศไปโรงพยาบาล มีนาเล่าประสบการณ์ของตนตั้งแต่ตามข้อมูลชาสั่งจิต ไปถึงเรื่องความฝันเสมือนจริงเมื่อคืน กระทั่งมาคลินิกงามพิศ ได้ไปช่วยเด็กหญิงส้มน้อยออกมาจากที่ซ่อน
ธันวารับฟังโดยไม่ขัด ยกเว้นเอ่ยถามรายละเอียดบางช่วงที่ไม่ชัดเจน สุดท้ายเขาบอกง่าย ๆ
“เข้าใจแล้ว...พามาโรงพยาบาลนี่แหละ เรื่องที่เหลือฉันจัดการต่อเอง”
ได้ยินคำพูดนี้ค่อยโล่งใจ เหมือนแบ่งภาระหนักออกไปให้ชายหนุ่มช่วยแบกเกินครึ่ง
ธันวาเข้าไปในห้องฉุกเฉินนานร่วมชั่วโมง มีนาไม่ขยับตัวไปไหน ร่างกายจิตใจอ่อนเพลียเต็มทน จนอยากพักผ่อน แต่พยายามฝืนลืมตาเพื่อรอฟังข่าวอาการส้มน้อย สุดท้ายร่างกายไม่อาจทนทานไหวจึงค่อย ๆ ปิดสวิตซ์ลงไปช้า ๆ
โปรดิวเซอร์สาวเคลิ้มหลับตอนไหนไม่ทราบ รู้สึกตัวอีกทีพบว่าตนเองกำลังซบพิงไหล่คุณหมอหนุ่มอย่างผ่อนคลาย สบายใจ
“ขอโทษ” มีนารีบขยับตัว พูดอุบอิบ “ฉันเผลอหลับไปทำไมไม่เรียกล่ะ”
“เรื่องเด็กน่ะ ไม่ต้องห่วงอาการดีขึ้นแล้ว...” ธันวาพูดอีกเรื่อง เบี่ยงประเด็นไม่ให้หญิงสาวขัดเขิน
“ส้มน้อยเป็นยังไงบ้าง” หญิงสาวถามอย่างใส่ใจ
“ไข้ลดลง อุณหภูมิเกือบปกติ ดูเหมือนขาดอาหารไม่ได้กินอะไรมาเป็นวัน ๆ ฉันเลยให้น้ำเกลือไปแล้ว” ธันวาตอบ พอเห็นมีนายังอยากรู้อีกจึงอธิบายเพิ่ม “ฉันส่งไปพักในห้องพิเศษ ไม่มีคนเห็นแล้ว ถ้าคืนนี้ไม่มีอะไรแทรกซ้อน พรุ่งนี้เช้าน่าจะตื่นมาคุยกับเราได้”
มีนาถอนใจโล่งอก
“ขอบใจมาก”
“อ้อ...” ชายหนุ่มยังไม่หมดเรื่องที่จะพูด “ฉันโทรบอกพ่อเรื่องนี้แล้วนะ”
“อ้าว...ได้ไง ฉันบอกแล้วว่ามันมีสายอยู่ในพวกตำรวจ”‘พฤกษ์’ พ่อธันวาเป็นนายตำรวจใหญ่ หญิงสาวกลัวว่าถ้าเรื่องนี้ถึงตำรวจ คนพวกนั้นจะสามารถย้อนรอยกลับมาตามหาส้มน้อยได้
“ฉันเชื่อใจพ่อ” ธันวาพูดแบบนี้มีนาละอายใจขึ้นมา
ไม่ใช่ว่าหญิงสาวไม่เชื่อใจพ่อธันวา หรือพ่อของเธอ แต่การผ่านประสบการณ์อันตรายขนาดนั้น ได้ยินคำพูดอวดโอ่อิทธิพลเจ้านายพวกมัน ทำให้เป็นห่วง กลัวเกิดช่องโหว่ผิดพลาด อาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามสืบหา ตามรอยเด็กหญิงจนเจอได้
“อือ...แล้วพ่อพฤกษ์ว่ายังไง” หญิงสาวยอมรับความเห็นของเขา
“พ่อบอกว่าจะส่งพี่ธงรบมาคุย ให้คำแนะนำ ช่วยเหลือ...อีกสักพักคงมาถึง”
รองผู้กำกับธงรบ เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งของพฤกษ์ อีกทั้งยังสนิทสนม คุ้นเคยกับครอบครัวธันวา มีนาอย่างดี
“ก็ดี...เอาอย่างนั้นก็ได้” มีนาเหนื่อยเกินกว่าจะคัดค้านอะไร
ธันวาก้มมองหญิงสาวด้วยแววตาอ่อนโยน เป็นห่วง ก่อนเอ่ยปากชวนเธอคุย
“ไหนเธอลองเล่าทบทวนเรื่องที่ได้ยินคนพวกนั้นคุยให้ฟังอีกทีสิ เผื่อจะมีอะไรน่าสนใจ พอจะสืบค้นได้ว่าเด็กส้มน้อยของเธอเป็นใคร มาจากไหน ทำไมโดนตามล่าแบบนี้”
หญิงสาวไม่ขัด สงบใจทบทวนความจำ แล้วค่อยเล่าเรื่องที่ได้ยินจากกลุ่มคนตามจับส้มน้อยอีกครั้ง โดยไม่ยอมให้พลาดรายละเอียดเล็กน้อยใดเลย
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
...แม่...
ส้มน้อยเคยฝันว่าจะได้ซุกตัวนอนอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นของแม่ เป็นอ้อมอกที่เธอไม่ต้องร้องขอ ไม่ต้องรอให้แม่ว่างจากดูแลพี่น้องคนอื่น
‘บ้าน’ ของส้มน้อย สอนให้เรียกผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่ว่า ‘แม่’ และเรียกผู้ชายทุกคนที่มาเยี่ยมเยียน เอาขนมมาฝาก เอาของเล่นมาให้ว่า ‘พ่อ’
‘พ่อแม่’ แบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่ส้มน้อยต้องการ อ้อมกอดพวกเขาไม่มีไออุ่นอย่างเธอโหยหา กิริยาแสดงความรัก ใส่ใจไม่อาจแตะถึงหัวใจเธอ
จนกระทั่งส้มน้อยได้เจอผู้หญิงแปลกหน้า ซึ่งเธอควรเรียกว่า ‘แม่’ เปิดประตูที่ซ่อนเข้ามาหา แล้วผู้หญิงคนนั้นก็หลบเข้ามาซ่อนที่เดียวกับเธอ
ขณะกลุ่มผู้ชายน่ากลัวเข้ามาในห้อง ส้มน้อยหวาดผวาแทบสิ้นสติ กลัวพวกเขาจะมาลากเธอจากที่ซ่อน แล้วพาไปยังสถานที่ชวนสยดสยองแห่งนั้นอีก
‘แม่’ ที่ซ่อนด้วยกันรับรู้ความหวาดกลัวของเธอ จึงกางแขนโอบกอดปกป้อง ถ่ายทอดไออุ่น ปลอบประโลมอย่างที่ส้มน้อยใฝ่ฝัน
แม่คนนี้ไม่พูดจาอะไรเลย...ไม่บอกว่าส้มน้อยน่ารัก น่าสงสารเหมือนแม่คนอื่น แต่อ้อมกอดแม่คนนี้อบอุ่นเหลือเกิน ความรู้สึกห่วงใย อาทร ต้องการปกป้องสัมผัสใจส้มน้อยชัดเจน
ชัดเจนจนส้มน้อยคลายใจ รู้สึกปลอดภัย ร่างกายจิตใจที่พยายามฝืนพยุงให้เข้มแข็งมาตลอดก็หมดเรี่ยวแรง ปล่อยให้ความอ่อนล้า ง่วงงุนครอบงำ ปล่อยให้อาการป่วยไข้ที่แฝงในร่าง จากการต้องหลบหนี ซ่อนตัวในที่อับชื้นทั้งวันทั้งคืนได้แสดงตัวเต็มที่
ส้มน้อยผล็อยหลับ หมดสติด้วยความอ่อนล้า ป่วยไข้...แล้วเธอก็ฝัน...ฝันถึงชีวิตใน ‘บ้าน’ ที่มีพี่น้องมากมาย ทุกอย่างต้องแบ่งปัน ข้าวของ เครื่องใช้ อาหาร...กระทั่งความรัก ความอบอุ่น
‘พี่ป้อง’ เป็นเด็กผู้ชายตัวโตอยู่อีกบ้านห่างกันแค่รั้วกั้น ด้วยความที่เขาเป็นเด็กแข็งแรง ไม่ค่อยฉลาด ไม่มีพิษมีภัย ว่าง่าย ใช้งานคล่อง จึงมักมาทำงานช่วยแม่ในบ้านส้มน้อยบ่อย ๆ
ส้มน้อยเป็นเด็กตัวเล็ก อ่อนแอ ถูกพี่น้องเอาเปรียบ กลั่นแกล้งเสมอ พอพี่ป้องเห็นก็จะคอยช่วยเหลือ ปกป้อง คุ้มครอง จนโดนพวกพี่น้องนิสัยไม่ดีล้อเลียนบ่อย ๆ
ภาพความฝันส้มน้อยเปลี่ยนไป...จากบ้านมาเป็นโรงพยาบาล...
พี่ป้องกำลังพาส้มน้อยหนีจากโรงพยาบาล สถานที่น่ากลัว...พวกผู้ชายใจร้ายวิ่งตามไล่ล่า ทุกอย่างมันรวดเร็ว ชวนตื่นเต้นหวาดเสียว จนกระทั่งเข้ามาหลบในช่องลับตึกแห่งนี้
ประตูบานเล็กปิดลง พี่ป้องบอกว่าจะไปพาคนมาช่วย ส้มน้อยรู้สึกเหมือนตนเองสามารถติดตาม มองเห็นพี่ชายตัวโตได้ตลอดเวลา
พี่ป้องลอบออกจากตึกอย่างปลอดภัย ผู้ชายน่ากลัวมองเห็นหลังเขาไว ๆ จึงเรียกพรรคพวกให้วิ่งตามกระชั้นชิด
ในซอยมืด คดเคี้ยว เด็กชายตัวโตวิ่ง วิ่ง วิ่ง ไม่รู้ทิศทาง พยายามไปให้ถึงริมถนน หาตู้โทรศัพท์เพื่อโทรบอกข่าว
และขอความช่วยเหลือจาก ‘บางคน’ สังเกตแสงสว่างตามเสาไฟไปเรื่อย ๆ กระทั่งออกไปถึงถนนสายที่ตนไม่รู้จัก
ที่จริงเขามีโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่ง แต่มันตกหายตอนไหนไม่รู้...
เด็กชายหาตู้โทรศัพท์บริเวณนั้นไม่พบ เจอแต่ผู้ชายคนหนึ่งสวมเสื้อยืดคอกลมสีขาว มีตราคล้ายตำรวจ สวมกางเกงสีกากีอย่างในทีวี จึงเดินเข้าไปหาเอ่ยปากขอยืมโทรศัพท์อย่างกลัว ๆ กล้า ๆ
ชายคนนั้นมองมาด้วยแววตาแปลก ถามว่าจะโทรหาใคร...พี่ป้องโกหกว่าจะโทรหาตำรวจ...ผู้ชายคนนั้นบอกว่าตัวเองเป็นตำรวจมีเรื่องอะไรให้ช่วย
พี่ป้องอ้ำอึ้งชั่วครู่ ผู้ชายคนนั้นก็มีวิธีล่อหลอกให้หลุดปากเรื่องส้มน้อยซ่อนในตึกร้างจนได้
ผู้ชายที่บอกว่าเป็นตำรวจเสนอตัวช่วยเหลือ ให้พี่ป้องพาไปยังตึกร้าง ระหว่างทางพบกลุ่มผู้ชายที่ตามล่า...พี่ป้องหลบหลังผู้ชายคนนั้น คิดว่าตำรวจต้องสามารถขับไล่คนร้ายได้ กลับกลายเป็นว่า...เขาเป็นพวกเดียวกัน
พี่ป้องพยายามวิ่งหนี แต่ไม่รอด ถูกจับมาเค้นถามที่ซ่อนส้มน้อยในตึก พอพี่ป้องไม่ตอบก็โดนพวกมันรุมซ้อมไม่ปราณี ลากตัวถูกลู่ถูกังไปยังตึกร้าง
ถึงอย่างนั้นพี่ป้องก็หาจังหวะหนีได้สำเร็จ กระโจนหลบหายในความมืด ซอกซอนลัดเลี้ยวไม่รู้ทิศทาง กระทั่งพาร่างอิดโรย สะบักสะบอมไปถึงสะพานข้ามคลองแห่งหนึ่ง
คนร้ายตามทัน มันย่างสามขุมเข้ามาอย่างมีชัย ตั้งใจลากคอเด็กชายกลับไปยังตึกร้าง แล้วทรมานให้กรีดร้อง...เรียกเด็กหญิงออกมาจากที่ซ่อนให้ได้
เมื่อไม่มีทางหนีอื่น พี่ป้องจึงกระโดดลงสะพาน คิดว่ามันจะเหมือนในหนัง สามารถทำให้รอดชีวิต
ด้วยความมืดและใกล้ชุมชน คนร้ายนั้นไม่มีเวลาค้นหาร่างเด็กชายนานนัก จึงวกกลับไปสมทบกับแก๊งที่ตึกร้าง บอกว่า...เก็บ...สังหาร...ตัวปัญหาเรียบร้อยแล้ว จากนั้นระดมกำลังค้นหาในตึกอีกรอบ
ส้มน้อยยืนอยู่บนสะพาน มองน้ำในลำคลองหัวใจวังเวงวิบวับ...อ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกเหมือนสูญเสียคนสำคัญยิ่งในชีวิต...เด็กหญิงเข้าใจชัดเจนขณะนั้นเลยว่า...พี่ป้องตายแล้ว!
...แต่...เขาสามารถมายืนตรงหน้าเด็กน้อย...ในสภาพดวงวิญญาณ
“ส้มน้อย...พี่พาคนมาช่วยแล้วนะ...นะ...ส้มน้อยต้องไม่เป็นไรนะ”
พี่ป้องพูดกับเธอเหมือนอย่างเคย...หัวใจดวงน้อย ๆ ไม่มีความหวาดกลัว ทว่าเศร้าลึก เจ็บปวดบอกไม่ถูก
“พี่...ป้อง...” ส้มน้อยเรียกด้วยเสียงสั่น...ความเสียใจถาโถมมากมาย
“พี่ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไรจริง ๆ” พี่ป้องพูดราวกับเข้าใจความรู้สึกเธอ
“อย่าไปไหน...พี่ป้องอย่าไปไหนนะ” เด็กหญิงเรียกรั้ง ทั้งที่รู้เขาไม่มีทางกลับมาอีกแล้ว
“พี่ไม่ไปไหน...ไม่ไปจริง ๆ พี่จะอยู่ช่วยส้มน้อย...ช่วยส้มน้อยจริง ๆ นะ”
เด็กหญิงร้องไห้ ความเศร้าโศกเสียใจจู่โจมกะทันหัน น้ำตาไหลพรากอย่างกลั้นไม่อยู่
“พี่ป้อง...” เสียงเรียกกลั้นสะอื้น
“ไม่เอา...ไม่ร้องไห้” พี่ป้องบอก “ถึงพี่จะไม่อยู่แล้ว ส้มน้อยก็อยู่กับแม่คนนี้นะ...แม่คนนี้ใจดี...อย่าเพิ่งกลับบ้านเรา มันอันตราย...อย่าไปหาตำรวจ...อย่าพูดกับตำรวจ...ตำรวจน่ากลัว...ตำรวจเป็นพวกเดียวกับมัน!”
คำพูดซื่อ ๆ ตรง ๆ ของเด็กชาย รวมกับภาพที่ส้มน้อยมองเห็น ตอกย้ำให้เธอหวาดกลัว...ไม่ใช่แค่ตำรวจ แต่เป็นคนแปลกหน้าทุกคน...
ส้มน้อยไม่กล้าไว้ใจใคร...นอกจากแม่
...แม่...ผู้มีอ้อมกอดอบอุ่น...สัมผัสได้ถึงความห่วงใย จริงใจ ความอาทรของแม่เข้ามาแตะต้อง หยั่งรากในหัวใจเธอ มีแค่แม่คนนี้เท่านั้น จึงสามารถเปิดปาก เปิดหัวใจเธอได้
บทที่ ๙
ห้องพักผู้ป่วย
ใบหน้ามอมแมม เนื้อตัวสกปรกของส้มน้อยได้รับการเช็ดตัว ทำความสะอาดเรียบร้อย เผยให้เห็นผิวสีน้ำผึ้ง ดวงหน้าใส ปากนิดจมูกหน่อยชวนเอ็นดู เสื้อผ้าเก่าปอนถูกเปลี่ยนเป็นชุดคนป่วยโรงพยาบาล
เด็กหญิงหลับสนิทบนเตียง ลมหายใจสม่ำเสมอ อุณหภูมิในร่างกายเกือบปกติ ผู้ใหญ่ทั้งสามคนยืนมองเธอด้วยแววตาเป็นห่วงปนฉงนสงสัย
รองผู้กำกับธงรบเป็นคนแรกที่ละสายตาจากร่างผู้ป่วยมาสนทนาเบา ๆ กับสองหนุ่มสาว
“พี่ดูยังไงก็นึกไม่ออกว่า ทำไมเด็กตัวแค่นี้ถึงถูกตามล่าขนาดนั้น”
“มีนก็นึกไม่ออกเหมือนกัน แต่คนที่กล้าบอกว่ามีสายในตำรวจเป็นโขยง คงไม่ใช่มาเฟียธรรมดา แล้วเด็กตัวแค่นี้จะมีประโยชน์อะไรกับคนกลุ่มนี้” มีนาตั้งข้อสงสัย
แววตานายตำรวจฉายรอยอึดอัด ลำบากใจ
“ถ้าจะให้พี่ปฏิเสธว่าไม่มีสาย...แกะดำในพวกตำรวจ มันก็คงฟังดูโกหก...” ธงรบถอนใจ “สมมุติว่ามาเฟียที่มีอิทธิพลใหญ่โตขนาดนั้น ต้องการเด็กคนนี้เป็น ๆ แบบไม่มีรอยขีดข่วน...ก็น่าสงสัยว่าเด็กคนนี้เป็นใคร สำคัญขนาดไหน?”
“อาจเป็นลูกหลานคนใหญ่คนโต หรือมหาเศรษฐีสักคน ที่โดนจับมาเรียกค่าไถ่...อย่างนี้พอเป็นไปได้มั้ยคะ” มีนาลองตั้งข้อสังเกต แต่พอนึกถึงวิญญาณเด็กชายแล้วรู้สึกว่ามันไม่น่าเป็นไปได้
“ถ้าเป็นกรณีนั้นตำรวจต้องระแคะระคายบ้าง ต่อให้ทางครอบครัวถูกคนร้ายขู่ให้ปิดปากก็เถอะ” นายตำรวจบอก
การสนทนาไม่สามารถคืบหน้า ได้เรื่องราวสำคัญเพิ่มเติม ดังนั้นหากต้องการคลายปัญหาข้อสงสัยจริง ๆ คงต้องรอให้แม่หนูน้อยบนเตียงตื่นขึ้นมาก่อน
คนที่ยืนเงียบ ไม่เอ่ยปากตลอดการสนทนาเริ่มมีวาจาบ้าง
“พรุ่งนี้ ถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อน เด็กก็ออกจากโรงพยาบาลได้” ธันวามองหน้านายตำรวจสลับกับหญิงสาว “พอออกจากโรงพยาบาลแล้ว จะส่งเด็กไปไว้ที่ไหน คิดหรือยัง?”
“ส่งให้ตำรวจไม่ได้!” มีนารีบพูดก่อน
นายตำรวจมองหญิงสาวอย่างเข้าใจ
“งั้นพาเด็กไปฝากที่ศูนย์พิทักษ์เด็ก หรือไม่ก็ที่มูลนิธิ...ก่อนดีมั้ย”
ข้อเสนอของธงรบฟังน่าสนใจ มีนากลับไม่เห็นด้วย นึกถึงใบหน้า แววตาวิญญาณเด็กชาย เสียงพูดจาสนทนาของผู้ไล่ล่าที่ฟังแล้วน่ากลัว และสุดท้ายสัมผัสของเด็กน้อยที่ตอบรับอ้อมกอดของเธอ ความรู้สึกโหยหาไออุ่นที่แทรกมาให้รู้สึก จนถึงใบหน้าน้อย ๆ บนเตียง...ทำให้หญิงสาวเอ่ยปากออกไปเอง
“ให้มีนดูแลเด็กเองได้มั้ย” เธอจงใจถามนายตำรวจ
ธันวามองหญิงสาวอย่างไม่แปลกใจ ธงรบกลับมีสีหน้าอึดอัด
“มันอันตรายนะน้องมีน...เด็กถูกตามล่าแบบนี้ ควรต้องหาเซฟเฮาส์ให้อยู่ คนดูแลต้องมีเวลาเต็มที่...น้องมีนก็มีงานต้องทำอยู่...”
“ช่วงนี้มีนว่างงานค่ะ รายการเพิ่งโดนยุบ” หญิงสาวตอบแบบไม่เดือดร้อน
นายตำรวจพยายามหาเหตุผลมาคัดค้าน โน้มน้าวใจ คุณหมอหนุ่มกลับเอ่ยเรียบ ๆ
“ถ้าเก็บเด็กไว้ที่คอนโดมีนา ก็เหมือนอยู่ในเซฟเฮาส์เหมือนกัน อีกอย่าง ผมก็อยู่ที่นั่นด้วย พอจะช่วยดูแลเด็กได้”
ลงว่าจิตแพทย์หนุ่มเอ่ยปากอย่างนี้ คนเป็นตำรวจก็หาเหตุผลมาค้านไม่ได้
“เอาอย่างนั้นก็ได้...เดี๋ยวพี่จะถ่ายรูปเด็ก และเก็บรอยนิ้วมือไปตรวจสอบ...ถ้าเด็กเคยทำบัตรประชาชน น่าจะเช็คไม่ยาก”
“เด็กตัวแค่นี้ ทำบัตรประชาชนแล้วหรือคะ” มีนาหลุดปากแสดงความไม่รู้
นายตำรวจหัวเราะขัน
“น้องมีน...ทำงานทีวีภาษาอะไร ไม่รู้หรือว่า เขาให้ทำบัตรประชาชนได้ตั้งแต่เจ็ดขวบแล้ว!”
มีนายิ้มเรี่ย ๆ ไม่กล้ายอมรับว่าตัวเองแก่ขนาดนี้ ยังไม่มีลูกหลานที่ต้องพาไปทำบัตรประชาชน เลยไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย
ระหว่างธงรบใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปเด็กหญิง พร้อมเก็บลายนิ้วตามต้องการ มีนาก็หันไปหยิบกระดาษ ปากกามาเขียนชื่อ นามสกุลแม่บ้านมือสังหารที่ตนจดจำไว้แม่นยำ
พอนายตำรวจเก็บหลักฐานที่ต้องการเรียบร้อย หันมาพบหญิงสาวยื่นกระดาษให้
“มีนรบกวนพี่ธงช่วยตรวจสอบที่มาคนคนนี้หน่อยค่ะ”
“เมวดี” ธงรบอ่านชื่อในแผ่นกระดาษ “ใครน่ะ?”
“เป็นผู้ต้องสงสัยวางยาเสี่ยหมง กับคุณกัญญา” มีนาตอบ
“หือ...” นายตำรวจเลิกคิ้ว มองหญิงสาวอย่างสงสัย “เป็นชื่อจริงหรือเปล่า...แล้วมีหลักฐานอื่นอีกมั้ย”
“ชื่อจริงหรือเปล่าไม่มั่นใจ...ส่วนหลักฐานอื่นที่จับต้องได้...ไม่มีค่ะ...มีแต่หลักฐาน ‘มโน’ พอจะใช้มัดตัวได้มั้ยคะ”
ธงรบถอนใจ ไม่รู้จะซักถามอย่างไร ธันวาไม่แสดงท่าทางผิดปกติ เขาได้ยินเรื่องนี้แต่แรกอยู่แล้ว
มีนาไม่คิดปกปิดนายตำรวจที่สนิทสนมกับครอบครัวตน พอเห็นสีหน้าจริงจังแฝงความอ่อนใจอย่างนั้นจึงอธิบายเพิ่มเติม
“เรื่องมันยาวค่ะพี่ธง...ต้องคุยเท้าความกันเยอะ”
ธงรบหัวเราะไม่ถือสา
“ถ้าไม่มีอะไรเพิ่ม พี่กลับก่อนแล้วกัน”
นายตำรวจขยับตัวจะออกจากห้องคนป่วย ธันวาเรียกรั้งไว้
“เดี๋ยวครับ...ผมมีของจะให้พี่ธงเหมือนกัน” คุณหมอหนุ่มยื่นแฟลชไดร์ฟให้ “นี่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับนายมาโนช และ W.คอร์ปทั้งหมด ผมเปิดดูแล้ว...คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับทางตำรวจ แล้วก็ DSI.”
“หือ” ธงรบรับแฟลชไดร์ฟมาดูอย่างแปลกใจในแวบแรก ก่อนหัวเราะเบา ๆ “หาข้อมูลเก่ง สมกับเป็นหลานชายคุณปู่เผด็จท่านจริง ๆ”
เผด็จมีบุญคุณกับครอบครัวธงรบมามาน เขามักเรียกขานท่าน และหลานชายอย่างให้เกียรติเสมอ
“ฝากพี่ธงจัดการต่อด้วยนะครับ” ธันวาหมดหน้าที่เท่าที่ตนทำได้แล้ว
“โอเค ถ้าหลักฐานข้อมูลแน่นหนามากพอ ผู้ใหญ่คงสั่งเดินเครื่องแน่” นายตำรวจไม่สนใจที่มาของหลักฐานนั้น
รองผู้กำกับธงรบกลับออกไปแล้ว มีนามองหน้าคุณหมอหนุ่มอย่างสงสัย
“ไม่ต้องถามนะว่าฉันได้ข้อมูลนั้นมาจากไหน” ธันวาดักคอ ต่อให้นายตำรวจให้เกียรติ ไม่สงสัยถามที่มาของข้อมูล แต่มีนาย่อมอดสงสัยไม่ได้
หญิงสาวพยักหน้า เพลียเกินกว่าจะเซ้าซี้
“เออ เรื่องของแก แค่ที่ฉันเจอวันนี้ก็เหนื่อยแทบตายแล้ว ไม่อยากหาเรื่องอะไรมาสุมหัวเพิ่มอีกหรอก”
“เหนื่อยก็กลับไปนอนซะ” คุณหมอบอก น้ำเสียงอ่อนลง
“ไม่ล่ะ ฉันนอนห้องนี้ดีกว่า ถ้าส้มน้อยตื่นมาเจอแต่คนแปลกหน้าจะขวัญเสียเปล่า ๆ” มีนากังวล เป็นห่วงความรู้สึกเด็กน้อย
“นอนที่นี่...ทั้งอย่างนี้นะ?” ธันวามองสภาพโปรดิวเซอร์สาวอย่างไม่อยากเชื่อ ผู้หญิงติดสวย เรื่องมากอย่างเธอจะนอนเฝ้าคนป่วยทั้งที่อยู่ในสภาพโทรมขนาดนี้ได้
“เออ...ก็ ‘คุณหมอ’ บอกเองนี่ว่า พรุ่งนี้ให้ส้มน้อยออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว งั้นพรุ่งนี้ฉันค่อยไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านทีเดียวเลยก็ได้...”
หญิงสาวมองสภาพตนเองในปัจจุบันแล้วหัวเราะ ยิ้มให้คุณหมอหนุ่มแกมหยอก
“อีกอย่าง...สภาพฉันตอนนี้ก็ไม่มีใครเห็นอยู่แล้ว...นอกจากแก...ไม่เป็นไรหรอก”
ประโยคท้ายหญิงสาวเรียกรอยยิ้มบาง ๆ ขึ้นที่มุมปากชายหนุ่ม
“ตามใจ”
ธันวาออกจากห้องคนป่วยด้วยความรู้สึกแปลกจากเดิม เหมือนหัวใจมันอบอุ่นขึ้นมาเมื่อได้เห็นรอยยิ้ม และวาจาตอนท้ายของเธอ
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
< Prev | Next > |
---|