ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

เจริญอสุภกรรมฐานอย่างไรจึงจะถูกต้อง



ถาม – ผมคิดว่าส่วนหนึ่งที่สมาธิผมไม่ก้าวหน้า เป็นเพราะผมเป็นคนมีราคะมาก
ถ้าจะใช้การพิจารณาอสุภะ ควรจะปฏิบัติอย่างไรไม่ให้เป็นบ้าครับ



พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ ตอนที่ภิกษุฆ่าตัวตายกันเยอะ
เพราะว่าเจริญอสุภกรรมฐาน แล้วเกิดความอิดหนาระอาใจ
รังเกียจร่างกายของตัวเองเหลือเกิน จนทนไม่ได้ ทนไม่ไหว
ไม่อยากฆ่าตัวเองก็ฝากเพื่อนภิกษุให้ฆ่า
หรือว่าจ้างวานถึงกับให้เงินคนมาฆ่าตัวเอง เพราะใจไม่ถึง ฆ่าตัวเองไม่ลง
อันนี้ก็แสดงให้เห็นว่าถ้าหากเจริญอสุภกรรมฐาน โดยไม่มีพื้นฐานดีๆ แล้ว
ก็อาจจะเป็นทุกข์ได้จริงๆ เป็นทุกข์แบบทนไม่ได้
แล้วก็ยังไม่ทันรู้มรรคผลก็อาจปลิดชีวิตตัวเองตายไปเสียก่อน



พระพุทธเจ้าท่านเลยตรัสนะครับ เรียกประชุมสงฆ์เลย
หลังจากที่พบว่ามีภิกษุฆ่าตัวตาย เพราะเจริญอสุภกรรมฐานกันแบบผิดๆ
ท่านตรัสว่าขึ้นต้นมาให้เจริญอานาปานสติให้ดีก่อน
ให้มีความสุขจากการเจริญอานาปานสติแล้ว
จิตมีความเข้มแข็งแล้ว ตั้งมั่นแล้ว แล้วไปเจริญอสุภกรรมฐาน
มันจะรู้สึกว่าไม่ได้อิดหนาระอาใจ จนกระทั่งต้องด่วนทิ้งชีวิต
มันจะมีความเข้าใจอย่างแจ่มชัดว่าที่เจริญอสุภกรรมฐานไป
ก็เพราะเพื่อให้จิตมันแยกออกมาจากกาม
มันตีตัวออกห่างออกมาจากความบันเทิงทั้งหลายในโลก
เพื่อที่จะเข้าถึงปฐมฌานได้ง่าย
นี่ตรงนี้คือจุดประสงค์ของอสุภกรรมฐาน



ทีนี้การที่บอกว่าสมาธิไม่ก้าวหน้าเพราะว่าเราเป็นคนมีราคะสูง นี้เกิดขึ้นทั่วโลก
แล้วก็พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสสอนกรรมฐานจริงๆ แบบเอาจริงเอาจังกับเหล่าภิกษุเท่านั้น
จะไม่ค่อยเห็นพระพุทธเจ้าไปสอนกรรมฐานกับฆราวาส
สำหรับฆราวาส ท่านจะตรัสให้มีสติ
แล้วก็มีการดำรงชีพแบบที่มันถูกต้องไม่ผิดศีลผิดธรรม
แล้วก็ฆราวาสบางคนบางหมู่เหล่าที่มีนิสัยมีวาสนา
ท่านก็สอนเรื่องอนัตตา สอนเรื่องความไม่เที่ยง
ยกเอาการเวียนว่ายตายเกิด ยกเอาเรื่องกรรมวิบากมาเป็นตัวตั้ง
ว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ได้ดีคือไปถึงสวรรค์ ได้ชั่วคือลงถึงนรกแบบนี้มาเป็นตัวตั้ง
แล้วเสร็จแล้วก็บอกว่าอะไรๆ ในสังสารวัฏ
การเดินทางท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ ไม่แน่นอน หยุดดีกว่า หยุดเดินทางดีกว่า
แล้วก็วิธีทิ้งก็คือให้เห็นว่าอะไรๆ ในชีวิตของเรา มันไม่แน่ไม่นอน
สิ่งที่แน่นอนมีอยู่อย่างเดียวคือนิพพานนะครับ



แล้วก็สิ่งที่จะทำให้มีความสุขจริง คือไม่ต้องเกิดมาเป็นทุกข์อีก ท่านตรัสแบบนี้
แล้วก็พูดถึงสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของแต่ละคน หรือว่าอยู่ในใจของแต่ละคน
จนเห็นความไม่เที่ยงแล้วก็รู้ว่าไม่มีตัวไม่มีตนอยู่จริงๆ
มีแต่ของหลอกให้นึกว่าเป็นตัวของเรา นึกว่าเป็นตนของเรา
ตรงที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสกับฆราวาสบางหมู่เหล่า
อย่างน้อยทำให้เห็นได้ว่าถ้าหากเราตั้งจิตไว้ถูกต้อง
พวกเราก็มีสิทธ์บรรลุธรรมเช่นกัน
ไม่ได้แตกต่างจากภิกษุที่ท่านบำเพ็ญบารมีกันแบบทิ้งบ้านทิ้งเรือน



ทีนี้ใครทำได้มากทำได้น้อยแค่ไหน คือไม่ต้องไปเร่งตัวเอง ไม่ต้องไปบีบคั้นตัวเอง
ว่ามันจะต้องได้อย่างนั้น มันจะต้องได้อย่างนี้
จะทิ้งได้ไหม รักพี่เสียดายน้อง ได้หน้าลืมหลัง
หรือว่าจะเหมือนกับอยู่อย่างฆราวาสแล้วต้องใช้ชีวิตแบบพระอะไรแบบนี้
มันไม่ต้องถึงขนาดนั้น เราเป็นฆราวาสปฏิบัติธรรมที่บ้าน
จุดประสงค์เพื่อที่จะบอกคุณว่าแทนที่จะใช้ชีวิตแบบอยู่บ้านเฉยๆ
แล้วก็ตั้งความหวังเอาลมๆ แล้งๆ ว่าชาติหน้าแล้วกันค่อยหวังนิพพาน
จริงๆ แล้ว เราค่อยๆ เก็บเล็กประสมน้อยได้ตามกำลัง
ตามวาสนาตามบารมีที่เราสะสมมานะครับ


และคำว่าวาสนาบารมี ไม่ใช่เรื่องของชาติที่แล้ว แต่เป็นเรื่องของชาตินี้แหละ
ว่าเราทำอะไรไว้บ้าง สะสมอะไรไว้บ้าง เก็บเล็กผสมน้อยอะไรไว้บ้าง

คนหยอดกระปุกวันละเหรียญในที่สุดกระปุกมันก็เต็ม

เหมือนกัน เป็นฆราวาสปฏิบัติไปทีละน้อย
แล้วก็ถ้าถูกทาง ถ้ามีเป้าหมายชัดเจน ถ้ามีวิธีที่จะวัดความคืบหน้าได้
มันก็จะเห็นว่า เออ นี่เจริญขึ้นนะ
แล้วถ้าวันไหนไปหมกมุ่นอยู่ในความบันเทิงแบบโลกๆ
ถ้าเห็นปัจจัยว่าเพราะอาการหมกมุ่นแบบนี้ มันถึงทำให้เสื่อมลง
เห็นอย่างนี้แล้วๆ เล่าๆ นะครับ ซ้ำไปซ้ำมาเป็นปีๆ ถึงจุดหนึ่งจิตมันวางได้
ในแบบที่เราละเลิกเรื่องแบบโลกๆ สักช่วงหนึ่งโดยไม่ทุกข์ทรมาน


มาทำสมาธิมาเจริญสติแล้ว มันมีความสุขมากกว่าที่ไปหมกมุ่นกับอะไรตรงนั้น
มันก็กลายเป็นการเห็นภาพรวมของฆราวาสที่ปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ว่าจริงๆ แล้วเราไม่ต้องเสียเวลาไปเปล่าๆ ชาติหนึ่งหรอก
ไม่ต้องไปแค่ท่องแบบนกแก้วนกขุนทองเหมือนคนอื่น ว่าชาติหน้าขอนิพพานนะ
ไม่รู้ ไม่รู้ว่าชาติหน้า หน้าตาเป็นอย่างไร
แต่ชาตินี้ รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างนี้ แล้วก็มีชีวิตอย่างนี้แหละ
วิถีชีวิตอย่างนี้แหละ แล้วก็อยู่บ้านอย่างนี้แหละ
มันทำได้เท่าที่ทำ ทำเท่าที่ทำได้
รู้ได้เท่าที่จะสามารถรู้ เห็นได้เท่าที่จะสามารถเห็น

มันเป็นการสะสมอยู่แล้ว มันเป็นการเก็บชิ้นส่วนจิ๊กซอว์มาต่อเป็นภาพอนัตตา
มันชัดขึ้นๆ ชัดขึ้นๆ นะ ยิ่งเราต่อชิ้นส่วนได้มากขึ้นเท่าไหร่
ลงล็อกได้มากขึ้นเท่าไหร่ เรายิ่งเห็นภาพอนัตตาชัดขึ้นเท่านั้น
แล้วเห็นภาพชัดรวมทั้งหมดได้มันก็บรรลุธรรม
ก่อนตายนี่อย่างน้อยมีสิทธิ์ได้โสดา


เพราะอะไร เพราะว่าการสะสมอริยทรัพย์
ไม่ใช่ว่าจะต้องได้บรรลุธรรมกันตอนมีชีวิตอย่างเดียว
บางทีตอนที่จะตาย เราได้ตัวช่วยใหญ่ คือวิถีของจิตตอนที่จะเข้ามรณะ
มันมีความหนักแน่น มันไม่ใช่คิดๆ นึกๆ แบบนี้
ถ้าหากว่าเราสะสมอริยทรัพย์ไว้มากพอ มีความหนักแน่น
รวมๆ แล้ว ไปกองอยู่ตรงนั้นตอนที่จะตาย
แล้วเกิดความหนักแน่นของจิตในวิถีของมรณะขึ้นมา
มันพิจารณาธรรมเอง ทิ้งกายนี้เอง จิตสุดท้ายก่อนตายมันไม่เอาของมันเอง

แล้วก็รู้สึกเองว่าชีวิตที่ผ่านมา มันความฝันทั้งเพ มันเป็นของหลอก ให้หลงทั้งเพ
ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือหลังจากตายไปได้เลย เป็นความฝันทั้งเพ


แล้วพอเราทำ ค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ ไม่คาดคั้นตัวเอง
ทำอานาปานสติบ้าง แล้วก็พิจารณาอารมณ์โดยความเป็นของไม่เที่ยงบ้าง
มันก็ไปเห็นผลเอาตอนนั้นตอนที่จะตาย
ว่ากำลังที่เราสะสมมามันมากมายมหาศาลขนาดไหน
เรามีอริยทรัพย์ในการให้ทาน ในการสละออก
เพียงพอที่จะสละแม้กระทั่งความเห็นผิดหรือเปล่า
ก่อนตายนะครับ ในช่วงเวลาก่อนตาย


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP