วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เร้น ๙



Ren



ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ถ้ากัญญาเป็นหนึ่งในขบวนการ ‘นายใหญ่’ ที่สั่งเก็บเสี่ยหมง การเดินดุ่มเข้าไปหาเธอ มิเท่ากับเดินสู่ปากเสือหรอกหรือ

            ความกลัวก่อตัวในใจ...มีนาไม่ใช่ผู้หญิงเก่ง เป็นนักบู๊เหมือนน้องสาว หรือผู้ชายทุกคนที่อยู่รอบตัว ไม่ได้มีอำนาจเวทมนตร์ใด กระทั่งผีเร่ร่อนทั่วไปยังหลอกหลอนจนหล่อนวิ่งป่าราบได้

            เธอเป็นผู้หญิงธรรมดาที่เจ็บเป็น กลัวเป็น และขี้ขลาดในบางครั้ง

            ทว่า...แรงขับดันบางอย่างผลักไสให้ก้าวไปข้างหน้า กระตุ้นให้หล่อนสืบค้นหาความจริง

            มันไม่ใช่เป็นแค่งาน...ทำตัวอย่างรายการเสนอผู้ใหญ่ แต่มันเป็นด้วยสัจจะ...รับปากกับบางสิ่งไว้



            ‘ถ้าผีต้องการให้เราช่วย...ผีต้องช่วยเราก่อน’

            มันอาจเป็นวาจาต่อรองกับวิญญาณเสี่ยหมง ในเรื่องขอให้ช่วยเรื่องขโมยโฉนดที่ดิน แต่เมื่อผีช่วยหล่อนจนสำเร็จแล้ว จะทำเพิกเฉย ไม่ไยดีต่อคำสัญญาได้อย่างไร

            ธันวาไม่ได้เป็นคนต่อรองกับผี...ตัวเธอต่างหากเป็นผู้ต่อรอง ให้สัจจะ

            เมื่อให้สัจจะแล้ว ต้องรับผิดชอบต่อวาจาตน ต่อให้กลัวสักแค่ไหนก็หลีกหนี ละทิ้งไม่ได้

            สิ่งหนึ่งลึกซึ้งกว่านั้น ขณะหญิงสาวติดต่อสื่อสารกับวิญญาณเสี่ยหมง กระแสความรู้สึกอย่างหนึ่งสัมผัสใจชัดเจน นั่นคือความรัก เป็นห่วงใย กังวลในลูกเมีย ครอบครัวตน

            ดวงวิญญาณเสี่ยหมงกำลังหวาดกลัว กระวนกระวายเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เขากลัวครอบครัวที่ตนรักจะเกิดอันตราย เป็นหนึ่งในเป้าหมายต่อไปของนายใหญ่ ใจทุกข์ท้นที่ตนเองไม่อาจยื่นมือช่วยเหลืออะไรได้

            ทางเดียวคือต้องวอนขอต่อผู้มีจิตสื่อวิญญาณเช่นเธอ

            ยามเมื่อใจรับรู้ความทุกข์ของวิญญาณดวงนี้ จิตใจมีนาก็พลิกเปลี่ยน จากความหวาดกลัว กลายเป็นเกิดเมตตาชั่วขณะหนึ่ง

            ด้วยใจที่เกิดเมตตานี้ เธอจึงยอมเสี่ยง เอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอันตราย เผชิญหน้ากับความกลัว เพื่อนำความจริงมาเปิดเผย ช่วยเหลือป้องกันอันตรายให้ครอบครัวเสี่ยหมง

            แม้สิ่งที่ทำจะดูโง่เง่า...และอาจเป็นการแส่หาเรื่องในสายตาผู้ชายข้างบ้านอย่างธันวาก็ตามที



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            จังหวัดนี้เป็นทางผ่านระหว่างกรุงเทพฯ กับบ้านเสี่ยหมง ตัวเมืองไม่ใหญ่โตนัก ริมถนนมีตึกแถวเรียงราย

            มีนาขับรถไม่นานก็พบตึกแถวที่ตามหา มองเห็นป้ายชื่อ ‘ครีมกัญญา’ เด่นชัด พอลงมาก็ผิดหวัง ลักษณะตึกแถวสองคูหานี้เหมือนคลังเก็บสินค้ามากกว่าเปิดเป็นหน้าร้าน แถมยังเป็นคลังที่ปิดสนิทด้วย

            โปรดิวเซอร์สาวเดินเข้าไปยังร้านขายของชำที่อยู่ตึกแถวเดียวกัน ถัดไปสามสี่คูหา ถามไถ่เลียบเคียงไม่นานก็ทราบว่า กัญญาใช้ตึกแถวสองคูหานี้เป็นคลังสินค้า แล้วยังเปิดคลินิกเสริมความงามอยู่ไม่ห่างจากที่นี่นัก

            “คุณกัญญาเป็นหมอด้วยหรือคะ” มีนาสงสัย

            “ไม่ใช่หรอกค่ะ แกไม่เคยรักษาใครสักคน ส่วนที่คลินิกนั่นน่ะ แกเพิ่งเปิดไม่นาน จ้างหมอจริง ๆ มาดูแล แล้วก็เอาพวกครีม ยาบำรุงความงามพวกนี้ไปวางขายที่นั่นด้วย”



            ‘คลินิกกัญญา’ ตั้งอยู่หน้าปากซอย ชุมชนไม่จอแจนัก บ้านแต่ละหลังมีบริเวณกว้างขวาง สร้างใหญ่โตสวยงาม นับเป็นแหล่งชุมชนของคนมีฐานะแห่งหนึ่ง

            คลินิกนี้คงตั้งใจจับกลุ่มลูกค้าตลาดบนเป็นหลัก

            ตามปกติวันหยุดราชการจะเป็นวันทำงานของคลินิกเอกชน ทว่าประตูคลินิกกัญญากลับปิดสนิท ไม่ต้อนรับลูกค้า

            มีนายืนถอนใจหงุดหงิดแกมผิดหวัง อุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงที่นี่กลับคว้าน้ำเหลว ทั้งคลังสินค้า คลินิกล้วนปิดไม่บริการ

            ...งั้นก็ตามถึงบ้านเลยแล้วกัน...โปรดิวเซอร์สาวตัดสินใจเด็ดขาด ยังไงวันนี้ต้องเจอตัวผู้หญิงคนนี้ให้ได้

            ใกล้กับคลินิกมีร้านมินิมาร์ท มีนาเข้าไปหยิบขนม ของกินเล่นสองห่อแล้วจ่ายเงินที่แคชเชียร์ ตั้งใจถามถึงบ้านเจ้าของคลินิกกัญญา

            เพียงแค่ยื่นเงิน ไม่ทันเอ่ยปากถาม ก็ได้ยินเสียงหวอดังลั่น

            หวออออ...

            ท่ามกลางชุมชนเงียบสงบ เสียงรถหวอตำรวจ รถพยาบาล กู้ภัยที่ตามมา ปลุกคนแถวนั้นให้รีบออกมาดูเหตุผิดปกติซึ่งเกิดไม่บ่อยนัก

            มีนาเกิดสังหรณ์แปลก เปลี่ยนใจไม่ถามที่อยู่ของกัญญาจากแคชเชียร์มินิมาร์ท รับของและเงินทอนเสร็จก็รีบออกจากร้าน มองตามท้ายรถขบวนคันสุดท้าย ก่อนรีบขึ้นรถตนเอง ขับตามอย่างไม่ลังเล



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            กัญญาเสียชีวิตแล้ว!

            นี่เป็นเสียงกระซิบกระซาบบอกกล่าวต่อกันในกลุ่มไทยมุงที่ยืนเกาะรั้วอยู่นอกบ้านเศรษฐีนี

            มีนายืนมองบ้านหลังใหญ่ในซอยกว้าง มีรถตำรวจ รถพยาบาลเข้าไปจอดเต็ม รู้สึกโหวงแปลก คล้ายร่องรอยที่ไล่ตามเต็มกำลัง จู่ ๆ ก็ขาดหายไม่ทันตั้งตัว

            ได้ยินเสียงกระซิบบอกเล่าต่อกันถึงเหตุการณ์ภายในบ้านแบบละเอียดยิบ ราวกับทุกคนมีตาทิพย์มองเห็นภาพในที่เกิดเหตุจริงด้วย



            เมื่อตอนสาย แม่บ้านพร้อมเด็กลูกจ้างอีกคนเข้ามาทำความสะอาด รู้สึกบ้านเงียบผิดปกติ ยังนึกแปลกใจ เพราะตามธรรมดากัญญาต้องตื่นมาออกกำลังกายตอนเช้าแล้ว

            ถึงอย่างนั้นก็ไม่สงสัยอะไรมากมาย แบ่งหน้าที่กันทำงานตามปกติ

            เด็กลูกจ้างรับหน้าที่ทำความสะอาดชั้นล่าง แม่บ้านขึ้นไปดูแลชั้นบน เธอเคาะประตูห้องนอนเรียกเจ้าของบ้าน พอไม่ได้ยินเสียงขานรับจึงเปิดประตูเข้าไปอย่างคุ้นเคย เห็นบนเตียงปูผ้าเรียบ ไม่มีร่องรอยการนอน

            แม่บ้านนึกเอะใจ...คิดว่ากัญญาไม่อยู่บ้าน แต่จำได้ตอนเข้ามารถยนต์ทุกคันจอดครบ แสดงว่าเจ้าของบ้านไม่ได้ไปไหน

            เธอลองเข้าไปดูในห้องน้ำ ต้องตะลึงงัน เมื่อพบศพเจ้าของบ้านนอนตายในอ่าง เลือดไหลย้อมจนน้ำแดงฉานเต็มอ่างไปหมด

            แม่บ้านหวีดเสียงร้องลั่น แข้งขาอ่อน รีบตะเกียกตะกายออกมา เด็กลูกจ้างที่อยู่ข้างล่างก็ตะลีตะลานขึ้นมาดู พอพบศพก็ส่งเสียงร้องลั่นแข่งกันจนบ้านข้าง ๆ ได้ยินกันหมด

            พักหนึ่งพอได้สติก็โทรศัพท์แจ้งตำรวจแล้วรีบออกมานอกบ้าน เจอเพื่อนบ้านแห่ชุมนุมมาดูกันว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นเรื่องราวก็ถูกกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว



            ตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุก็กั้นเชือก กันบุคคลภายนอกไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยว เจ้าหน้าที่เข้าไปถ่ายรูป พิสูจน์หลักฐาน เจ้าหน้าที่พยาบาลเดินตามเข้าไปรอเก็บศพ

            แม่บ้าน ลูกจ้างถูกแยกตัวออกมาสอบสวน เล่าเหตุการณ์ด้วยท่าทางตื่นตระหนก พร้อมบอกชื่อ หมายเลขโทรศัพท์ของญาติพี่น้องของกัญญาให้กับทางตำรวจ เพื่อติดต่อแจ้งข่าวร้าย

            มีนายืนฟังชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความสนใจ

            “น่ากลัวจัง คุณกัญญาแกเชือดข้อมือฆ่าตัวตายในอ่างน้ำ...”

            “เขาจะฆ่าตัวตายทำไม เงินทองมีออกมากมาย ที่อยู่แสนสุขสบาย ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย”

            “แหม...มันก็น่าจะมีปัญหาที่คนนอกไม่รู้นั่นแหละ ดูสิบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้อยู่เข้าไปได้ยังไงแค่คนเดียว ไม่มีญาติพี่น้องมาอยู่ดัวยสักคน”

            “ใช่...ขนาดแม่บ้าน ลูกจ้างแกยังจ้างแบบไปเช้าเย็นกลับ ไม่ให้อยู่ด้วย...ลูกผัวก็ไม่มี แกน่าจะมีปัญหาอะไรสักอย่างนั่นแหละ”

            “ปัญหาเรื่องชู้สาวมั้ง?”

            “หรือไม่ก็เป็นเรื่องธุรกิจ แกร่ำรวยขนาดนี้ โดนฆาตกรรมอำพรางหรือเปล่า”

            คำพูดสอดแทรกด้วยความคิดเห็นส่วนตัว ทำให้ฟังแล้วดูไกลจากความเป็นจริง ยากจะหลุดประเด็นน่าสนใจออกมาได้

            มีนาขับรถออกมารับประทานอาหารกลางวัน คิดวางแผนว่าควรทำอย่างไรต่อดี เบาะแสเดียวเกี่ยวกับเรื่องระหว่างทางก่อนตายของเสี่ยหมงก็ขาดหาย ผู้ให้คำตอบเสียชีวิตแล้ว

            หล่อนควรกลับไปตั้งหลักที่บ้าน หรือสืบหาร่องรอยอื่นต่อไป



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            เวลาบ่าย

            มีนากลับมาหน้าคลินิกกัญญาอีกครั้ง ยืนมองบานประตูกระจกที่ปิดสนิท สอดสายตาเข้าไปภายใน ไม่เห็นผู้คน หรือมีการเคลื่อนไหวในนั้น

            สังหรณ์ในใจบอกให้หล่อนกลับมาที่นี่

            พอมาถึงก็ทำอะไรไม่ถูก เป็นครั้งแรกที่นึกถึงผีเสี่ยหมง อยากให้มาช่วยชี้เบาะแส แนะหนทางอะไรก็ได้ เพราะอย่างน้อยแสงแดดจ้าอย่างนี้ ความกลัวผีของหล่อนมันลดลงไปเยอะแล้ว

            ถ้าผีเสี่ยหมงไม่มา เปลี่ยนเป็นผีกัญญาที่เพิ่งเสียชีวิตก็พอไหว!

            พอทำใจเข้มแข็ง พร้อมเจอเพื่อนต่างภพกลับไม่มีผีตนใดโผล่มาให้เห็น จึงลองเอื้อมมือผลักประตู หวังว่ามันจะยอมเปิดให้ง่าย ๆ ปรากฏว่ามันติดล็อค

            กำลังจะดึงมืออก ก็เกิดกระแสบางอย่างแล่นปลาบสู่ปลายนิ้ว เหมือนเป็นการเชื่อมต่อกับพลังงานดวงวิญญาณ

            ภาพปรากฏในหัวเป็นแวบ ๆ มาจากความทรงจำเสี่ยหมง ที่ถ่ายทอดให้เธอตั้งแต่ครั้งแรกที่สื่อสารกัน เพียงแต่ตอนนั้นมันสับสน ไม่มีการเรียงลำดับ จดจำไม่ได้ พอถูกกระตุ้นจากสัมผัสเมื่อครู่ มันจึงถูกย้อนทวนอีกครั้ง



            เสี่ยหมงเคยมาที่นี่!

            เขามาถึงคลินิกประมาณสามทุ่มครึ่ง คลินิกเพิ่งปิด มีกัญญากับลูกจ้างผู้หญิงอยู่ในร้านแค่สองคน

            เจ้าของคลินิกต้อนรับแขกที่ห้องรับรองด้านหน้า ระหว่างนั้นเด็กสาวลูกจ้างก็นำน้ำชา ขนมมาวางให้แขกรับประทานตามหน้าที่

            ...มีนารู้สึกสะดุดตากับกิริยาท่าทางลูกจ้างสาวคนนี้...

            ระหว่างเสี่ยหมงคุยกับกัญญา ลูกจ้างสาวยังนั่งรออยู่แถวเคาน์เตอร์ คล้ายเตรียมพร้อมรับคำสั่ง ทว่าสายตาคอยมองเข้าไปในห้องเป็นระยะ สองหูเงี่ยฟังทุกวาจาในการสนทนา

            มีนาจับใจความเรื่องที่เสี่ยหมงคุยกับกัญญาไม่ได้ รู้แค่ทั้งสองมีสีหน้าเครียด กังวล เกิดการกระทบกระทั่งด้วยวาจาเป็นระยะ ไม่ถึงขั้นโต้เถียงรุนแรง

            เสี่ยหมงจิบชาดับอารมณ์ หยิบขนมกินระหว่างการสนทนาอันเคร่งเครียด

            ครู่หนึ่งกัญญาขอตัวไปทำธุระ แล้วเด็กสาวลูกจ้างก็เข้ามาเติมชา เติมขนมในห้องรับรองแขก

            ชั่วเวลานั้น มีนาสังเกตเห็นเด็กลูกจ้างกระซิบวาจาบางอย่างกับแขกของร้าน

            เสี่ยหมงนิ่งอั้น ดวงตาฉายแววเลื่อนลอยครู่หนึ่ง รู้สึกตัวอีกครั้งตอนเด็กสาวออกจากห้อง แล้วกัญญากลับมาพูดคุยต่ออีกรอบ...

            นาฬิกาบอกเวลาเกือบห้าทุ่มตอนเสี่ยหมงออกจากร้าน ขณะนั้นมีนาพบว่าท่าทางเขาดูแปลกไป เดินทื่อ ๆ แววตาไม่แสดงความรู้สึกเหมือนคนถูกสะกด

            นั่นทำให้มีนาอยากรู้...พวกเขาคุยอะไรกัน และเด็กสาวลูกจ้างทำอะไรกับเสี่ยหมง



            “คุณคะ มีธุระอะไรหรือเปล่า...วันนี้คลินิกปิดค่ะ” เสียงนี้ปลุกมีนาจากห้วงความทรงจำเสี่ยหมง

            “เอ่อ...” หญิงสาวตั้งสติไม่ทัน “อ๋อ...คลินิกปิดหรือคะ”

            “ใช่ค่ะ”

            มีนามองเด็กสาวรู้สึกคุ้นตา แล้วความทรงจำก็บอกว่า เพิ่งพบเธอไม่นาน ที่บ้านกัญญา เธอเป็นลูกจ้างอีกคนที่พบศพ

            “น้องเป็นลูกจ้างคลินิกหรือเปล่าคะ...พี่ไม่คุ้นหน้าเลย” ถามอย่างนี้เป็นการเสี่ยงโยนหินถามทาง

            “อ๋อ...หนูไป ๆ มา ๆ ค่ะ ทำงานที่บ้านคุณกัญญาด้วย แล้วก็มาช่วยทำความสะอาดตอนคลินิกยังไม่เปิด”

            “นั่นสิ พี่เป็นลูกค้า นัดคุณหมอเอาไว้ เพราะยามันหมดแล้ว พอเห็นคลินิกปิดแบบนี้ก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นน่ะ”

            มีนาแต่งเรื่องสด ๆด้วยสีหน้าปกติเป็นธรรมชาติ

            “จริงหรือคะ” เด็กสาวมีสีหน้าลำบากใจ “คือ...คุณหมอเธอติดธุระ ไปต่างประเทศ เลยต้องปิดคลินิกสองสามวันค่ะ”

            “แล้วคุณกัญญาอยู่มั้ย วันนี้ยังไม่ต้องเจอคุณหมอ พี่ขอมาซื้อยาอย่างเดียวก็ได้” มีนาเสี่ยงเอ่ยชื่อเจ้าของคลินิกผู้เสียชีวิต เพื่อหาวิธีเข้าไปข้างใน

            “อุ๊ย...” พอเอ่ยชื่อนี้เด็กสาวตกใจ หน้าซีดเผือด “พี่ยังไม่รู้เหรอคะ”

            “รู้อะไรคะ?” โปรดิวเซอร์สาวตีหน้าซื่อได้สนิท

            “เอ่อ...จริงสิ พี่ไม่น่ารู้ได้...” ลูกจ้างสาวเพิ่งนึกได้ว่า ข่าวการตายไม่น่าไปเร็วขนาดนั้น

            “คือคุณกัญญาเธอเสียชีวิตแล้ว ทางตำรวจ โรงพยาบาลเพิ่งนำศพเธอไปเมื่อตอนก่อนเที่ยงนี่เอง”

            “ตายแล้ว...จริงหรือคะน้อง” มีนาทำท่าตกใจได้สมจริง “เกิดอะไรขึ้น เป็นไปได้ยังไง”

            ลักษณะเด็กสาวเป็นคนช่างพูดช่างเล่าอยู่แล้ว คราวนี้มีนาจึงได้ฟังรายละเอียดการตายของกัญญาจากผู้เห็นเหตุการณ์จริง ซึ่งแทบไม่แตกต่างจากเรื่องที่ได้ยินจากกลุ่มไทยมุงสักเท่าไหร่

            หลังจากพูดคุยกันไม่นาน เด็กสาวก็รู้สึกสนิทใจ เชื่อว่ามีนาเป็นลูกค้าจริง ๆ

            “อ้อ...จริงสิ น้องผู้หญิงอีกคนที่ทำงานคลินิก ยังอยู่หรือเปล่า” มีนาลองเสี่ยงถามถึงเด็กสาวลูกจ้างที่เห็นในความทรงจำเสี่ยหมง

            “พี่เมหรือคะ”

            “ใช่จ้ะ...น้องเมนี่แหละ ปกติเขาจะเป็นคนจัดยาให้พี่ตลอด”

            “พี่เมลาออกได้สักวันสองวันแล้วคะ เป็นช่วงคุณหมอลาไปต่างประเทศพอดี เลยต้องปิดคลินิก”

            “ตายแล้ว งั้นพี่คงไม่ได้ยากลับไปแน่เลย...แหม...กำลังใช้เห็นผลพอดี” หญิงสาวทำท่าเสียดาย

            “พี่ใช้ยาตัวไหนอยู่หรือคะ ที่จริงหนูก็รู้จักยาในร้านทุกตัวแหละ” พอคุ้นเคยกัน เด็กสาวก็แสดงความมีน้ำใจ

            “ค่ะ...ตอนนี้พี่ใช้ยา...ตัวนี้อยู่” มีนาบอกชื่อยาบำรุงความงาม ที่เธอเห็นโฆษณาในเน็ตของกัญญาอย่างคล่องปาก

            “ถ้าตัวนั้นในร้านมีสต็อกไว้เยอะเลยค่ะ เดี๋ยวหนูหยิบให้พี่เลยก็ได้ เข้ามาสิคะ” เด็กสาวยอมเปิดประตู ชวนให้เข้ามาอย่างวางใจ

            มีนาอมยิ้ม ภูมิใจในฝีปาก และการด้นสดเอาตัวรอด จนสามารถทำให้ลูกจ้างสาววางใจ ยอมให้เข้าคลินิกในที่สุด

            หวังว่า เมื่อเข้าคลินิกแล้ว ความทรงจำเสี่ยหมงในหัวหล่อนจะถูกกระตุ้นให้ชัดเจนขึ้น อย่างน้อยก็ขอให้รู้เรื่องที่เขาคุยกับกัญญา จะได้ทราบว่าทั้งสองขัดแย้งด้วยเรื่องราวใด

            ขณะกำลังก้าวตามเด็กสาวเข้าคลินิก สายตามีนาก็หันไปปะทะกับชายร่างสูงที่เพิ่งลงจากรถมายืนมองหล่อนด้วยสีหน้า แววตารู้เท่าทัน

            หญิงสาวถอนใจเฮือกใหญ่...เวลานี้ให้เธอเจอผีเสี่ยหมง ผีคุณกัญญายังดีกว่าเจอผู้ชายคนนี้...ธันวา








บทที่ ๖



            ธันวาขับรถมาจอด นั่งดูมีนาคุยกับลูกจ้างสาวหน้าคลินิกครู่ใหญ่แล้ว เขาอยากรู้ว่าเจ้าหล่อนจะมีลูกเล่น ลูกไม้ใดจึงยังไม่ลงจากรถ ไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ

            จนกระทั่งหญิงสาวสามารถพูดจนเด็กสาวยอมพาเข้าคลินิก เขาค่อยขยับตัวลงจากรถ ปิดประตู เป็นจังหวะเดียวกับมีนาหันมาเห็นพอดี

            เมื่อสายตาสบกัน ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่นิ่ง ธันวาเดินขึ้นบันไดทำสีหน้าเฉย ๆ เข้าไปหาหญิงสาว

            “เสร็จธุระหรือยังมีน...” พูดด้วยน้ำเสียงคุ้นเคยเช่นนี้ บุคคลอื่นได้ยินย่อมคิดว่ามาด้วยกัน

            เด็กสาวลูกจ้างเงยหน้ามองชายหนุ่ม แล้วชะงักเมื่อเห็นดวงหน้าหล่อจัดมองมาแววตาเป็นมิตร เธอรีบก้มหน้าเกิดรอยเขินอายเล็กน้อยก่อนรีบไขกุญแจเปิดประตูเข้าไปโดยไม่ถามไถ่อะไร

            “อีกเดี๋ยว...กำลังตามน้องเข้าไปเอายา” มีนากัดฟันเล่นละครตามน้ำ โดยใจนึกหมั่นไส้

            “อืม...ไม่เป็นไร...ไม่รีบ” ธันวาเดินตามหญิงสาวเข้าคลินิกโดยไม่ต้องรอใครเชิญ

            โปรดิวเซอร์สาวหันมาขึงตาใส่เป็นเชิงห้ามชายหนุ่มพูดจาอะไร ซึ่งอาจทำแผนหล่อนเสียหาย

            ธันวาไม่แสดงกิริยาตอบโต้ ทำตัวตามสบาย มองเลยสายตาหญิงสาวไปยังบริเวณภายในคลินิก เก็บร่องรอยรายละเอียดที่ดูผิดปกติ

            “คลินิกปิดหลายวันอย่างนี้ น้องต้องมาทำความสะอาดด้วยหรือจ๊ะ” มีนาเอ่ยกับเด็กสาวด้วยน้ำเสียงคุ้นเคยสนิทสนมกว่าเดิม

            “แม่บ้านสั่งให้หนูมาตรวจดูความเรียบร้อย พวกล็อคประตูหน้าต่าง สัญญาณกันขโมยอะไรพวกนี้ แกกลัวว่าถ้าคนอื่นรู้ข่าวคุณกัญญาเสียชีวิต อาจมีพวกขโมยแอบเข้ามาเอาของมีค่าในนี้ได้”

            เด็กสาวพูดโดยไม่ปิดบัง คนที่ใช้อุบายจนเข้ามาในคลินิกรู้สึกเหมือนโดนกระทบกลาย ๆ

            ลิ้นชักด้านหลังเคาน์เตอร์มีช่องเก็บกุญแจตู้ยาต่าง ๆ ลูกจ้างสาวเลือกกุญแจออกมาได้แล้วหันมาถาม

            “พี่ต้องการยากี่กล่องคะ แล้วจะรับตัวอื่นเพิ่มด้วยมั้ย เพราะคลินิกน่าจะปิดอีกนานเลย”

            “จ้ะ พี่สั่งตัวอื่นเพิ่มด้วย”

            มีนาเข้าไปหาลูกจ้างสาวพร้อมบอกความต้องการ เลือกยาเพิ่มอีกสองสามอย่างเพื่อให้เด็กสาวเสียเวลานานที่สุด ตนเองจะได้มีเวลาตรวจสอบสถานที่

            ธันวาถอยมาที่ห้องรับแขก ทำท่ายืนมองการตกแต่งโดยรอบ ดวงตาฉลาดคมหรี่เรียวฉายแวววับ เก็บรายละเอียด หาสิ่งผิดปกติทุกซอกมุมโดยไม่มีใครผิดสังเกต

            หลังจากสั่งรายการยาเรียบร้อย มีนาตามมาห้องรับรองแขก สถานที่ซึ่งเสี่ยหมงเคยมานั่งคุยกับกัญญาเป็นครั้งสุดท้าย มองเก้าอี้ตัวที่เสี่ยหมงนั่งอย่างชั่งใจ ก่อนบอกธันวา

            “ถ้าเห็นฉันทำอะไรแปลก ๆ อย่ารบกวนนะ”

            จิตแพทย์หนุ่มพยักหน้า ต่อให้ไม่รู้เจตนาหญิงสาว ก็พอเดาออกว่าเจ้าตัวมีวิธีหาความจริงในแบบตนเอง...ไม่เช่นนั้นคงตามรอยเสี่ยหมงถึงนี่ไม่ได้

            มีนาเป่าลมหายใจดังฟู่ ข่มความกลัว แล้วค่อย ๆ ทรุดตัวลงบนเก้าอี้ที่เสี่ยหมงเคยนั่ง

            ทันทีที่เกิดสัมผัสกระทบ กระแสไฟอ่อน ๆ แล่นปลาบ แผ่ซ่านจากวัตถุเข้าสู่ร่างหญิงสาว ความทรงจำเสี่ยหมงปรากฏชัดในหัวอีกครั้ง คราวนี้มันละเอียดจนได้ยินทุกบทสนทนา เห็นทุกสีหน้าอากัปกิริยา



            “วันนี้ผมไปพบ ‘ท่าน’ มา” เสี่ยหมงเริ่มต้น

            กัญญามีสีหน้าผิดปกติชั่วแวบ ก่อนเกลื่อนร่องรอยจนดูปกติ

            “เสี่ยไม่น่ารีบร้อนเลย แล้วท่านว่ายังไงบ้างคะ” หญิงสาวยิ้มอ่อน ๆ สร้างหน้ากากปกปิดความรู้สึกแท้จริง

            “ท่านบอกว่า...โครงการเมืองใหม่ยังอนุมัติตอนนี้ไม่ได้ ต้องรอขั้นตอนอีกสักพัก”

            “อ้าว...จริงหรือคะ” กัญญาทำสีหน้าตกใจ

            “อย่างนี้หมายความว่ายังไง ผมลงทุนไปเยอะแล้วนะ ไหนจะชักชวนคนมาร่วมทุนอีกตั้งมาก เอาเงินเอาหลักประกันพวกเขามาแล้วด้วย...ไหนคุณบอกว่า ‘ท่าน’ อยู่เบื้องหลังนักการเมือง รัฐมนตรีหลายคน แค่สั่งคำเดียว เรื่องอนุมัติโครงการนี้ก็ผ่านฉลุยไง” เสี่ยหมงใส่อารมณ์เต็มที่

            “แหมเสี่ยคะ...โครงการเป็นหมื่นล้านอย่างนี้ มันต้องผ่านขั้นตอนเยอะ เสี่ยใจเย็น อดทนหน่อยสิคะ อย่าลืมว่านี่เป็นโครงการสร้างเมืองใหม่ ที่จะขยายความเจริญจากกรุงเทพฯ มาที่จังหวัดหัวเมืองแบบนี้...แล้วเมืองใหม่ที่จะเกิดขึ้นนี่ เสี่ยจะได้สัมปทานก่อสร้างสถานที่ราชการ สาธารณูปโภค สิ่งก่อสร้างสำคัญต่าง ๆ เกือบทั้งหมดโดยไม่ต้องประมูลแข่งกับใคร งบประมาณเกินครึ่งในการสร้างเมืองใหม่จะเป็นของเสี่ยทั้งหมด คิดดูสิว่าจะได้กำไรมหาศาลแค่ไหน มันเลยจำเป็นต้องใช้เวลา ความอดทนมากกว่าใคร”

            ...หึ...หึ...เสี่ยหมงหัวเราะเสียงกร้าว

            “อดทนหรือ...ผมอดทนมามากแล้วนะ และผมก็จ่ายไปมากแล้วเหมือนกัน ตอนนี้ผมยังไม่เห็นวี่แววจะได้เงินคืนเลยสักบาท”

            “ใจเย็น ๆ เสี่ย...จิบชาให้คลายร้อนใจก่อน แล้วเราค่อยคุยกัน”



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP