ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ทำอย่างไรจึงจะอยู่กับปัจจุบันได้อย่างถูกต้อง



ถาม – ดิฉันเริ่มมาสนใจธรรมะได้สิบกว่าปีแล้ว เพราะมีความทุกข์เรื่องครอบครัว
เริ่มต้นจากการรักษาศีล ต่อมาก็ได้ฟังที่คุณดังตฤณสอนให้อยู่กับปัจจุบัน จึงฝึกมาเรื่อยๆ
จนเพื่อนหลายคนสังเกตว่าดิฉันเหมือนไม่มีความทุกข์ทั้งๆ ที่มีสิ่งกระทบทุกวัน
ดิฉันพยายามอธิบายให้เพื่อนฟังแต่เขาก็ยังไม่เข้าใจวิธีปฏิบัติอยู่ดี ควรทำอย่างไรดีคะ



ตอบ – ต้องการคำอธิบายให้เพื่อนนะ
จริงๆ แล้วผมอยากให้สังเกตอย่างนี้ก็แล้วกัน
ว่าของตัวเราเองที่เราบอกว่าเราอยู่กับปัจจุบัน
มันไม่ใช่ปัจจุบันแบบที่ว่าเป็นปัจจุบันในหน้ากระดาษ
แต่เป็นปัจจุบันของสภาวะทางกาย สภาวะใจ
คือเรารู้เนื้อรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในท่าทางไหน นั่นก็เรียกว่าอยู่กับปัจจุบันแล้ว
หรือว่าเราคุยกับเพื่อน เห็นเพื่อนกำลังมีความทุกข์ แล้วเรารู้ว่าเพื่อนกำลังมีความทุกข์
แต่เราไม่ได้มีความทุกข์ไปด้วย ตัวเราฝั่งหนึ่ง ตัวเขาฝั่งหนึ่ง
อันนี้เรียกว่าเห็นสภาวะภายในของตัวเอง แล้วก็เห็นสภาวะภายนอกของเขา
นี่ก็เรียกว่าเป็นการอยู่กับปัจจุบันเช่นกัน



ถ้าหากว่าเรามีความเข้าใจตรงนี้นะ เอาเรื่องของกาย เอาเรื่องของใจเป็นหลักเลย
ถามตัวเองเลยว่าเรากำลังมีสติรู้กับสิ่งไหน สิ่งไหนกำลังปรากฏอยู่ต่อใจของเราอยู่
มีอยู่แค่สองคำนะ ไม่กายก็ใจนี่แหละ มีอยู่สองอย่างนี้เท่านั้นเอง
ถ้าหากว่าเราอธิบายเพื่อนไปว่า คำว่าปัจจุบันของเรา
ก็คือท่าทางที่เรากำลังนั่งอยู่นี่แหละ
มันจะไหวโคลงหรือว่ามันจะอยู่นิ่งกับที่ มันจะหลังงอหรือว่าหลังตรง
นี่เรียกว่าเห็นภาวะปัจจุบันความเป็นกาย



ส่วนภาวะความเป็นปัจจุบันที่เป็นสภาพทางใจ
บางทีถ้าเราเป็นคนที่รู้อยู่กับปัจจุบันตรงจริง มันจะเป็นคนที่ไม่ปฏิเสธตัวเอง
คือถ้าฟุ้งซ่านอยู่ มันยอมรับว่าฟุ้งซ่าน ฟุ้งมากยอมรับว่าฟุ้งมาก
แล้วก็ไม่อยากที่จะฟุ้งน้อยลง ถ้าฟุ้งน้อยก็รู้ว่าฟุ้งน้อย
แล้วบางทีมันก็ดับหายไปเลย พอดับหายจากอาการฟุ้งน้อย
พอมีสติขึ้นมา มันเงียบไป กลายเป็นจิตเงียบๆ เชียบๆ
เราก็รู้ตามจริงโดยไม่มีความไปยินดียินร้าย
ว่า เออ นี่ ฉันนี่จิตเงียบสงบลงแล้วนะ
มันเห็นแต่เป็นภาวะว่ากำลังเกิดขึ้นแป๊บหนึ่ง
แล้วเดี๋ยวมันก็เปลี่ยนไปเป็นอีกภาวะหนึ่ง
นี่แหละตัวนี้ที่เรียกว่าปัจจุบัน



คำว่า “ปัจจุบัน” ไม่ใช่ว่าคงที่เป็นเสาโด่เด่อยู่นะ นิ่งๆ อยู่กับที่
แต่คำว่าปัจจุบัน หมายถึงการที่เราเห็นความเคลื่อนไหวของปัจจุบัน
ที่มันเปลี่ยนจากอดีตมาเป็นตอนนี้
แล้วก็เปลี่ยนจากตอนนี้ไปเป็นอนาคตที่กำลังจะถึงในวินาทีหน้า

มันไม่อยู่กับที่ มันไม่อยู่นิ่ง นี่ก็เรียกว่าเป็นการเห็นมูฟเมนท์ (
movement)
เป็นการเห็นความเคลื่อนไหวของปัจจุบัน



ถ้าจำไม่ได้นะ เอาง่ายๆ เลย
คือเราอธิบายเพื่อนว่าเราอยู่กับกายหรือไม่ก็อยู่กับใจ อย่างใดอย่างหนึ่ง
ถ้าหากว่าตอนนั้นตอนที่อยู่กับเพื่อน
ร่างกายของเราท่าทางของเรากำลังปรากฏอยู่ในใจของเรา
ก็ให้บอกว่าปัจจุบันของเรา เราเห็นอิริยาบถที่กำลังเป็นอยู่อย่างนี้
หลังตรงหรือหลังงอ คอหมุนหรือคอตรง
ฝ่าเท้าวางราบกับพื้นหรือว่ามันหงิกๆ งอๆ อยู่
ส่วนใจอาการทางใจ มันมีอาการวิ่งตามเพื่อนไหม มีอาการเต้นตามเพื่อนไหม
ถ้าเราหยุดอยู่กับที่ แล้วเห็นจิตของเพื่อนวิ่ง
วิ่งวนสงสัยราวกับว่ามีอะไรคลุ้งๆ ออกมาจากหัวเขา
เราก็บอกว่าสิ่งที่ฉันเห็นในปัจจุบันนี้
คือใจของฉันมันนิ่งๆ เหมือนน้ำ มันสงบๆ เหมือนน้ำ
แต่ของเธอ มันคล้ายๆ กับพายุที่มันก่อตัวขึ้นมา
พอเราชี้ให้เขาเห็นแบบนี้ บางทีมันเป็นประโยชน์กับเขามหาศาลเลยนะ
เขาได้เห็นตัวเองว่าเปรียบเทียบแล้ว
เขากำลังมีจิตที่ฟุ้งยุ่งอยู่ มีปัจจุบันขณะที่กำลังเป็นอกุศล
ในขณะที่เขาเห็นว่าจิตของเราเป็นกุศล


หลายคนมาถามผมนะ ว่าเวลาที่จะแนะนำให้คนใกล้ตัวมาสนใจทางธรรม
เขาแนะนำกันอย่างไร ใช้อุบายแบบไหน
ผมบอกว่าอุบายหรือว่าคำพูดนี่ใช้ไม่ได้หรอก
เพราะว่าธรรมะ ถ้าใครสักคนจะมาสนใจ
มันเปลี่ยนชีวิตเขาเลยนะ มันเปลี่ยนเส้นทางกรรมเขาเลยนะ
เพราะฉะนั้นถ้ามีคำพูดสำเร็จรูปตายตัวหรูเท่
ที่จะทำให้คนทั้งโลกเปลี่ยนใจมาสนใจธรรมะได้
แปลว่าคำพูดนั้น ต้องเป็นคำพูดมหัศจรรย์ที่ไม่ใช่มนุษย์พูดนะ
ต้องออกมากจากเสียงของเทวดา ถึงจะพูดให้เขากลับใจได้เปลี่ยนใจได้



แต่คนธรรมดาๆ ด้วยกันที่จะดึงให้คนธรรมดาด้วยกันมาสนใจธรรมะ
ก่อนอื่นเราต้องทำให้เขาถามอย่างที่เขาถามคุณ
อย่างที่เพื่อนถามคุณว่าเธอไม่เคยมีความทุกข์บ้างเหรอ
ดูทำไมมันมีความสุข ไม่ค่อยจะเต้นไปกับเรื่องราวต่างๆ ในชีวิต
ตรงนี้แหละ คือโอกาสที่เราจะต้อนเขาเข้ามาหาท้องฟ้าแห่งธรรมะ
ปกติคนน่ะจะยืนอยู่ขอบๆ เหว
แต่ไม่รู้หรอกว่าเงยหน้าขึ้นไปนิดเดียว สามารถที่จะเห็นท้องฟ้าได้
เราก็ทำให้เขาเห็นท้องฟ้าแบบรำไรขึ้นมา
โดยให้เห็นใจของเรานิ่งๆ แล้วก็มีความสุข แล้วก็ยิ้มๆ อยู่อย่างที่เป็นอยู่นั่นแหละ



แล้วถ้าเขาถามอีกนะ เราตอบใหม่
ตอบว่าใจของเธอกับใจของฉันตอนนี้มันต่างกันนะ
ใจของฉันมีโฟกัส (
focus) อยู่กับภาวะทางกายภาวะทางใจอันเป็นปัจจุบัน
ส่วนของเธอนี่ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่อดีตก็อนาคต
อดีต อาจจะเป็นข่าวอะไรสักอย่างหนึ่ง
อนาคต อาจจะเป็นเรื่องราวที่กำลังเป็นเศรษฐกิจบ้าง
เป็นสตางค์ในกระเป๋าหรืออะไรต่างๆ
ชี้ให้เขาเห็นความแตกต่าง ระหว่างใจที่อยู่กับปัจจุบันกับใจที่อยู่กับอดีตและอนาคต
แล้วเขาจะมาทางเดียวกับเราเองนะครับ โอเคนะ








ถาม – ดิฉันก็อธิบายเพื่อนไปในลักษณะที่ตัวเองปฏิบัติอยู่
แล้วก็พบว่าเพื่อนหลายคนที่มีครอบครัวที่ดี มีชีวิตดี
เหมือนเขาไม่ค่อยได้เจอความทุกข์
แต่ดิฉันเจอความทุกข์มาเยอะ จนเปลี่ยนจากอดทนมาเป็นยอมรับค่ะ



ตอบ – นั่นแหละ อันนี้แหละคือคีย์เวิร์ด (keyword) ที่สำคัญมากๆ ของการเจริญสตินะ
การมีสติที่แท้จริงไม่ใช่การเฝ้าอดทน
แต่การมีสติคือการยอมรับตรงตามจริงที่มันกำลังปรากฏให้ยอมรับ

เพราะว่าจิตนี่ เอาง่ายๆ เลย จิตของคนที่ไม่เจริญสติ
คือจิตที่ปรุงแต่งด้วยจินตนาการ ความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
แต่ว่าจิตของคนมีสติ คือจิตที่ถูกปรุงแต่งน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
คือปรุงแต่งเท่าที่มีความจริงมันมาปรุงแต่ง
อย่างเช่น ลมหายใจกำลังเข้ากำลังออกอยู่
นี่ก็เรียกว่าความจริงมาปรุงแต่งว่าปัจจุบันมีอยู่แค่นี้ให้รู้



หรือว่าอย่างของคุณอาจจะถ้ามีเรื่องมีราวมีเหตุการณ์อะไร
มาทำให้ยุ่งยากลำบากใจ แล้วเราไม่ไปปรุงแต่งเกินกว่านั้น
เราปรุงแต่งแค่มีอะไรให้แก้ก็แก้ไปตามจริง
อันนี้แหละที่มันจะมีความสุขอยู่ได้ ถึงแม้ว่าสิ่งแวดล้อมมันจะไม่เอื้อให้สุขก็ตาม
ขอบคุณมากนะครับ อนุโมทนานะครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP