ธรรมะจากพระสูตร Dhamma from Sutta
พาหิยสูตร ว่าด้วยพาหิยะผู้นุ่งเปลือกไม้
กลุ่มไตรปิฎกสิกขา
[๔๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้กรุงสาวัตถี.
ก็สมัยนั้นแล กุลบุตรชื่อพาหิยทารุจีริยะ อาศัยอยู่ที่ท่าสุปปารกะ ใกล้ฝั่งทะเล
เป็นผู้อันมหาชนสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม ได้จีวร
บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร.
ครั้งนั้นแล พาหิยทารุจีริยะหลีกเร้นอยู่ในที่ลับ เกิดความคิดคำนึงอย่างนี้ว่า
“เราเป็นคนหนึ่งในจำนวนพระอรหันต์ หรือผู้ถึงอรหัตมรรคในโลก.”
ลำดับนั้นแล เทวดาผู้เป็นสาโลหิตในกาลก่อนของพาหิยทารุจีริยะ
เป็นผู้อนุเคราะห์ หวังประโยชน์ ได้ทราบความคิดคำนึงแห่งใจของพาหิยทารุจีริยะ
จึงเข้าไปหาพาหิยทารุจีริยะถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวว่า
“พาหิยะ ท่านไม่เป็นพระอรหันต์ หรือไม่เป็นผู้ถึงอรหัตมรรคเลย
ท่านไม่มีแม้ปฏิปทาเครื่องให้เป็นพระอรหันต์หรือเครื่องเป็นผู้ถึงอรหัตมรรค.”
พาหิยทารุจีริยะถามว่า “เมื่อเป็นอย่างนั้น บัดนี้ ใครเล่าเป็นพระอรหันต์
หรือเป็นผู้ถึงอรหัตมรรคในโลกพร้อมทั้งเทวโลก?”
เทวดาตอบว่า “พาหิยะ ในชนบททางเหนือมีเมืองชื่อว่าสาวัตถี
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประทับอยู่ในพระนครนั้น พาหิยะ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นแล
เป็นพระอรหันต์ ทั้งทรงแสดงธรรมเพื่อความเป็นพระอรหันต์ด้วย.”
ลำดับนั้นแล พาหิยทารุจีริยะถูกเทวดานั้นทำให้สลดใจแล้ว
หลีกไปจากท่าสุปปารกะในทันที ได้ไปยังพระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้กรุงสาวัตถีที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่
โดยการพักแรมสิ้นราตรีเดียวในที่ทั้งปวง.
[๔๘] ก็สมัยนั้นแล ภิกษุจำนวนมากกำลังจงกรมอยู่ในที่แจ้ง.
พาหิยทารุจีริยะเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายถึงที่จงกรม
ครั้นแล้วได้ถามภิกษุเหล่านั้นว่า “ท่านผู้เจริญทั้งหลาย
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหน?
ข้าพเจ้าประสงค์จะเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น.”
ภิกษุเหล่านั้นตอบว่า “พาหิยะ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จ
เข้าไปสู่ละแวกบ้าน เพื่อบิณฑบาต”
ลำดับนั้นแล พาหิยทารุจีริยะรีบออกจากพระวิหารเชตวัน เข้าไปยังกรุงสาวัตถี
ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้กำลังเสด็จเที่ยวบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี
ผู้น่าเลื่อมใส ควรเลื่อมใส มีอินทรีย์สงบ มีพระทัยสงบ
ถึงความฝึกและความสงบอันสูงสุด มีตนอันฝึกแล้ว คุ้มครองแล้ว
มีอินทรีย์สำรวมแล้ว ผู้ประเสริฐ แล้วได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
หมอบลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้าแล้ว
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์
ขอพระสุคตโปรดแสดงธรรมที่จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์สิ้นกาลนานเถิด.”
[๔๙] เมื่อพาหิยทารุจีริยะกราบทูลอย่างนี้แล้ว
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะพาหิยทารุจีริยะว่า
“พาหิยะ เวลานี้ยังไม่สมควรก่อน
เพราะเรากำลังเที่ยวบิณฑบาตตามละแวกบ้านอยู่”
แม้ครั้งที่ ๒ พาหิยทารุจีริยะก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ดี
ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของข้าพระองค์ก็ดี รู้ได้ยาก
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์
ขอพระสุคตโปรดแสดงธรรมที่จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์สิ้นกาลนานเถิด.”
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะพาหิยทารุจีริยะว่า
“พาหิยะ เวลานี้ยังไม่สมควรก่อน
เพราะเรากำลังเที่ยวบิณฑบาตตามละแวกบ้านอยู่”
แม้ครั้งที่ ๓ พาหิยทารุจีริยะก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ดี
ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของข้าพระองค์ก็ดี รู้ได้ยาก
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์
ขอพระสุคตโปรดแสดงธรรมที่จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์สิ้นกาลนานเถิด.”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “พาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
เมื่อเห็น ก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อฟัง ก็สักแต่ว่าฟัง เมื่อทราบ ก็สักแต่ว่าทราบ
เมื่อรู้แจ้ง ก็สักแต่ว่ารู้แจ้ง พาหิยะ เธอพึงศึกษาอย่างนี้แล
พาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อเธอเห็น ก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อฟัง ก็สักแต่ว่าฟัง
เมื่อทราบ ก็สักแต่ว่าทราบ เมื่อรู้แจ้ง ก็สักแต่ว่ารู้แจ้ง
ในกาลนั้น เธอก็จะไม่มี ในกาลใด เธอไม่มี ในกาลนั้น เธอจักไม่มีในโลกนี้
ไม่มีในโลกหน้า ไม่มีในระหว่างโลกทั้ง ๒ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์.”
ลำดับนั้นแล จิตของพาหิยทารุจีริยกุลบุตร หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย
เพราะไม่ถือมั่นทันที ด้วยพระธรรมเทศนาโดยย่อนี้ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนพาหิยทารุจีริยกุลบุตร
ด้วยพระโอวาทโดยย่อนี้แล้วเสด็จหลีกไป.
[๕๐] ครั้งนั้นแล เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน
โคแม่ลูกอ่อนขวิดพาหิยทารุจีริยะให้ล้มลงปลงเสียจากชีวิต.
ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเที่ยวบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี
เสด็จกลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัต
เสด็จออกจากพระนครพร้อมกับภิกษุเป็นอันมาก
ได้ทอดพระเนตรเห็นพาหิยทารุจีริยะเสียชีวิตแล้ว
จึงตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงช่วยกัน
ยกร่างพาหิยทารุจีริยะขึ้นสู่เตียงแล้ว นำไปเผา แล้วจงทำสถูปไว้
ภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะประพฤติธรรม
อันประเสริฐเสมอกับเธอทั้งหลาย ทำกาละแล้ว.”
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
ช่วยกันยกร่างของพระพาหิยทารุจีริยะขึ้นสู่เตียง นำไปเผา และทำสถูปไว้
แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วได้นั่งอยู่ ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง
ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์ทั้งหลายเผาร่างของพาทิยทารุจีริยะ และทำสถูปไว้แล้ว
คติของเขาเป็นอย่างไร ภพเบื้องหน้าของเขาเป็นอย่างไร?”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะเป็นบัณฑิต
ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งไม่ทำเราให้ลำบาก เพราะเหตุแห่งการแสดงธรรม
ภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะปรินิพพานแล้ว.
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว
จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ดิน น้ำ ไฟ และลม ย่อมไม่หยั่งลงในนิพพานธาตุใด
ในนิพพานธาตุนั้น ดาวก็ไม่ส่องสว่าง ดวงอาทิตย์ก็ไม่ปรากฏ
ดวงจันทร์ก็ไม่สว่าง ความมืดก็ไม่มี
เมื่อใด พราหมณ์ชื่อว่าเป็นมุนี เพราะรู้ (สัจจะ ๔) รู้แจ้งด้วยตน
เมื่อนั้น พราหมณ์ย่อมหลุดพ้นจากรูปและอรูป จากสุขและทุกข์.
พาหิยสูตร จบ
(พาหิยสูตร พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๔๔)
< Prev | Next > |
---|