ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer
ทำอย่างไรจึงจะสลายอัตตาได้
ถาม – มีวิธีลดมานะอัตตาไหมคะ
มันมีหลายวิธีนะ อย่างเช่นว่าเราสังเกตดู
เมื่อไหร่ที่มีความคิดแข็งๆ ใหญ่ๆ ตันๆ ขึ้นมา ส่วนใหญ่นะ
แม้แต่เป็นความฟุ้งซ่านก็ตาม เป็นความฟุ้งซ่านแบบไม่ตั้งใจก็ตาม
นั่นน่ะมันเป็นส่วนเสริมให้เกิดความรู้สึกกระจุกในตัวตน
เป็นตัวตนที่กระจุกแน่นอยู่ในใจ
สังเกตวิธีพูด เราพูดกับใครอย่างไร เราเห็นหัวใครบ้าง เราให้ค่าใครบ้าง
ดูวิธีให้ค่าตอนที่น้ำเสียงของเราออกมา
ตอนที่กิริยา สีหน้าสีตาของเราออกมา
มันมีความเสมอกันหรือเปล่า มันมีความเสมอภาคกันหรือเปล่า
ถ้าหากว่ามันมีความเมตตาเสมอภาคกัน
นั่นแสดงว่าอัตตาของเราเบาบางลง
แต่ถ้าหากว่ามันมีสูงมีต่ำ มีบางคนที่ฉันต้องพูดเป็นพิเศษ
มีน้ำเสียง มีกิริยาท่าทีเป็นพิเศษ
หรือบางคนที่ฉันไม่ต้องแคร์ว่าจะพูดอย่างไร
ทำสีหน้าอย่างไร ไม่สนว่ามันจะรู้สึกอย่างไรกับเรา
อันนี้เรียกว่าเป็นวิธีพูดในแบบที่มีชั้นวรรณะ
แล้วก็มีความรู้สึกแบ่งเขาแบ่งเรา มีความรู้สึกอึ้งๆ ขึ้นมา
แค่สังเกตเฉยๆ แล้วดูว่าความรู้สึกหนัก ความรู้สึกเบา
ความรู้สึกประณีต ความรู้สึกหยาบที่เกิดขึ้นในใจ
เวลาที่แม้กระทั่งสมมติว่าเราจะพูดดีกับใครขึ้นมาสักคน
อันนี้พูดถึงคนทั่วไป นี่เป็นหลักการทั่วไปนะ
เวลาที่เราจะพูดดีกับใครสักคนด้วยอาการแกล้งๆ ฝืน
เพราะมีความรู้สึกว่าคนนี้ต้องไยดี พูดอะไรเป็นพิเศษขึ้นมา
มันจะมีความรู้สึกหยาบๆ ขึ้นมา มันไม่จริง มันไม่ตรง มันบิดๆ
พอเห็นอย่างนี้ พอเห็นไปบ่อยๆ สังเกตเห็นอาการทางใจบ่อยๆ
ในที่สุดจิตมันจะค่อยๆ เข้าสู่สภาพตรง
เข้าสู่สภาพอ่อนควร ไม่ใช่แกล้งอ่อนโยน
แล้วจากนั้นในการทำสมาธิ ในการเจริญวิปัสสนา
ถ้าหากว่าเรารู้สึกถึงอาการกระจุก
มีตัวมีตน มีหน้ามีตา มีดี มีทำได้ดี มีทำได้ไม่ดี
ตรงนี้ก็มองว่าสติของเรายังไม่เจริญ
แต่ถ้าหากว่าเริ่มรับรู้ได้ตามจริง
อย่างที่วันก่อนคุยกัน เรารู้สึกถึงการลากช้า แล้วก็รู้ได้ชัด
เกิดความสุข เกิดความสามารถที่จะแยกที่จะเห็น
ว่ากายอยู่ส่วนหนึ่ง ลมหายใจอยู่ส่วนหนึ่ง
ความคิดเป็นกระจุกๆ ก็อยู่อีกส่วนหนึ่ง
ตัวนี้มันจะเป็นตัวสลายก้อนอัตตาหรือว่าอุปาทานในอัตตาได้จริง
คนเรานะเวลาที่เรามาจงใจพยายามสลายก้อนอัตตา
มันจะต้องใช้อัตตามาสลาย คือความคิดที่มันเป็นตัวของเรา
มาจงใจที่จะทำให้อัตตานั้นมันถูกทำลายหายไป
ซึ่งสุดท้ายอัตตามันก็ยังคงอยู่นั่นแหละ
ต่อให้ทำลายก้อนอัตตาที่มันแข็งๆ ไปได้ ที่มันเป็นก้อนใหญ่ๆ ไปได้
อัตตาที่มีความรู้สึกว่าเราสามารถทำลายอัตตาได้ มันก็ยังคงอยู่
มันมีตัวตายตัวแทน มันมีอัตตาตัวใหม่มา
แต่ถ้าหากเราไม่ใช้ความคิด เราใช้ความรู้ เราใช้สติ
เห็นว่ากายก็ส่วนหนึ่ง ลมหายใจก็ส่วนหนึ่ง
แล้วก็ความนึกคิดก็ส่วนหนึ่ง เป็นต่างหากจากกัน
อันนี้แหละที่มันจะสลายอุปาทาน
ว่ามีเราในความคิด มีความคิดอยู่ในเรา ได้จริงในระยะยาว
พูดง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน ดูวิธีคิด ดูวิธีพูดที่มีกับคนทั่วไป
เวลาภาวนาเราดูว่า ณ ขณะหนึ่งๆ มีสติใหญ่พอที่จะแยกเห็นได้ไหม
ว่ากายก็ส่วนหนึ่ง เวทนาก็ส่วนหนึ่ง ความคิดก็ส่วนหนึ่ง
ถ้าสามารถเห็นได้ ตรงนั้นนี่เป็นจุดสรุป
ว่าเราจะสามารถสลาย ค่อยๆ สลายก้อนอัตตา อุปาทานในอัตตา
อุปาทานในตัวตนได้ทีละน้อยๆ ได้อย่างไร
ในการทำสมาธิหรือเดินจงกรมแต่ละครั้ง
อย่าพยายามที่จะหาทางลัดไปกว่านี้
เพราะมีคนหาทางลัดมาชั่วกัปชั่วกัลป์ แล้วไม่มีใครทำได้
ต้องมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา แล้วสอนอานาปานสติ สอนสติปัฏฐาน ๔ อย่างนี้
จนกระทั่งเราค่อยๆ เห็นกายใจแยกเป็นรูปเป็นนาม
ความรู้สึกว่ามีตัวของเราในรูปในนามนี้
มันจะหายไปเอง เมื่อวันเวลาของเราผ่านไป
แล้วมีการบ่มเพาะทั้งสมถะและวิปัสสนาไปแข็งแรงพอนะครับ
อันนั้นคือสิ่งที่ต้องจำไว้ให้ขึ้นใจเลยนะ
อัตตาสลายไม่ได้ด้วยความตั้งใจ
แต่สลายได้ด้วยการรู้ชัดว่ากายนี้ใจนี้
สักแต่เป็นรูปนาม แยกเป็นต่างหากจากกัน
< Prev | Next > |
---|