วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
เร้น ๓
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
ถนนโล่งว่าง รถยนต์บางตา แต่ละคันขับเร็วขึ้น มีนาเหลือบมองนาฬิกา เห็นว่าตนเองขับรถมาสองชั่วโมงเศษ เหลือระยะทางอีกไม่ไกลนักจะถึงบ้าน
ฉุกใจคิด ขนาดหล่อนขับรถตามสบาย เต็มที่ไม่เกิน ร้อยยี่สิบ ร้อยสามสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็ยังใช้เวลาเพียงเท่านี้ แล้วเสี่ยหมงขับรถความเร็วเท่าใด แวะที่ไหนก่อนหรือไม่ จึงใช้เวลาสี่ชั่วโมงกว่า เพิ่งจะมาถึงถนนนอกเมืองบ้านตัวเอง
ใจครุ่นคิดสงสัย นึกถึงภาพเสี่ยหมง นึกถึงอุบัติเหตุที่เกิด แล้วใจสัมผัสกระแสแปลกวูบผ่าน
สายตามองถนนข้างหน้า รู้สึกผิดปกติอย่างบอกไม่ถูก แสงไฟบนถนนดูแปลกไป รถราน้อยคัน ภาพที่เห็นเหมือนเป็นฉากละครอะไรสักอย่าง
เบื้องหน้าหล่อนมีรถเก๋งคันใหญ่ขับห่างออกไปราวสามสิบเมตร แรก ๆ ก็ขับตามปกติ แล้วจู่ ๆ มันก็เร่งเครื่องเร็วขึ้น พุ่งไปข้างหน้าทั้งที่อีกไม่ไกลเป็นทางโค้งอันตราย
มีนาใจหายวาบ รู้สึกถึงอันตราย จึงถอนคันเร่งชะลอรถของตนตามอัตโนมัติ
โค้งอันตรายอยู่ข้างหน้า รถยนต์คันนั้นไม่มีทีท่าชะลอความเร็วลงเลย และในชั่วเวลาสั้น ๆ มันก็พุ่งแหกโค้งออกนอกถนนลงไปชนกับต้นไม้อย่างแรง
หญิงสาวเกือบส่งเสียงหวีดร้อง เท้าแตะเบรกผ่อนความเร็วโดยไม่รู้ตัว รถของเธอผ่านโค้งอย่างปลอดภัย กำลังจะชะลอจอดข้างทางเพื่อดูสภาพรถ และคนขับข้างล่าง อย่างน้อยเธอพอจะช่วยโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลเรียกตำรวจได้
แต่แล้ว...มีนาต้องหวีดเสียงลั่นรถ ชะลอหลบข้างทางพร้อมเหยียบเบรกทันที
...เอี๊ยดดดด...
เสียงเบรกลากยาว รถจอดสนิท เบื้องหน้ารถหญิงสาวปรากฏผู้ชายตัวดำยืนทะมึนอยู่กลางถนน เป็นสาเหตุให้หล่อนต้องหักหลบและเหยียบเบรกทันที
...ผู้ชายคนนั้น กำลังเดินตรงมายังรถของเธอ!...
บทที่ ๒
ถนนข้างหน้ามองไม่เห็นรถมาสด้า 3 แฮทช์แบ็กห้าประตูสีแดงของมีนาแล้ว ธันวาไม่สนใจขับรถตามหญิงสาว ทั้งที่รู้ต่างมีจุดหมายเดียวกัน
ตามปกติ ธันวากลับบ้านต่างจังหวัดประมาณเดือนละครั้ง เพราะถ้าน้อยกว่านั้นจะโดนมารดาโทรศัพท์ตามตัว ถามไถ่ว่าเจ็บไข้ได้ป่วยหรือไม่...ถ้าไม่เป็นอะไร จะถามต่ออีกว่าทำไมไม่กลับบ้าน...ติดงานสำคัญอะไร?
เพื่อเลี่ยงการตอบปัญหามากมายขนาดนั้น คุณหมอหนุ่มจึงเลือกกลับบ้านเดือนละครั้งแทน
เมื่อสัปดาห์ก่อน เขาเพิ่งไปหาแม่ที่บ้าน สุดสัปดาห์นี้ต้องเดินทางอีกครั้งด้วยสาเหตุ
“ธันจ๊ะ วันหยุดนี้มีงานอะไรหรือเปล่า” เสียงแม่จากโทรศัพท์
“ไม่มีครับ”
“งั้นกลับบ้านหน่อยนะ” แม่พูดง่าย
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”
“คุณย่าป่วยจ้ะ ตอนนี้นอนอยู่โรงพยาบาล”
“เป็นอะไรมากมั้ย อาทิตย์ก่อนยังเห็นแข็งแรงดี” คุณย่าอายุแปดสิบกว่าแล้ว แข็งแรงแค่ไหนก็ยังน่าเป็นห่วง
“แม่ไม่แน่ใจหรอก...เจ้าจิกมันบอกว่าไม่เป็นไรมาก แค่โรคคนแก่ ไม่ต้องห่วง” แม่พูดถึงพิจิก...น้องชายเขา “แต่แม่ไม่เชื่อเจ้าจิกหรอก มันเป็นหมอฟัน จะมารู้ดีกว่าหมอรักษาคนป่วยได้ยังไง”
ธันวาอยากบอกเหมือนกันว่าเขาเป็นจิตแพทย์...รักษาคนบ้า ไม่น่าเก่งกว่าทันตแพทย์อย่างน้องชาย แต่นึกได้ว่าแม่คงรู้ จิตแพทย์ก็ต้องเรียนแพทย์ศาสตร์มาหกปีเหมือนคุณหมอรักษาคนป่วยทั่วไป
“ครับ เลิกงานเย็นนี้แล้วผมจะเดินทางเลย ค่ำ ๆ ดึก ๆ คงไปถึง” ชายหนุ่มรับปาก
“ถ้าไม่เหนื่อยมาก ธันแวะมาที่โรงพยาบาลก่อนก็ได้นะ แม่กับแม่เภาผลัดกันเฝ้าดูแลคุณย่าอยู่”‘แม่เภา’ เป็นแม่ของมีนา มารดาพวกเขาเป็นเพื่อนรักกัน
“ครับ”
ธันวาไม่แปลกใจที่เห็นมีนาเดินทางออกต่างจังหวัด แม่เภาคงโทรศัพท์บอกลูกสาวเช่นกัน
ครอบครัวเขากับเธอเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน คุณย่าร้อยกรองของเขา ก็เป็นเหมือนคุณย่าเธอ เลี้ยงดูแลมีนาไม่ต่างจากหลานสาวแท้ ๆคนหนึ่ง
จิตแพทย์หนุ่มขับรถด้วยความเร็วปกติ ใช้เวลาสองชั่วโมงกว่าก็เข้าเขตจังหวัดบ้านเกิด มีนาล่วงหน้าก่อนเขาประมาณยี่สิบนาที ป่านนี้น่าจะเข้าตัวเมืองใกล้ถึงโรงพยาบาลแล้ว
ทว่า พอเลยโค้งอันตรายข้างหน้า ธันวาเห็นรถยนต์สีแดงจอดนิ่งอยู่ข้างทาง ต่อให้ไม่เห็นยี่ห้อ เลขทะเบียน ก็พอเดาได้ว่าเป็นรถของใคร
มีนาเกิดปัญหาอะไร?
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
ผู้ชายคนนั้น กำลังเดินตรงมายังรถเธอ!
ร่างเขาดูดำทะมึน มองไม่เห็นรายละเอียดใบหน้า เสื้อผ้าที่แต่งดูเปรอะเปื้อน มีริ้วรอยฉีกขาด เมื่อมองดี ๆ จะเห็นเท้าดูเลือน ๆ คล้ายลอยจากพื้น
โคมไฟริมถนนไม่สว่างนัก แต่มันมากพอที่จะส่องจับให้เห็นรูปร่างหน้าตาของคนที่เดินมาจากกลางถนนได้ ทว่าชายคนนั้นกลับดูมืดทะมึน แสงไฟไม่ช่วยอะไร หนำซ้ำยิ่งแสดงให้เห็นถึงความแปลกแยกของร่างนี้กับบริเวณโดยรอบอย่างชัดเจน
มีนาไม่ต้องให้ใครอธิบายเลยว่า...ร่างที่กำลังเดินมาหาคือใคร?
หญิงสาวมีความพิเศษในตัว สามารถมองเห็นสิ่งแปลกปลอมต่างภพ ประเภทภูตผี วิญญาณมาตั้งแต่เล็ก เธอรู้ว่าร่างที่เดินมาหาไม่ใช่คนธรรมดา นอกจากลักษณะท่าทางแล้ว บรรยากาศอึมครึม อึดอัดชวนเสียวสันหลังก็แผ่ออกมา ปะปนด้วยความรู้สึกหม่นซึม ชวนสะบัดร้อนสะบัดหนาวบอกไม่ถูก
ถึงมีนาจะมีความพิเศษอย่างนั้น เธอก็ยังเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งซึ่ง...กลัวผี!
นั่นทำให้หญิงสาวนั่งนิ่ง ขาสั่นพั่บพั่บอยู่ในรถ ทำอะไรไม่ถูก จนนึกได้ว่าคุณปู่เคยให้ตะกรุดโบราณไว้คล้องคอ ช่วยหลานสาวตาขาวให้มีหลักใจ ไม่ถูกความกลัวครอบงำจนขาดสติ
ปลายนิ้วสัมผัสตะกรุด หลับตา ในใจนึกถึงบทสวดที่จดจำได้ตั้งแต่เล็ก
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะ
จิตใจบังเกิดความอบอุ่น ความกลัวเจือจาง ลืมตามองตรงหน้า ไม่พบร่างดำทะมึนนั่นแล้ว ระบายลมหายใจแผ่ว แล้วนึกได้รีบหันมองด้านหลัง
ทางโค้งที่อยู่ห่างดูปกติ ไร้ร่องรอยใด ต้นหญ้าข้างทางไม่มีรอยรถแล่นผ่าน กระทั่งต้นไม้ใหญ่ด้านล่างก็ดูสงบงัน ปราศจากสิ่งรบกวน ไม่มีรถคันใดแหกโค้งลงไปสักคัน
ขนลุกซู่ ใจหายวูบ มือกำพวงมาลัยแน่น ใจเต้นตึกตัก ทบทวนความจำรวดเร็ว
ภาพรถยนต์แหกโค้งยังแจ่มชัด มันขับอยู่เบื้องหน้าครู่หนึ่ง ก่อนพุ่งลงข้างทางให้เห็นต่อหน้าต่อตา
มีนานึกได้...เมื่อครู่...นอกจากภาพที่เห็น เธอไม่ได้ยินเสียงเหยียบเบรก ไม่ได้ยินเสียงโครมครามจากการกระแทก ปะทะใด ๆ เลย
นอกจากเสียงเบรกรถเธอแล้ว ไม่ได้ยินเสียงอื่นอีก
โปรดิวเซอร์สาวฉุกคิดถึงเรื่องบางอย่าง หยิบโทรศัพท์มือถือที่ดาวน์โหลดข่าวอุบัติเหตุเสี่ยหมงออกมาเปิดดู หาภาพรถยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุชนต้นไม้ พอเห็นก็สะดุ้งวาบ หัวใจเต้นแรง แล้วค่อยเปิดภาพประกอบข่าวอื่น ๆ
สิ่งที่เห็นทำให้นิ่งอั้น ทำอะไรไม่ถูก ปลายนิ้วแตะตะกรุด สัมผัสกระแสอบอุ่นซ่านเข้ามาดังเป็นการถ่ายทอดกำลังใจ
หญิงสาวถอนใจเฮือกใหญ่ เรียกความกล้าหาญ ก่อนเปิดประตูรถออกมายืนริมถนน
สายลมเย็นชืดพัดผ่าน ช่วงหัวค่ำรถรานอกเมืองบางตา โคมไฟริมถนนส่องแสงสีส้มซีด ๆ ฉายทั่วบริเวณทางโค้งอันตราย
รถมีนาจอดเลยทางโค้งพอสมควร จึงมองเห็นภาพสถานที่ทั้งหมดถนัดตา
ที่นี่คือจุดเกิดเหตุ...ทางโค้งที่เสี่ยหมงหลุดไปชนต้นไม้ข้างทาง!
ความเข้าใจกระจ่างชัด จึงไม่ยากที่จะบอกกับตนเองว่า ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่คืออะไร?
...อุบัติเหตุที่เป็นข่าวนั่นเอง...
มีนาตอบไม่ถูก เหตุใดภาพนั้นจึงปรากฏต่อหน้า...เธอเห็นภูตผี วิญญาณก็จริง แต่ไม่คิดว่าจะได้เห็นเหตุการณ์ในอดีตมาปรากฏชัดเจนแบบนี้
...น่าจะเป็นฝีมือวิญญาณเสี่ยหมง...
หญิงสาวถอนใจ ไม่ต้องให้ใครมาอธิบาย ผู้หญิงที่มีปู่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไสยเวทอย่างเธอสามารถเข้าใจเหตุผลด้วยตัวเอง หนำซ้ำยังเข้าใจลึกซึ้งยิ่ง
เสี่ยหมงต้องการให้เธอเห็นเหตุการณ์นั้น เพื่อต้องการความช่วยเหลือ ร่างดำทะมึนที่ยืนขวางและเดินเข้าใกล้ ย่อมเป็นดวงวิญญาณเสี่ยหมง
กวาดสายตามองรอบกาย จิตใจเกิดอาการหวั่นลึก ถึงมองไม่เห็นภูตผีวิญญาณตนใด บรรยากาศรอบตัวมันอึดอัด หม่นซึมผิดปกติ รถราที่วิ่งผ่านเป็นระยะไม่ช่วยให้ใจชื้นขึ้น หล่อนรู้สึกเหมือนตนเองโดนห้อมล้อมด้วยผู้คนแปลกหน้าซึ่งมองไม่เห็นมากมาย
ต้องขอบคุณตะกรุดของคุณปู่ ที่ช่วยปิดสัมผัสไม่ให้รับรู้ และเป็นม่านกั้นขวางไม่ให้สิ่งแปลกปลอมใดเข้าถึงตัวได้
กลับมานั่งในรถ สงบสติอารมณ์ พอตั้งสติได้ก็รู้ว่าไม่ควรอยู่ที่นี่นานนัก ตะกรุดของปู่จะช่วยหล่อนได้นานแค่ไหนก็ไม่รู้
มือสตาร์ทรถ เสียงดังสองสามครั้งก่อนดังแชะ...เงียบสนิท หน้าปัดโชว์ไฟแดงหราเป็นรูปเครื่องยนต์
มีนาอยากกรีดร้อง...ทำไมรถเธอต้องมาเสียเวลานี้ด้วยเนี่ย!
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
ธันวาขับรถเลยไปจอดด้านหน้ามาสด้า 3 สีแดง ดับเครื่องยนต์ ไฟหน้าแล้วก้าวลงจากรถ เดินมายังรถด้านหลัง มองเห็นหญิงสาวเจ้าของรถนั่งอยู่ภายใน มือถือโทรศัพท์พูดคุยด้วยสีหน้าหงุดหงิด กังวล
จิตแพทย์หนุ่มเข้าไปใกล้ ฝ่ายเจ้าของรถเงยหน้าขึ้น สายตาสบกัน ธันวาเห็นแววโล่งอก คลายใจปรากฏขึ้นวูบหนึ่งในดวงตาหญิงสาว ก่อนจางหายเป็นเฉยเมยดังเดิม
ชายหนุ่มเคาะกระจกรถเบา ๆ มีนาวางสาย กดกระจกเลื่อนลงให้
“รถเป็นอะไร?” ธันวาถาม
หญิงสาวแกล้งถอนใจให้เห็น
“เสียสิ ไม่งั้นจะจอดแหงกอยู่นี่เหรอ” คำตอบมีอารมณ์ขุ่น
“โทรตามช่างหรือยัง” ถามอย่างใส่ใจ
“เพิ่งวางสายตอนคุณหมอธันวามานี่แหละ” หญิงสาวตอบกวน ๆ
“เปิดประตูรถหน่อย จะเข้าไปนั่งรอเป็นเพื่อน” คำพูดกึ่งสั่งแต่เป็นน้ำใจที่ธันวาไม่มีให้ใครง่าย ๆ
“ไม่ต้องเข้ามาหรอก ยังไม่อยากโดนทำมิดีมิร้ายตอนนี้” มีนาแกล้งเลี่ยงเฉไฉ
ธันวาก้มตัวลงมา พูดย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
“มีนาเปิดประตูรถ”
ได้ยินน้ำเสียงแบบนี้ก็รู้ชัด เขาเอาจริง
มีนาเตรียมเอ่ยปากปฏิเสธตรงไปตรงมา แล้วต้องชะงัก เหลียวมองรอบตัวด้วยใจหวั่น แววตากังวล ก่อนถอนใจถือทิฐิ กัดฟันตอบรัวเร็ว
“ไม่ต้อง...ฉันนั่งรอคนเดียวได้”
หากได้ยินคำตอบนี้ในสถานการณ์อื่น ธันวาคงพยักหน้ารับทราบ พร้อมเดินกลับรถตนเองโดยไม่เหลียวหลัง แต่อากัปกิริยา แววตาหญิงสาวสะดุดใจให้เขาเริ่มเห็นความผิดปกติ
ชั่วขณะนั้น จิตใจผ่อนคลาย แผ่กว้างตามธรรมชาติโดยไม่บังคับ สัมผัสถึงกระแสหม่นซึมลอยเอื่อยโดยรอบ กลิ่นเหม็นจาง ๆ กระทบฆานประสาทวูบหนึ่ง สัมผัสเร้นลับในตัวก่อให้เกิดจินตภาพในหัวถึง ‘ใคร’ หรืออะไรบางอย่างยืนโอบล้อมรถห่าง ๆ
‘พวกนั้น’ ไม่มีเจตนาร้าย หนำซ้ำยังเต็มไปด้วยกระแสความรู้สึกทดท้อ อ่อนแอ หวังขอความช่วยเหลืออย่างชัดเจน
สายตาธันวามองไม่เห็นสิ่งแปลกปลอมใด นอกจากต้นหญ้าข้างทาง ต้นไม้ใหญ่ด้านล่าง รถราแล่นผ่านไปมา แต่ความรู้สึกในใจบอกชัดถึงสิ่ง ‘ผิดปกติ’ ยิ่งพอสังเกตแววตาหญิงสาวในรถก็เข้าใจ
มีนาน่าจะมองเห็นสิ่งแปลกปลอมต่างภพ ‘อย่างเคย’ คนที่โตมาด้วยกันอย่างเขารู้ดี เพียงแต่เวลานี้เธอยังสงบใจ ไม่โวยวายแบบตอนเด็กได้ อาจเป็นเพราะอำนาจตะกรุดคล้องคอ ช่วยปิดสวิตช์ให้ช่วยคราว แต่ไม่ได้หมายความว่า เครื่องรางนี้จะมีพลังปาฏิหาริย์ขับไล่ภูตผีใด ๆ
‘พวกนั้น’ จึงวนเวียนรอบรถ จนเธอกับเขารู้สึกได้
“เปิดประตู” ธันวาพูดเสียงหนัก จริงจัง
มีนาสบตาชายหนุ่ม รู้ว่าเขามีเจตนาจริงตามพูด...ธันวาไม่ใช่คนพูดจาร่ำไร หากเสนอความช่วยเหลือกับใครแล้ว อีกฝ่ายปฏิเสธ เขาจะนิ่ง ไม่เซ้าซี้ออกคำสั่งซ้ำแบบนี้
ที่ชายหนุ่มยืนยันเจตนาของตน แสดงว่าเขารู้ เธอกำลังประสบปัญหาใด
หญิงสาวถอนใจ ไม่พูดอะไรมาก นอกจากปลดล็อคประตู ให้ธันวาเดินอ้อมมาเปิดแล้วเข้ามานั่งโดยเจ้าของรถไม่จำเป็นต้องออกปากเชื้อเชิญ
เมื่อจิตแพทย์หนุ่มอยู่ในรถ มีนารู้สึกถึงกระแสอบอุ่น ปลอดภัยแผ่ออกมาจากร่างเขา ต่อให้อีกฝ่ายไม่พูดจามากความ ลักษณะท่าทางที่มั่นคง เชื่อมั่นตนเอง และจิตที่ปรารถนาช่วยเหลือ ก็ทำให้คนอยู่ใกล้อุ่นใจแล้ว
“รถอาการเป็นยังไง” ชายหนุ่มถามเหมือนหาเรื่องคุยมากกว่าคิดช่วยซ่อมแซม
มีนาทดลองสตาร์ทรถให้เขาดูแทนคำตอบ
ธันวาเห็นไฟหน้าปัดโชว์รูปเครื่องยนต์ก็เข้าใจ
“นั่งรอช่างนานหรือยัง” ชายหนุ่มถามต่อ ไม่อยากให้ในรถเงียบเกินไป
“ตั้งแต่วางสายตะกี้ไง” ตอบอย่างนี้แสดงว่าเมื่อครู่เจ้าหล่อนเพิ่งคุยกับช่าง
คุณหมอหนุ่มเหลือบตามองหญิงสาว รู้ว่าอีกฝ่ายไม่อยากคุยด้วย จึงไม่พยายามหาเรื่องคุยอีก
ในรถไม่มีบรรยากาศอึดอัด กระอักกระอ่วนใด ความคุ้นเคยตั้งแต่เด็กทำให้ทั้งสองนั่งอยู่เงียบ ๆ ด้วยกันได้
พอความเงียบคลี่คลุม บรรยากาศยะเยือกภายนอกก็ซึมแทรกเข้ามาในรถ บังเกิดความเย็นแปลกแผ่ซ่าน สายลมไร้ที่มาสัมผัสแผ่วผิวกาย คล้ายมีใครสะกิดต้องการพูดคุยด้วย
ธันวารู้สึกชัดว่าไม่ได้อยู่ตามลำพังกับมีนา ด้านข้างรถทั้งสอง บนฝากระโปรงหน้า ล้วนมีแขกไม่ได้รับเชิญรายล้อม
มีนาใช้ปลายนิ้วสัมผัสตะกรุดที่คอเบา ๆ ช่วยให้จิตใจอบอุ่นเป็นระยะ ถึงกระนั้นยังรับรู้ว่า ‘พวกเขา’ ไม่ไปไหน ต่างยืนอยู่รอบรถด้วยจุดประสงค์บางอย่าง
“ทิ้งรถไว้ที่นี่ก่อนมั้ย แล้วนั่งรถฉันเข้าเมือง” ธันวาเอ่ยปากเสนอทางเลือก
“ไม่ต้องหรอกย่ะ เดี๋ยวช่างมาแล้วไม่เจอฉัน” หญิงสาวปฏิเสธด้วยความเป็นห่วงรถ
ชายหนุ่มถอนใจ เพราะรู้ว่าคงได้ยินคำตอบนี้ตั้งแต่แรก จึงเลือกที่จะเข้ามานั่งในรถเป็นเพื่อนก่อน แล้วค่อยชวนเข้าเมืองด้วยกัน
เมื่อหญิงสาวไม่ยอมไปไหน และ ‘พวกนั้น’ ก็ยังล้อมรอบรถ สร้างบรรยากาศอึมครึม หม่นซึมครอบคลุม กดดันจนจิตใจเริ่มกระสับกระส่าย ธันวาจึงหาวิธีคลี่คลาย
“ร้องเพลงให้ฟังหน่อยสิ” วาจาไม่ถึงกับออกคำสั่ง แต่ไม่ใช่คำขอร้องแน่
มีนามองอย่างฉุน ๆ หมั่นไส้ผู้ชายที่พูดจาเหมือนสั่งตลอดเวลา
“หือ...อย่าคิดว่าเป็นคุณหมอ...มานั่งรอเป็นเพื่อนแล้วจะสั่งโน่นสั่งนี่ได้นะยะ” น้ำเสียงกรุ่นโทสะ
ชายหนุ่มไม่สนใจอารมณ์ขุ่นมัวอีกฝ่าย แค่เอ่ยปากอธิบาย
“เธอไม่มีคาถาไล่ผีอย่างคุณปู่...ฉันเลยคิดว่า ถ้าเธอร้องเพลง อาจได้ผลเหมือนกัน”
“ไอ้หมาธัน...ไอ้หมอโรคจิต!” เจอคำอธิบายแบบนี้ โปรดิวเซอร์สาวปรี๊ดแตก โมโหที่ชายหนุ่มเปรียบเทียบเสียงเพลงเธอ กับคาถาไล่ผี
ดวงตาธันวาฉายรอยขัน คำด่าทอประโยคนี้ น้องชายเขามักโดนเมษา...น้องสาวมีนาว่าให้ประจำ...
ขนาดเจ้าหล่อนนิสัยตรงข้ามน้องสาวอย่างนี้ เวลาโมโหก็เผลอหลุดปากด่าพวกเขาไม่ต่างกัน หรือสองสาวพี่น้องข้างบ้าน ไม่รู้จักสรรหาคำอื่นมาด่าอีกแล้ว
หลุดปากแว้ดด่าจบ มีนาฉุกใจคิดได้ มองหน้าธันวาตรง ๆ
“เดี๋ยวหมอ...แก... ‘เห็น’ อย่างฉันเหมือนกันเหรอ”
“ไม่เห็น แต่รู้สึกชัด” คุณหมอหนุ่มตอบรับ “ถ้าเธอไม่มีปัญญา ‘ไล่’ พวกเขา ก็น่าจะ ‘เปิด’ รับดีกว่ามั้ย...ปู่ฉันเคยบอกว่า...การที่พวกเขามาหาเพราะต้องการความช่วยเหลือ ส่วนมากจะขอส่วนบุญ...เรื่องนี้ปู่เธอไม่เคยสอนเหรอ”
ปู่ฉัน...ปู่เธอ เป็นสองสหายผู้ทรงเวท เพื่อนรักเพื่อนตายผูกพันกันมานานเกินกว่าครึ่งศตวรรษ เคยร่วมมือสร้างวีรกรรมช่วยเหลือผู้คนด้วยอาคม ไสยเวทมาตั้งแต่สมัยหนุ่ม
มีนาถอนใจเฮือกใหญ่ มองชายหนุ่มด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“นี่...คุณหมอ แกแค่รู้สึก แต่ฉันน่ะ ‘เห็น’ เต็ม ๆ เลยนะ รู้มั้ยว่ามันน่ากลัวแค่ไหน”
“ก็...เพราะคิดว่ามันคงน่ากลัว เลยมานั่งในรถเป็นเพื่อน”
ธันวาพูดเรียบ ๆ ไม่แสดงอารมณ์เป็นห่วง ผู้ฟังอย่างมีนากลับบังเกิดความอบอุ่นซ่านเข้าไปในหัวใจ รู้เหตุผลที่เขามาเคาะกระจก ยืนยันจะนั่งรอ ทั้งที่หล่อนกวนประสาทแสดงท่าไม่เต็มใจขนาดนี้
มันเป็นการกระทำที่ชายหนุ่มไม่มีให้ใครบ่อยนัก
หญิงสาวสงบใจ คิดถึงคำแนะนำของอีกฝ่าย...ถ้าไม่มีปัญญา ‘ไล่’ ก็ ‘เปิด’ รับกันให้รู้ไปเลยว่าพวกเขาต้องการอะไร
มีนาละมือจากตะกรุดที่คอ ปล่อยใจเปิดกว้างตามปกติ ระบายลมหายใจที่คั่งค้างในปอดออก ทอดสายตากว้างโดยไม่โฟกัสจุดใดเป็นพิเศษ ลดเกราะต่อต้านลง แล้วใจค่อยเปิดสวิตซ์เองโดยอัตโนมัติ
ธันวานั่งด้านข้าง คอยสังเกตอากัปกิริยาหญิงสาว เห็นแววตาหล่อนตื่นกลัวเมื่อมองผ่านกระจกหน้า มือสั่นน้อย ๆ ขณะเหลียวดูรอบรถ จากนั้นค่อยตั้งสติ ข่มความกลัว ริมฝีปากขยับเบา ๆ จับใจความว่าเป็นบทแผ่เมตตา และอุทิศส่วนกุศลที่ปู่เคยสอนสมัยเด็ก
มีนาสงบลง นั่งนิ่งท่าทางตั้งใจ ‘ฟัง’ อะไรบางอย่างที่โสตประสาทคนธรรมดาทั่วไปไม่อาจรับรู้ได้
ผ่านไปครู่ใหญ่ หญิงสาวผ่อนคลายลง ธันวารับรู้ถึงบรรยากาศรอบตัวแปรเปลี่ยน ความอึดอัด หม่นซึมจางหายไปแล้ว กระแสเย็นวูบที่พยายามครอบงำความรู้สึกคลี่คลายลง รอบรถปลอดโปร่ง ไม่มี ‘สิ่งมองไม่เห็น’ ห้อมล้อมอย่างเมื่อครู่
“คุณหมอคะ...เชิญลงจากรถได้แล้ว” มีนาหันมาบอกอย่างจงใจ ‘สุภาพ’
ชายหนุ่มแค่เหลือบตามองเฉย ๆ เป็นเชิงว่าได้ยินคำพูด แต่ไม่ยอมขยับตัว
“พวกผีไปหมดแล้ว จะอยู่นี่ทำไม ฉันนั่งรอช่างคนเดียวได้” คราวนี้ไล่กันตรง ๆ
ธันวาใช้อาการนิ่ง ไม่ตอบโต้แทนการปฏิเสธ อย่างไรเสียมีนาไม่มีปัญญาฉุดลาก หรือกล้าถีบเขาลงจากรถแน่
โปรดิวเซอร์สาวถอนใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้ควรจัดการชายหนุ่มข้างกายอย่างไร...สุดท้ายยอมแพ้ ปล่อยให้นั่งในรถต่อไป...ช่างซ่อมรถคงมาถึงในเวลาไม่นาน อดทนจนถึงตอนนั้นแล้วกัน...
ระหว่างนั่งรอช่าง มีนาเกิดอาการกระสับกระส่าย คันปากอยากพูด อยากระบายเรื่องราวที่ตนเพิ่งรับรู้มา พยายามสะกดกลั้นเอาไว้ ไม่อยากสนทนากับชายหนุ่ม สุดท้ายทนไม่ไหว หลุดปากออกมาจนได้
“นี่...อยากรู้มั้ย ผีพวกนั้นบอกอะไรกับฉัน”
“ถ้าเธออยากเล่า ฉันก็จะฟัง” ชายหนุ่มบอกง่าย ๆ
มีนาอยากฟาดคุณหมอปากหนักสักผัวะ ให้สมกับอาการเฉยเมย ทำราวกับหล่อนเป็นคนไข้โรคจิตที่มาเล่าปัญหา อาการให้เขาฟัง
แต่หล่อนต้องระงับอารมณ์ ไม่แสดงความสนิทสนมกับเขาขนาดนั้น
นับจากวันที่เกิด ‘เรื่อง’ เคืองใจกันสมัยวัยรุ่น มีนาก็ขีดเส้นความสัมพันธ์กับธันวาไว้แค่ ‘คนรู้จัก’ พูดจาสนทนาตอนเจอกันตามปกติ มีหยอกล้อบ้าง ไม่ให้พวกผู้ใหญ่หาว่าหล่อนเป็นผู้หญิงเจ้าอารมณ์ ขี้งอน ไม่เป็นผู้ใหญ่ แต่ยิ่งใกล้กันมากเท่าไหร่ ก็อดไม่ได้ที่จะปล่อยให้ความคุ้นเคย สนิทสนมแบบเดิม ๆ กลับมา
“คืออย่างนี้...”
หลุดประโยคแรกออกมาแล้วก็หยุด...พยายามระงับวาจา หวังให้ชายหนุ่มเกิดความอยากรู้ ยอมเป็นฝ่ายรบเร้าเอง แต่ผู้ชายอย่างธันวาไม่มีทางทำแบบนั้น
ด้วยความคันปากอยากเล่าเต็มแก่ และแถวนี้นอกจากตัวหล่อนแล้ว สิ่งมีชีวิตที่พูดได้ ฟังเป็น ก็มีแค่ผู้ชายคนนี้เท่านั้น อดใจไม่ไหวต้องหลุดเรื่องราวออกมาในที่สุด
“ผีที่มาล้อมรถฉันน่ะ เป็นพวกตายด้วยอุบัติเหตุแถวนี้ทั้งนั้น พวกเขามาขอส่วนบุญจริง ๆ แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นคือเจ้าตัวที่ยืนอยู่หน้ารถน่ะคือเสี่ยหมง...คนที่เพิ่งขับรถแหกโค้งชนต้นไม้ล่าสุดนี่ล่ะ...รายนี้มาขอความช่วยเหลืออย่างอื่น...”
มีนาจงใจขยักไว้ ให้ชายหนุ่มเป็นฝ่ายถาม
“อืมม์” ธันวาพยักหน้ารับทราบ ไม่แสดงท่าทางแปลกใจ ไม่เอ่ยถามกล่าวเสริม เพิ่มสีสันความตื่นเต้นในการสนทนา
ได้ยินอย่างนี้มีนาผิดคาด อึ้งชั่วขณะ จนนึกได้ว่า ผู้ฟังคือจิตแพทย์ชื่อธันวา...หมอโรคจิตแบบนี้ คงไม่พูดแทรก เอ่ยถาม หรือแสดงความเห็นใด นอกจากปล่อยให้ ‘คนบ้า’ อย่างหล่อนพล่ามจนจบเรื่องเอง
“เออ...ช่างเถอะ” จู่ ๆ คนคันปากก็หมดอารมณ์อยากเล่าเสียเฉย ๆ
คราวนี้จิตแพทย์หนุ่มกลับมีวาจาย้อนถามที่หล่อนคาดไม่ถึง
“เสี่ยหมงเขามาบอกเธอว่าโดนฆาตกรรมหรือไง?”
“ใช่...เอ๊ะ...รู้ได้ไง” มีนาสงสัย
“คุณณีรนุช พี่สาวเขาเป็นคนไข้ฉันเอง”
คำอธิบายง่าย ไม่ซับซ้อนกลับทำให้โปรดิวเซอร์สาวตกใจในแวบแรก แล้วเปลี่ยนเป็นดีใจที่พบโอกาสสำคัญอย่างคาดไม่ถึง
“ว้าย จริงเหรอ เยี่ยมไปเลย รู้มั้ยฉันกำลังอยากสัมภาษณ์เขาอยู่พอดี” หญิงสาวตื่นเต้น
การมาเก็บข้อมูลคดีเพื่อทำตัวอย่างรายการนั้น หล่อนเตรียมขอสัมภาษณ์คุณณีรนุช พี่สาวเสี่ยหมงอยู่แล้ว เพราะเธอเป็นคนเดียวที่ออกมาโวยวายว่าน้องชายถูกฆาตกรรม
“ธันวา...คุณหมอรูปหล่อ” มีนาพยายามทำเสียงหวานสุดฤทธิ์ “ช่วยแนะนำเขาให้หน่อยได้มั้ย...น้า...นะนะ”
ถ้าไม่ติดว่าเป็นแค่ ‘คนรู้จัก’ มีนาคงเขย่าแขนออดอ้อนเขาเหมือนสมัยวัยรุ่นไปแล้ว
ธันวาไม่ตอบ สายตาเขามองออกไปนอกรถ ดูถนนที่ยวดยานบางตา ก่อนเอ่ยปากอีกเรื่อง
“ช่างซ่อมรถของเธอมาแล้วล่ะ”
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
< Prev | Next > |
---|