วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เร้น ๑



Ren



ชลนิล



บทนำ




            หมอกหนาสีเทาเข้มกระจายรอบบริเวณ ก่อเป็นม่านหนาคลี่คลุมทุกทิศทาง ยากแหวกออกไป ไม่สามารถมองเห็นทุกสิ่งรอบตัว

            สมอง ‘เขา’ มึนเบลอเรื่องราวในหัวกลวงเปล่า คล้ายเพิ่งฟื้นจากสลบ ตอบไม่ถูกตนเป็นใคร มาจากไหน กำลังทำอะไร

            ร่างยืนนิ่งกลางกลุ่มหมอกโดยไม่รู้ทิศทางเหนือใต้ ตอบไม่ถูกควรก้าวออกไปทางไหน กระทั่งโสตประสาทแว่วเสียงหวีดหวิวแปลก

            ...วี้ด...ด...ด...วิ้ว...ว...ว

            กระแสเสียงดังมาจากเบื้องหน้า ฟังแล้วเสียดแทงเข้าไปในใจกระตุ้นความหวาดกลัวให้ตื่นขึ้นมา เขาก้าวถอยหลังสองสามก้าว ความกลัวอย่างประหลาดแล่นพล่านไปทั่ว

            ขนาดมองไม่เห็นหน้าตา สัมผัสแค่เสียงก็รู้สึกว่า ‘สิ่งนั้น’ ชวนหวาดหวั่น ประมาทไม่ได้

            ...ฟู่...ฮือ...

            เสียงจากด้านหลัง ฟังคล้ายลมหายใจจากสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่กำลังซุ่มดัก รอคอยให้ถอยไปหามัน ทำให้ขาสองข้างแข็งทื่อก้าวไม่ออก

            ...พึ่บพั่บ...พึ่บพั่บ...บ..บ..

            คราวนี้เป็นเสียงกระพือของสัตว์ปีกขนาดใหญ่จำนวนไม่ต่ำกว่าสิบตัว แข่งกันบินวนหมุนอยู่รอบ ๆ ส่งผลให้เกิดกระแสลม พัดหมอกกระจายจางตัวทีละน้อย

            ในใจเต้นระรัวด้วยความหวาดกลัว ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง รอบกายล้วนเต็มไปด้วยอันตราย...อันตรายที่มองไม่เห็นแต่สามารถสั่นประสาท ทำให้ขาแข็ง กระตุ้นความกลัวจนบอกไม่ถูก

            ‘หนี!’

            คราวนี้เป็นเสียงในหัวเขาเอง ตะโกนร้องดังลั่นทะลุความกลัวขึ้นมาให้กระโจนหนีจากจุดที่ยืนอยู่ สำนึกรู้บางอย่างบอกว่า เมื่อไรหมอกจางหาย ปรากฏร่างเจ้าสัตว์ประหลาดที่รายล้อม เขาคงไม่มีโอกาสรอด ไม่มีโอกาสหลบหนีอีกต่อไป

            ความกลัวขีดสุด ปลุกความกล้าที่หลับไหลให้ฟื้นตื่น

            ในใจบอกต่อตนเองว่า...ทั้งหน้า-หลัง ซ้ายขวารอบตัวล้วนไม่ปลอดภัย อย่างไรเสียต้องเลือกสักทาง หมอกหนาขนาดนี้ยากที่จะรู้ว่าทิศทางใดอันตรายมากสุด

            หากต้องเลือก...ขอเลือกไปข้างหน้า ไม่สนใจเสียงหวีดหวิวซึ่งกำลังรอคอยอยู่ทางทิศนั้น

            แรก ๆ ฝืนก้าวขาอย่างเชื่องช้า ทั้งที่ใจอยากวิ่งตะบึงจนสุดแรง หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว แต่ละก้าวคล้ายมีแรงดึงดูดคอยฉุดรั้งเอาไว้

            เสียงหวีดหวิวข้างหน้าเดี๋ยวดังเดี๋ยวเบา ขยับเขยื้อนเข้าใกล้ บางครั้งถอยห่างยากคาดเดาจิตใจ ขณะที่เสียงลมหายใจด้านหลังถี่กระชั้นชัดเจน ราวกับมันรู้ว่าเหยื่อกำลังหลบหนี

            หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว หมอกหนาแหวกเป็นทาง แข้งขาเชื่อฟังคำสั่งทำงานคล่องขึ้น ร่างกายเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วกว่าเดิม

            พึ่บพับ...เสียงกระพือปีกดังวนเวียนเหนือหัว คอยติดตามเขาจากเบื้องบน เมื่อใดที่หมอกเลือนหาย มันก็พร้อมโฉบลงมาจัดการเหยื่ออย่างง่ายดาย

            ความหวาดกลัวต่ออันตรายผลักดันให้วิ่งไปข้างหน้า เสียงลมหายใจสัตว์ร้ายถี่กระชั้นไล่หลังมาเรื่อย ๆ

            ไล่มา...ไล่มา...ทำให้ต้องวิ่ง...วิ่ง...วิ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลัง

            เขาหนีโดยไม่สังเกตสนใจทุกสิ่งรอบตัว ทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งชีวิตเพื่อหลบหลีกจากสิ่งที่มองไม่เห็น...มันเป็นเรื่องโง่ บ้าขนาดไหนก็เหลือจะอธิบาย

            สุดท้ายเหมือนทั้งร่างหลุดผัวะออกมายังอีกสถานที่หนึ่ง

            เขายืนนิ่ง ขาหมดแรงเสียเฉย ๆ เหลียวมองรอบตัวอย่างไม่เข้าใจ

            ที่นี่เป็นถนนสายยาว ทางโค้งลดเลี้ยวใต้ปีกรัตติกาล

            ความมืดโอบล้อม มองเห็นบรรยากาศรอบตัวรำไร ดวงจันทร์กระจ่างส่องแสงนวลกลางฟ้า ระบายสีราตรีนี้ไม่ให้มืดมิดจนเกินไป

            พึ่บพั่บ พึ่บพั่บ เสียงกระพือปีกดังเหนือหัว เขารีบเงยหน้ามอง เห็นเพียงเงาดำฝูงนกประหลาดผ่านวูบไปชั่วแวบ เสียงลมหายใจจากสัตว์ประหลาดที่ไล่ล่าก็เงียบหาย มองดูด้านหลังไม่พบสิ่งใดนอกจากถนนทอดยาวใต้แสงจันทร์

            เงียบงัน นิ่งสงบ ครู่หนึ่ง

            ไม่มีเสียงลมหายใจสัตว์ร้าย ไม่มีเสียงหวีดหวิวชวนขนลุก ไม่มีเสียงขยับปีกเหนือศีรษะ รอบด้านไม่มีเงาเร้นลับใดซุกซ่อน เสมือนหนึ่งสัญญาณอันตรายเมื่อครู่เป็นแค่การหยอกล้อ ยั่วเย้า

            ทว่า...มันไม่ใช่เช่นนั้น

            เพียงครู่เดียวเขาเริ่มรู้สึก ถนนสายนี้ไม่วังเวง ปราศจากผู้คนอย่างที่เห็น มันไม่เงียบสงัดเลย เพราะต่อให้มองไม่เห็น ไม่ได้ยินสรรพเสียงแปลกปลอม ส่วนลึกในใจบอกต่อตนเองว่า...เขาไม่ได้อยู่เพียงลำพัง

            เขารู้สึกถึงการจ้องมองจากริมถนน ข้างทาง กระทั่งใกล้ตัวยังเหมือนมีความเคลื่อนไหวไปมามากมาย มีเสียงพูดจา หัวเราะขำขัน เพียงแค่เขาไม่ได้ยิน มองไม่เห็นเท่านั้น

            ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้ใจสั่นสะท้าน รีบก้าวจากจุดที่ยืน พยายามหลีกหนีบรรยากาศแปลกประหลาดให้ไกล

            เดินไป...เดินไป...สายตามองเห็นวงแสงรำไรอยู่ข้างทางไกล ๆ มันเป็นแสงสว่างชัดเจนจุดเดียวท่ามกลางความมืด

            เขาเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหาต้นกำเนิดแสงนั้น แอบหวังในใจลึก ๆ ให้มันเป็นสถานที่ปลอดภัย ไม่มีสิ่งชวนตะครั่นตะครอใจ

            ใกล้เข้าไปทีละน้อย หูแว่วเสียงครางหึ่ง หึ่งของเครื่องยนต์บางอย่าง มันเป็นเสียงที่ต่างจากสรรพเสียงชวนหวาดหวั่นในตอนแรก

            วงแสงนั้นชัดเจนขึ้น พอเห็นราง ๆ ว่าเกิดจากแสงไฟหน้ารถส่องกระทบพื้น เสียงครางหึ่ง หึ่งของเครื่องยนต์ยังทำงานอยู่

            มันเป็นรถเก๋งคันใหญ่ ไถลลงจากถนน ชนต้นไม้ที่อยู่ด้านล่าง กันชนหน้ายู่เข้าไปจนถึงหม้อน้ำ กระจกหน้ารถโดนกิ่งไม้หักฟาดเกิดรอยแตกร้าวเป็นใยแมงมุม

            ขณะเขาเดินลงจากถนน เครื่องยนต์เริ่มสะดุดสำลัก เสียงขาดหายเป็นช่วง ๆ ดวงไฟริบหรี่ลง กระทั่งมาถึงซากรถ เครื่องยนต์สำลักสองสามครั้งก่อนดับสนิท ไฟหน้าค่อยหรี่แสงใกล้ดับตาม

            ภายในหัวอันว่างเปล่าของเขาเกิดความทรงจำแวบผ่านแล้วเลือนหาย พยายามเค้นให้มันกลับมาก็แสนยากเย็น คล้ายภาพจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจายนำมาเรียงคืนด้วยความยากลำบาก

            เขาผ่อนคลายอาการเค้นความทรงจำ มองซากรถที่เกิดอุบัติเหตุด้วยความสงสัยในใจ เกิดความคุ้นเคยบางอย่างทำให้ก้าวเข้าไปใกล้รถอย่างลืมตัว ลืมความหวาดกลัวต่าง ๆ ชั่วคราว

            เขาเพ่งมองผ่านกระจกรถด้วยความรู้สึกแปลก ภายในนั้นไม่สว่างเท่าด้านนอก หนำซ้ำกระจกยังปิดสนิท ไม่น่ามองเห็นอะไรได้

            ทว่า...เขากลับมองเห็นภายในรถชัดเจน...ชัดเสียจน...น่าขนลุก

            ร่างคนขับกระแทกกับพวงมาลัย ไม่ได้คาดสายนิรภัย ใบหน้าอาบเลือดหันมาทางกระจกเหมือนจงใจอวดโฉมให้บุคคลภายนอกมองเห็นถนัดตา

            แวบ...แวบ...แวบ...และแล้วในหัวเขาเริ่มปะติดปะต่อความทรงจำขึ้นมาได้

            ความทรงจำปรากฏขึ้นเป็นห้วง ๆ บอกให้รู้ว่าเขาเป็นใคร มาทำอะไรอยู่ที่นี่!

            พอความเข้าใจแรกเริ่มกระจ่าง หูก็แว่วเสียงหัวเราะขำขัน พูดคุยดังมาจากบนถนน

            เขาเงยหน้าขึ้นไปพบว่า...ถนนสายนี้ไม่ได้ร้างผู้คน มันไม่เคยร้างมาแต่ไหนแต่ไร เพียงแต่เขามองไม่เห็นเท่านั้นเอง

            เสียงหัวเราะดังมาจากใบหน้าซีดขาวจนเผือด ของชายหญิง เด็กผู้ใหญ่ที่ยืนเรียงรายแลครืดไปหมด สายตาแต่ละคู่จ้องมองมายังเขาด้วยแววตาสมเพช ขำขัน

            เบื้องบนสูงกว่านั้นมีนกประหลาดบินวนเวียนเป็นฝูง คล้ายกำลังจับจ้องทุกการกระทำของเหล่าผู้ที่อยู่ด้านล่าง

            เขาเห็นหน้าตาคนขับรถแล้ว...ความทรงจำบอกชัด...นั่นคือตัวเขาเอง

            เวลานี้เขาตายไปแล้ว กำลังอยู่ในสถานที่ใดที่หนึ่ง ในโลกหลังความตาย ท่ามกลางภูตผี วิญญาณมากมาย ที่กำลังยืนเรียงราย ต้อนรับ ‘น้องใหม่’ อย่างขบขันแกมสมเพช

            ความน่ากลัวเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น








บทที่ ๑



            ‘เธอ’ ถูกล็อคคอ จ่อมีด จี้เป็นตัวประกัน

            ปลายมีดชิดคอหญิงสาวเรียกเลือดซิบ ๆ ใบหน้าเธอซีดเผือด แววตาตระหนก ริมฝีปากสั่นระริก หยาดน้ำตาพร่างพรู แข้งขาอ่อนแทบยืนไม่อยู่

            ชายผิวคล้ำร่างใหญ่ใบหน้ากร้าว ดวงตาทอประกายสับสน ดุร้าย สติแตกกำลังล็อคคอหญิงสาวเอาไว้ ใบหน้าขยับไปมาคอยมองตำรวจ เจ้าหน้าที่ อย่างระแวดระวัง

            กลุ่มไทยมุงยืนโอบล้อมห่าง ๆ เว้นระยะพอสมควรให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ต่อรองตัวประกันเข้าไปพูดคุย เกลี้ยกล่อม โน้มน้าวใจ

            เหตุการณ์นี้เกิดเวลาเช้า บนชานชาลารถไฟฟ้า ผู้คนต่างเร่งรีบเดินทางไปทำงาน

            ตัวประกันเป็นหญิงสาวพนักงานออฟฟิศร่างเล็ก บอบบาง เธอมายืนรอรถไฟฟ้าเช่นเดียวกับมนุษย์เงินเดือนคนอื่น เคราะห์ร้ายโดนจับเป็นตัวประกันโดยชายแปลกหน้า ท่าทางสติไม่สมประกอบคนหนึ่ง

            การเจรจาเต็มไปด้วยความตึงเครียด เหล่าไทยมุงล้วนจดจ้องสนใจเหตุการณ์ตรงหน้า หลายคนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาบันทึกเหตุการณ์ ไม่สนใจว่าตนจะไปทำงานสายเพราะรถไฟฟ้าหยุดเดินรถ

            ชายหนุ่มร่างสูง สวมแว่นกันแดด ผิวขาวอมชมพูใส่เสื้อยืดสีเทา กางเกงยีน สะพายเป้หลัง ขึ้นบันไดเลื่อนมาพร้อมกับผู้โดยสารรถไฟฟ้าคนอื่น

            ขณะที่ผู้คนเพิ่งมาใหม่ให้ความสนใจเหตุจี้ตัวประกัน เข้าไปสบทบกลุ่มไทยมุง ชายคนนั้นกลับเฉยเมย ไม่มีทีท่าสนใจ เดินอ้อมกลุ่มไทยมุงออกมายืนห่าง ๆ ราวกับไม่เห็นเป็นเรื่องควรเสียเวลาสนใจ

            แว่นกันแดดสีเข้มปิดบังแววตา ความรู้สึก สันจมูกโด่งคมรับกับริมฝีปากได้รูปสวย ทว่ามันมักหุบสนิทเป็นนิตย์ ยากเผยรอยยิ้มออกมาง่าย ๆ

            ถึงไม่สนใจมองอย่างไร หูก็ยังแว่วเสียงพูดจา โต้ตอบระหว่างเจ้าหน้าที่ต่อรองฯ กับคนร้ายเป็นระยะ

            “ใจเย็น ๆ มีอะไรพูดกันได้...ต้องการอะไรบอกมา”

            “กูไม่เอาอะไร กูอยากตาย”

            “ได้...ได้...ค่อย ๆ คุยกันดี ๆ นะ ทำไมถึงอยากตายล่ะ มีปัญหาอะไร เล่าให้ฟังได้มั้ย”

            “กูอยากตาย ไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น”

            “ไม่เป็นไร...ไม่อยากพูดไม่ต้องพูดก็ได้...น้องผู้หญิงเขาร้องไห้จะเป็นลมอยู่แล้ว ปล่อยเขาก่อนนะ”

            “ไม่ปล่อย กูจะเอานังนี่ไปตายกับกูด้วย”

            “โธ่...น้องเขาขาอ่อน ไม่มีแรงอย่างนั้น เอาไปก็เป็นภาระเปล่า ๆ”

            เสียงพูดจาต่อรอง ซื้อเวลา เกลี้ยกล่อมคนร้าย ไม่ยอมให้เข้าใกล้ริมชานชาลา สลับกับเสียงตะโกนกรรโชกโฮกฮาก ตอบโต้ดังมาเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด

            ตำรวจเพิ่มกำลังมากขึ้น กันผู้ไม่เกี่ยวข้องออกห่าง แล้วยืนโอบล้อมประจำจุดโดยไม่ให้คนร้ายผิดสังเกต ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายลากหญิงสาวกระโดดลงบนรางฆ่าตัวตายได้

            ชายหนุ่มสวมแว่นดำขยับตัวหลบตำรวจ ถอนใจเบากึ่งรำคาญใจ ไม่อาจบอกได้ว่ารำคาญเหตุการณ์ตรงหน้า หรือรำคาญเจ้าหน้าที่ต่อรองฯ ที่ไม่สามารถปิดงานเผด็จศึกได้สักที

            ช่วงเวลาสำคัญกระชั้นใกล้ คนร้ายแสดงท่าทางเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า นักเจรจาต่อรองก้าวเข้าไปใกล้ พูดจาดึงดูดความสนใจ ขณะที่ตำรวจเคลื่อนตัวปิดทางหนีด้านหลังอย่างแนบเนียน

            วินาทีเข้าชาร์จมาถึงตอนคนร้ายเผลอ

            นักเจรจาต่อรองกับตำรวจร่วมมือ ในจังหวะเวลาเหมาะสม ตอนคนร้ายเผลอ พุ่งเข้าใส่ ล็อคตัวปลดอาวุธ ช่วยเหลือตัวประกันออกมาอย่างปลอดภัย

            ...แต่แล้ว...เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น!

            ต่อให้ปลดมีดในมือคนร้ายสำเร็จ ขณะที่ทุกคนคลายใจ คนร้ายกลับคว้ามีดอีกเล่มที่แอบเหน็บไว้ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาตวัด กรีดเรียกแผลบนท่อนแขนนักเจรจาต่อรอง หยาดเลือดกระเซ็น

            มีดที่สองกำลังยกขึ้นตั้งใจปาดคออีกฝ่าย นักเจรจาคนนั้นตั้งสติเร็ว คว้าข้อมือคนร้ายไว้ เกร็งมือบิดมีดออกห่าง พลิกสถานการณ์ทันท่วงที

            ตำรวจเข้ามาช่วยเสริม ปลดอาวุธชิ้นที่สองสำเร็จ พร้อมจับไขว้หลังใส่กุญแจมือเรียบร้อย

            เสียงปรบมือให้กำลังใจดังกราวจากเหล่าผู้เฝ้าดูเหตุการณ์ นักเจรจาต่อรองที่บาดเจ็บกลายเป็นฮีโร่ทันที

            หลังเคลียร์พื้นที่เรียบร้อย รถไฟฟ้าให้บริการตามปกติ ชายหนุ่มผิวขาวร่างสูงขยับตัวไปยืนรอทันทีที่ขบวนรถเทียบชานชาลา

            “อ้าว คุณหมอ อยู่ที่นี่เหมือนกันหรือครับ” ฮีโร่นักต่อรองผู้บาดเจ็บทักชายหนุ่มแว่นดำ

            ธันวาชะงักเท้า หันมาถอดแว่นรับคำทักทาย

            “ฮื่อ...ดีใจด้วยนะที่ทำงานสำเร็จ” แว่นกันแดดถูกถอดออก เผยดวงตาสวยใต้คิ้วหนาเรียงเส้นราวกับวาด

            “แหม...ก็เป็นวิชาที่คุณหมอ...” นักเจรจาต่อรองไม่ทันพูดจบ ธันวาก็แทรกขึ้นก่อน

            “รีบไปทำแผลเถอะ เดี๋ยวเป็นบาดทะยัก”

            ร่างสูงประเปรียวขึ้นรถไฟฟ้าอย่างไม่ใส่ใจ ริมฝีปากหยักโค้งได้รูปหุบสนิทดังเดิม นัยน์ตาไม่แสดงความยินดียินร้าย

            นักเจรจาต่อรองอมยิ้มอย่างคนรู้จักนิสัย ‘คุณหมอ’ ดี

            นายตำรวจที่อยู่ใกล้เอ่ยถามขึ้น

            “คนตะกี้เป็นหมอเหรอ คิดว่าเป็นดารา นายแบบ”

            “คุณหมอธันวา...ท่านเป็นจิตแพทย์” คำพูดแฝงรอยนิยมให้เกียรติ

            คำบอกสรรพคุณแว่วเข้าหูหญิงสาวผู้กำลังเดินขึ้นรถไฟฟ้าตามคุณหมอหนุ่ม

            ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คุณหมอผู้มีใบหน้ารูปร่างสะดุดตาขนาดนี้จะตกเป็นเหยื่อเสียงกระซิบผู้อยู่ในเหตุการณ์ และขึ้นรถไฟฟ้าขบวนเดียวกัน

            “ผู้ชายหล่อ ๆ คนนั้นเป็นจิตแพทย์...”

            “อ้าว แล้วทำไมตะกี้ไม่ช่วยตำรวจกล่อมไอ้โรคจิตนั้นล่ะ”

            “นั่นสิ ฉันเห็นเขายืนเฉย ๆ ไม่สนใจใครเลย สงสารน้องผู้หญิงจะแย่ ไม่รู้ตอนนี้ดีขึ้นหรือยัง”

            “สงสัยเขาคงเห็นว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเองมั้ง อีกอย่างก็มีทั้งตำรวจ ทั้งนักเจรจาฯอยู่แล้ว”

            “แหม...คนเป็นหมอ...จิตแพทย์ควรมีจรรยาบรรณบ้างสิ เห็นเหตุการณ์อย่างนี้ น่าจะช่วยเหลือกันบ้าง ไม่ใช่ยืนเฉย ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน”

            “เสียดายความหล่อเนอะ...หล่อแค่เปลือก ใจไม่หล่ออย่างหน้าตาเลย”

            คำพูดกระซิบกระซาบลอยเข้าหูชายหนุ่มผู้ถูกกล่าวถึงทุกคำ แว่นกันแดดถูกถอดตั้งแต่ก่อนขึ้นรถ ดวงตาปราศจากร่องรอยความรู้สึก ร่างสูงยืนพิงมุมรถไฟฟ้าโดยไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ราวกับถ้อยวาจานั้นไม่กระทบจิตใจเลย



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ใครว่าคำพูดเหล่านั้นไม่กระทบใจธันวา?

            ชายหนุ่มหงุดหงิด รำคาญในคำพูดจา กล่าวหา โดยคนพูดไม่ได้รู้เรื่องราวใดเลย

            เขาไม่ชอบถูกคนเข้าใจผิด...แต่ไม่มีนิสัยอยากอธิบาย เคลียร์ตัวเองกับใคร

            ทีมช่วยเหลือตัวประกันจะมีการวางแผน ร่วมมือทำงานอย่างรัดกุม เข้าขากันดีอยู่แล้ว ต่อให้นักเจรจาต่อรองคนนั้นจะเป็นลูกศิษย์ ก็ใช่ว่าเขาควรผลีผลามเข้าไปวุ่นวายเสนอหน้า

            เพราะนั่นอาจทำให้แผนการของ ‘ทีม’ เสียหาย

            คำอธิบายเหล่านี้ไม่มีทางหลุดจากปากธันวา

            ด้วยลักษณะนิสัยเช่นนี้ ทำให้ ‘ใครคนหนึ่ง’ เจ็บเคือง ไม่เข้าใจเขามาจนถึงทุกวันนี้

            คนคนนั้น...เป็นหนึ่งในจำนวนไม่กี่คน ที่ธันวาให้ความสำคัญในชีวิต



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            บันไดหนีไฟ

            หญิงสาวหุ่นผอมเพรียว ใบหน้าสวยเก๋ ตกแต่งคมเฉี่ยวผิวขาวเนียน ใส่เสื้อกางเกงแบรนด์เนมเข้าชุด บุคลิกมั่นใจมีเสน่ห์ ท่าทางกระฉับกระเฉงน่ามอง

            เธอหลบมาโทรศัพท์คุยกับใครบางคนด้วยสีหน้าอึดอัด กังวล แต่ยังพยายามแต่งน้ำเสียงสดใส อ่อนหวาน

            “ขอโทษจริง ๆ ค่ะพี่เป้ ตอนนี้มีนมีโปรเจกต์ใหม่ที่อยากทำอยู่พอดี” มีนา...โปรดิวเซอร์สาวพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแฝงความลำบากใจ

            “โปรเจกต์อะไรยะ ไม่ใช่ข้ออ้างไม่อยากทำงานกับฉันเรอะ”

            “โธ่...พี่เป้ขา...มีนอยากทำงานกับพี่จะตาย ไม่มีเจ้านายคนไหนเข้าใจลูกน้องได้ดีเท่าพี่เป้อีกแล้ว แต่ช่วงนี้ไม่ได้จริง ๆ” มีนาอ้อนกลับ

            “ไม่ได้ยังไง ฉันก็เห็นว่ารายการแกเพิ่งโดนยุบ”

            “รายการของมีนเพิ่งโดนยุบก็จริงค่ะพี่...แต่มีนต้องเตรียมข้อมูลไปเสนอโปรเจกต์ตัวใหม่ให้นายใหญ่นะคะ”

            “เอาเถอะ ไม่อยากทำงานกับฉันก็ตามใจ” น้ำเสียงปลายสายติดงอน ๆ

            “อย่าโกรธสิคะพี่เป้ เอาอย่างนี้มั้ย...นังแต้ว ผู้ช่วยของมีนมันเก่งมาก ฝีมือขึ้นเป็นโปรดิวเซอร์รายการเองได้แล้ว ลองให้โอกาสมันดูมั้ยพี่”

            “ฉันได้ข่าวว่ามันหัวแข็ง มีปัญหากับเขาไปทั่วไม่ใช่เหรอ”

            มีนาแอบถอนใจเบา ๆ ก่อนทำท่าฮึด พูดต่อ...

            “เด็กมันจีเนียสค่ะพี่...เลยอีโก้สูงไปหน่อย แต่มีนรับรอง กล้าเอาหัวประกันเลยว่า มันทำงานดีจริง ๆ มีหัวครีเอทีฟกว่าหลายคนในรุ่นเดียวกัน ถ้าจับจุดถูก มันทำงานถวายหัวเลย เผลอ ๆ มันอาจทำงานดีกว่ามีนด้วยซ้ำ”

            “เออ...งั้นลองให้มันมาคุยกับฉันดู”

            “ได้เลยค่ะพี่เป้...ขอบคุณจริง ๆ ที่ให้โอกาสแต้วมัน”

            “อย่าเพิ่งดีใจ ต้องลองคุยกันดูก่อน ถ้าดูแล้วไม่ไหวฉันก็ไม่เอาเหมือนกัน”

            “ไม่เป็นไรค่ะพี่ เดี๋ยวยังไงมีนจะบอกให้แต้วมันไปหาพี่ที่ออฟฟิศวันพรุ่งนี้เลยนะคะ”

            “ได้...มาตอนบ่ายก็แล้วกัน”



            วางสาย...สีหน้ามีนาผ่อนคลายลง แววตาฉายรอยยินดีอิ่มใจ ระบายลมหายใจโล่งอก ปรับสีหน้าก่อนเปิดประตูเข้าไปด้านในตัวตึก

            พอเปิดประตู พบชายหนุ่มหน้าตาดีวัยยี่สิบเศษยืนพิงผนังอยู่ข้างประตู

            “มาแอบฟังฉันหรือไงยะไอ้เต...” โปรดิวเซอร์สาวพูดใส่ ‘เตวิชย์’ พิธีกรหนุ่มหล่อที่ร่วมงานกันมาเป็นปี

            “ไม่ได้แอบ” ชายหนุ่มบอก “ผมกำลังจะออกไปตามเจ้ แต่ได้ยินเสียงคุยโทรศัพท์อยู่ก็เลยรอตรงนี้ตามมารยาท”

            “หน้าอย่างแกมีมารยาทด้วยเหรอ” หญิงสาวหมั่นไส้ “แล้วนี่ออกมาตามฉันทำไม”

            “พวกทีมงานให้มาเรียกเจ้ไปเป็นประธานตัดเค้ก ฉลองรายการเทปสุดท้ายกัน”

            “ไอ้พวกบ้า” มีนาด่าแกมขัน “รายการโดนยุบแท้ ๆ ยังมีหน้ามาตัดเค้กฉลองกันอีก”

            “ถึงรายการโดนยุบ แต่พวกเราก็ไม่มีใครตกงานสักคนนี่” ชายหนุ่มพูด ดวงตามองหญิงสาวด้วยประกายตาชื่นชม

            มีนานิ่ง ไม่ต่อวาจาด้วย พิธีกรหนุ่มจึงพูดเอง

            “นั่นเพราะเจ้ ช่วยฝากงานต่อให้พวกเรา...ทุกคนเลยทำรายการเทปสุดท้ายนี้อย่างมีความสุข”

            “เฮ้ย...ฝากอะไรที่ไหนกัน ฉันไม่ได้มีพาวเวอร์อะไรขนาดนั้น” หญิงสาวพูดอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างแกน่ะ รูปหล่อขนาดนี้ ฝีมือก็มี แถมแฟนคลับตรึม...รายการไหน ๆ หรือพวกทำซีรีย์ของช่อง ก็อยากได้ตัวแกไปทำงานทั้งนั้น”

            พิธีกรหนุ่มส่ายหน้า

            “ขนาดเจ้แต้ว ที่คอยกัด ทะเลาะกับเจ้ทุกเทป ก็ยังกล้าเอาหัวตัวเองไปรับประกัน ฝากงานให้เขา”

            มีนายิ้ม

            “ก็นังแต้วมันเก่งจริงนี่หว่า ทำงานดี มีหัวครีเอทกว่ารุ่นมันทั้งหมด มันถึงกล้าทะเลาะกับฉัน...ปัญหามันก็แค่อีโก้สูง มั่นใจเกินไปทั้งที่ประสบการณ์ยังน้อย แต่ถ้ามีโอกาสให้มันฝึกฝนเรื่อย ๆ มีเจ้านายที่เข้าใจ อ่านลูกน้องทะลุอย่างพี่เป้ รับรองมันรุ่งแน่”

            “อ้อ...เจ้ก็เลยยอมสละโอกาสตัวเอง ยกให้เจ้แต้วไปซะอย่างนั้น” พิธีกรหนุ่มประชด

            “สละที่ไหน ฉันมีโปรเจกต์ใหม่ในหัวเตรียมเสนอบิ๊กบอสอยู่แล้วย่ะ” โปรดิวเซอร์สาวพูดอวด

            ชายหนุ่มอมยิ้ม รู้ทัน

            “งั้นเรอะ...แล้วโปรเจกต์ที่ว่ามันคืออะไรล่ะ” พิธีกรหนุ่มไล่ต้อน

            มีนาอึ้ง นึกหาคำตอบไม่ทัน

            ชายหนุ่มหัวเราะ รู้แก่ใจว่านั่นเป็นข้ออ้างของโปรดิวเซอร์สาว

            “ผมรู้นะว่าเจ้อยากช่วยเจ้แต้ว เพราะพ่อเขาเข้าโรงพยาบาล เจ้เลยยอมสละโอกาสตัวเอง เพื่อให้เจ้แต้วมีงานทำ จะได้มีเงินมารักษาพ่อ”

            มีนาแกล้งถอนใจเฮือกใหญ่ ส่ายหน้ามองชายหนุ่มอย่างเอ็นดู

            “ไอ้เต...แกเห็นฉันเป็นนางเอกซีรีย์เกาหลีตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”

            “เอ้า...ถ้าเจ้ยืนยันว่าไม่ได้ตั้งใจช่วยเจ้แต้ว...ไหนบอกสิว่า โปรเจกต์ในหัวเจ้เป็นยังไง”

            ชายหนุ่มคาดคั้น

            มีนาชะงักชั่วแวบ...เพราะโดนคำถามนี้มาก่อน คราวนี้เลยได้คำตอบรวดเร็ว

            “ฉันอยากทำรายการประเภทแกะรอยคดีดัง!”



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP