ธรรมะจากพระสูตร Dhamma from Sutta
วัชชิยสูตร ว่าด้วยวัชชิยมาหิตคฤหบดีข่มขี่อัญญเดียรถีย์ปริพาชก
กลุ่มไตรปิฎกสิกขา
[๙๔] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ฝั่งสระโบกขรณี ชื่อคัคครา ใกล้เมืองจัมปา.
ครั้งนั้นแล วัชชิยมาหิตคฤหบดี ได้ออกจากเมืองจัมปาแต่ยังวัน เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ลำดับนั้น วัชชิยมาหิตคฤหบดีได้มีความคิดว่า
มิใช่เวลาเพื่อจะเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าก่อนเพราะพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงหลีกเร้นอยู่
มิใช่กาลเพื่อจะเยี่ยมภิกษุทั้งหลายผู้ยังใจให้เจริญ เพราะภิกษุทั้งหลายผู้ยังใจให้เจริญยังหลีกเร้นอยู่
อย่ากระนั้นเลย เราพึงเข้าไปยังอารามของอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเถิด ดังนี้
ลำดับนั้น วัชชิยมาหิตคฤหบดีได้เข้าไปยังอารามของอัญญเดียรถีย์ปริพาชก.
ก็สมัยนั้นแล พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกกำลังร่วมประชุมกัน บันลือเสียงเอ็ดอึง
นั่งพูดกันถึงดิรัจฉานกถาหลายอย่าง พวกเขาเห็นวัชชิยมาหิตคฤหบดี
กำลังเดินทางมาแต่ไกล ครั้นแล้วจึงยังกันและกันให้หยุดด้วยกล่าวว่า
“ท่านทั้งหลายจงเบาเสียง อย่าได้เปล่งเสียง
วัชชิยมาหิตคฤหบดีคนนี้ เป็นสาวกของพระสมณโคดม กำลังเดินมา
วัชชิยมาหิตคฤหบดีนี้ เป็นสาวกคนหนึ่งในบรรดาคฤหัสถ์ผู้นุ่งห่มผ้าขาว
ซึ่งเป็นสาวกของพระสมณโคดม อาศัยอยู่ในเมืองจัมปา
ก็ท่านเหล่านั้นเป็นผู้ใคร่ในเสียงเบา ได้รับแนะนำด้วยเสียงเบา กล่าวสรรเสริญเสียงเบา
แม้ไฉนเขาทราบบริษัทผู้มีเสียงเบา พึงสำคัญที่จะเข้ามาหา”
ลำดับนั้น ปริพาชกเหล่านั้นได้นิ่งอยู่ วัชชิยมาหิตคฤหบดีก็เข้าไปหาพวกปริพาชกถึงที่อยู่
ครั้นแล้ว ได้สนทนาปราศรัยกับปริพาชกเหล่านั้น
ครั้นผ่านการสนทนาปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
อัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นได้กล่าวกะท่านวัชชิยมาหิตคฤหบดีว่า
“คฤหบดี ได้ยินว่า พระสมณโคดมทรงติเตียนตบะทั้งหมด เข้าไปด่า
เข้าไปว่าร้ายผู้มีตบะ ผู้ที่เลี้ยงชีพด้วยอาการเศร้าหมองทั้งหมด โดยส่วนเดียวจริงหรือ.”
วัชชิยมาหิตคฤหบดีตอบว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงติเตียนตบะทั้งหมดหามิได้
เข้าไปด่า เข้าไปว่าร้ายผู้มีตบะผู้ที่เลี้ยงชีพด้วยอาการเศร้าหมองทั้งหมด โดยส่วนเดียวก็หามิได้
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงติเตียนผู้ที่ควรติเตียน ทรงสรรเสริญผู้ที่ควรสรรเสริญ
เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงติเตียนผู้ที่ควรติเตียนอยู่ ทรงสรรเสริญผู้ที่ควรสรรเสริญอยู่
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีปกติตรัสแยกกัน ในเรื่องนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นมิใช่มีปกติตรัสโดยส่วนเดียว.
เมื่อวัชชิยมาหิตคฤหบดีกล่าวอย่างนี้แล้ว ปริพาชกคนหนึ่ง
จึงพูดกะวัชชิยมาหิตคฤหบดีว่า ท่านหยุดก่อน คฤหบดี
พระสมณโคดมที่ท่านกล่าวสรรเสริญ เป็นผู้แนะนำในทางฉิบหาย เป็นผู้ไม่มีบัญญัติ.
วัชชิยมาหิตคฤหบดีกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ แม้ในเรื่องนี้
ข้าพเจ้าจะกล่าวกะท่านผู้มีอายุทั้งหลาย โดยชอบธรรม
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติว่า สิ่งนี้เป็นกุศล สิ่งนี้เป็นอกุศล ดังนี้
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติสิ่งที่เป็นกุศลและอกุศลไว้ดังนี้
จึงชื่อว่าทรงเป็นผู้มีบัญญัติ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นมิใช่ผู้แนะนำในทางฉิบหาย
ไม่ใช่ผู้ไม่มีบัญญัติ.
เมื่อวัชชิยมาหิตคฤหบดีกล่าวอย่างนี้แล้ว ปริพาชกทั้งหลายได้เป็นผู้นั่งนิ่ง
เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา โต้ตอบไม่ได้.
ลำดับนั้น วัชชิยมาหิตคฤหบดีทราบว่า ปริพาชกเหล่านั้นเป็นผู้นั่งนิ่ง
เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา โต้ตอบไม่ได้ แล้วลุกจากอาสนะ
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูล
เรื่องที่สนทนากับอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นทั้งหมด
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าให้ทรงทราบทุกประการ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ดีละ ดีละ คฤหบดี
ท่านพึงข่มขี่พวกโมฆบุรุษให้เป็นการข่มขี่ด้วยดี
โดยกาลอันควร โดยชอบธรรมอย่างนี้แล
คฤหบดี เราไม่กล่าวตบะทั้งหมดว่า ‘ควรบำเพ็ญ’
เราไม่กล่าวตบะทั้งหมดว่า ‘ไม่ควรบำเพ็ญ’
เราไม่กล่าวการสมาทานทั้งหมดว่า ‘ควรสมาทาน’
เราไม่กล่าวการสมาทานทั้งหมดว่า ‘ไม่ควรสมาทาน’
เราไม่กล่าวการเริ่มตั้งความเพียรทั้งหมดว่า ‘ควรเริ่มตั้งความเพียร’
เราไม่กล่าวการเริ่มตั้งความเพียรทั้งหมดว่า ‘ไม่ควรเริ่มตั้งความเพียร’
เราไม่กล่าวการสละทั้งหมดว่า ‘ควรสละ’
เราไม่กล่าวการสละทั้งหมดว่า ‘ไม่ควรสละ’
เราไม่กล่าวการหลุดพ้นทั้งหมดว่า ‘ควรหลุดพ้น’
เราไม่กล่าวการหลุดพ้นทั้งหมดว่า ‘ไม่ควรหลุดพ้น’
คฤหบดี เมื่อบุคคลบำเพ็ญตบะอันใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญยิ่ง
กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป เรากล่าวตบะเห็นปานนั้นว่า ‘ไม่ควรบำเพ็ญ’
เมื่อบุคคลบำเพ็ญตบะอันใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป
กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญยิ่ง เรากล่าวตบะเห็นปานนั้นว่า ‘ควรบำเพ็ญ’
เมื่อบุคคลสมาทานการสมาทานอันใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญยิ่ง
กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป เรากล่าวการสมาทานเห็นปานนั้นว่า ‘ไม่ควรสมาทาน’
เมื่อบุคคลสมาทานการสมาทานอันใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป
กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญยิ่ง เรากล่าวการสมาทานเห็นปานนั้นว่า ‘ควรสมาทาน’
เมื่อบุคคลเริ่มตั้งความเพียรอันใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญยิ่ง
กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป เรากล่าวการเริ่มตั้งความเพียรเห็นปานนั้นว่า ‘ไม่ควรเริ่มตั้ง’
เมื่อบุคคลเริ่มตั้งความเพียรอันใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป
กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญยิ่ง เรากล่าวการเริ่มตั้งความเพียรเห็นปานนั้นว่า ‘ควรเริ่มตั้ง’
เมื่อบุคคลสละซึ่งการสละอันใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญยิ่ง
กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป เรากล่าวการสละเห็นปานนั้นว่า ‘ไม่ควรสละ’
เมื่อบุคคลสละซึ่งการสละอันใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป
กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญยิ่ง เรากล่าวการสละเห็นปานนั้นว่า ‘ควรสละ’
เมื่อบุคคลหลุดพ้นการหลุดพ้นอันใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญยิ่ง
กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป เรากล่าวการหลุดพ้นเห็นปานนั้นว่า ‘ไม่ควรหลุดพ้น’
เมื่อบุคคลหลุดพ้นการหลุดพ้นอันใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป
กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญยิ่ง เรากล่าวการหลุดพ้นเห็นปานนั้นว่า ‘ควรหลุดพ้น’ ดังนี้.”
ลำดับนั้น วัชชิยมาหิตคฤหบดีอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน
ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถาแล้ว ลุกจากที่นั่ง
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป.
เมื่อวัชชิยมาหิตคฤหบดีหลีกไปไม่นาน
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า “ภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุใดแลเป็นผู้มีกิเลสเพียงดังว่าธุลีน้อยในปัญญาจักษุในธรรมวินัยนี้ตลอดกาลนาน
ภิกษุแม้นั้น พึงข่มขี่อัญญเดียรถีย์ปริพาชกทั้งหลายให้เป็นการข่มขี่ด้วยดี โดยชอบธรรม
เหมือนอย่างวัชชิยมาหิตคฤหบดีข่มขี่แล้วฉะนั้น.”
วัชชิยสูตรที่ ๔ จบ
(วัชชิยสูตร พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๓๘)
< Prev | Next > |
---|