วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
ศิวาดล ๑๗
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
คอนโดมิเนียมกลางกรุงเทพฯ
ห้องพักระดับกลาง ค่อนข้างหรู พื้นที่ใช้สอยพอกับบ้านจัดสรรหลังหนึ่ง
ปู่เผด็จมาพักที่นี่ตั้งแต่คืนไปพูดคุยกับพิจิกที่ศิวาดล ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการติดต่อผู้คน เส้นสาย ให้ความช่วยเหลือสืบหาข้อมูลตามที่ตนเองต้องการ
หลังส่งผลตรวจนมก้นแก้วของพยาบาลโสภีให้หลานชาย แล้วได้รับคำถามกลับมาว่ามันไม่ตรงกับผลตรวจจากกองพิสูจน์หลักฐาน ทำให้ผู้เฒ่าหยุดการติดต่อหลานชายชั่วคราว แล้วใช้ความสามารถเส้นสายที่ตนเองมี ขอตรวจสอบยืนยันผลหลักฐานชิ้นนี้อีกครั้ง
ผลออกมายังเหมือนเดิม...นมที่พิจิกให้มาไม่มีสารพิษ ส่วนนมที่ตำรวจส่งไปนั้นมียานอนหลับออกฤทธิ์แรงผสมอยู่...
ปู่เผด็จขอให้ ‘คนรู้จัก’ แอบชันสูตรศพอีกครั้ง ปรากฏว่าไม่ทัน ญาติผู้ตายนำศพไปฌาปนกิจอย่างรวบรัด รวดเร็ว ปิดเส้นทางหาหลักฐานเพิ่มเติมเสียแล้ว
เมื่อได้ข้อมูลเท่านี้ ผู้เฒ่ายังไม่พอใจจึงควานหาข้อมูลอื่นอีก...
คราวนี้คนหาข้อมูลชิ้นใหม่อยู่ ‘ใกล้ตัว’ ปู่เผด็จอย่างยิ่ง เพียงแต่เป็นบุคคลยากจะเกลี้ยกล่อม ท่านผู้เฒ่าต้องเสียเวลาหาเหตุผล ชักแม่น้ำทั้งห้ายืดยาว กว่าเขาจะยินยอมช่วย เนื่องจากบุคคลนี้ไม่สนใจสินบน สิ่งของใดจากผู้เฒ่าทั้งสิ้น
บุคคลนั้นคือเจ้าของคอนโดมิเนียมที่ปู่เผด็จอาศัยชั่วคราวนั่นเอง
ชายชรานั่งกึ่งเอนนอนพักผ่อนบนเก้าอี้โยกตัวเดียวในห้องรับแขก หลับตาดูลมหายใจเข้า-ออกอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่บังคับ จิตใจผ่อนคลาย นุ่มนวล กระปรี้กระเปร่า จนกระทั่งหูแว่วเสียงประตูห้องทำงานใกล้ ๆ เปิดออก ค่อยลืมตา ผงกศีรษะขึ้นมอง
ผู้เดินออกมาเป็นชายหนุ่มร่างสูง ผึ่งผาย รูปร่างประเปรียวอย่างคนออกกำลังกายประจำ ผิวขาวจัดอมชมพู ใบหน้าคม ดวงตาโต คิ้วหนาเป็นเส้นสวยราวกับวาด จมูกโด่งเป็นสัน รับกับริมฝีปากหยักโค้งได้รูป ดวงหน้าเช่นนี้ดูเผิน ๆ คล้ายภาพวาดงดงาม สมบูรณ์แบบ...
เพียงแต่เขาดูเคร่งขรึม ริมฝีปากหุบสนิทเป็นนิตย์ ลักษณะแบบพวกเสือยิ้มยาก ดวงตาแลตรง เรียบเฉย ยากมีผู้ใดอ่านความรู้สึกออก
“นี่ครับปู่” ชายหนุ่มยื่นซองเอกสารสีขาวให้
“ขอบใจมากธัน...” ปู่เผด็จเอ่ยปาก
‘ธันวา’ หลานชายคนโต...แม้ไม่ใช่หลานรัก หลานคนโปรดเท่ากับพิจิก แต่ปู่เผด็จมีความเกรงใจ และนิยมในนิสัย ใจคอของหลานชายคนนี้ไม่น้อย
คนอย่างปู่เผด็จ ไม่ให้ความเกรงใจ นิยมในตัวใครง่าย ๆ
‘ธันวา’ เป็นหนึ่งในจำนวนน้อย ที่ผู้เฒ่าให้เกียรตินี้
“ผมช่วยคุณปู่แบบนี้ได้ครั้งเดียวนะครับ” ชายหนุ่มบอกเสียงสุภาพ ทว่ามีความเด็ดขาด จริงจังอยู่ในนั้น
“ไม่เป็นไร ปู่เข้าใจว่ามันเป็นจรรยาบรรณของหมอ...ช่วยแค่นี้ก็ดีแล้ว” ชายชราตอบรับ
ธันวานั่งบนเก้าอี้ใกล้ ๆ มองซองเอกสารในมือปู่ ก่อนอธิบายอีกครั้งให้เข้าใจ
“ที่จริง อาจารย์หมอท่านไม่ได้ให้ข้อมูลคนไข้ที่ปู่ต้องการ มากับผมหรอก...แต่ผมอาศัยข้อมูลแวดล้อมที่เจ้าจิกมันบอกปู่ทั้งหมด มาใช้สอบถาม พูดคุยเพื่อขอความรู้จากท่าน ซึ่งท่านก็ยกเคสนี้มาเป็นกรณีศึกษา โดยไม่บอกชื่อของผู้ป่วย...ซึ่ง...อาจจะไม่ใช่คนที่ปู่ต้องการให้ผมสืบหาก็ได้...”
คำอธิบายยืดยาว หากน้ำเสียงน่าฟัง สายตามองตรงคู่สนทนา ชวนให้อีกฝ่ายเพลิดเพลินสนใจ รับรู้รายละเอียดทั้งหมดแบบไม่ตกหล่น
ตั้งแต่พิจิกบอกปู่เผด็จว่าแพรพลอย นายหญิงศิวาดลเป็นโรคไบโพล่าร์ ปู่เผด็จตั้งใจสืบค้นข้อมูล ประวัติผู้ป่วยรายนี้มาให้ได้...
บุคคลที่แกหวังให้ช่วยเหลือคือ ธันวา..หลานชายผู้เป็นจิตแพทย์
แรกสุดธันวาบอกปฏิเสธ อ้างเรื่องจรรยาบรรณของแพทย์ ไม่มีใครยอมเปิดเผยข้อมูลผู้ป่วยแน่นอน ผู้เฒ่าต้องหาวิธีเกลี้ยกล่อมหลานชายมากมาย จนอีกฝ่ายใจอ่อนยอมช่วยเหลือในที่สุด
แพรพลอยเป็นดารามีชื่อเสียง การหาว่าใครเป็นจิตแพทย์ของเธอจึงไม่ยาก ธันวาติดต่อสอบถามเพื่อนฝูงด้วยกันไม่นาน ก็ทราบว่าจิตแพทย์ที่รักษาแพรพลอยเป็นอาจารย์หมอที่ตนเองรู้จัก
ด้วยจรรยาบรรณของแพทย์ย่อมไม่เปิดเผยข้อมูลผู้ป่วย ธันวาจึงใช้วิธีเลียบเคียง อาศัยข้อมูลจากพิจิกมาใช้พูดคุยเชิงปรึกษาอาจารย์หมอเกี่ยวกับคนไข้ลักษณะนี้ แล้วค่อย ๆ เชื่อมโยงกระตุ้นให้ท่านยกตัวอย่างกรณีใกล้เคียงออกมาเพื่อแนะนำแนวทางการรักษาแก่เขา
ถึงอาจารย์หมอจะไม่บอกว่ากรณีที่ยกมานั้นเป็นผู้ป่วยคนใด ธันวาก็พอคาดเดาออก และต่อให้บอกเล่า ยกตัวอย่างอาการนั้นสั้น ๆ เขาก็สามารถอ่านรายละเอียด ขยายความคิด สิ่งที่อาจารย์หมอไม่ได้บอกจนเข้าใจกระจ่าง
สุดท้ายกลับมาเขียนสรุปข้อมูล รายละเอียดให้กับปู่เผด็จ โดยไม่ยืนยันว่าเป็นข้อมูลอาการป่วย วิธีรักษาโรคของแพรพลอย แต่ในใจเห็นว่าไม่น่าผิดพลาดจากที่คิดนัก
ปู่เผด็จรับฟังรายละเอียดเพิ่มเติม กึ่งเป็นการออกตัวของหลานชายอย่างเข้าใจ จึงเอ่ยปากตอบรับ
“ถึงข้อมูลนี้จะใช่ หรือไม่ใช่คนที่ปู่อยากรู้ก็ไม่เป็นไรหรอก เท่าที่แกช่วยปู่ขนาดนี้ ก็ขอบใจมากแล้ว”
ธันวารับวาจากึ่งขอบคุณจากปู่ด้วยอาการนิ่งสงบ สีหน้าคลายลงกว่าปกติ ก่อนลุกขึ้นกลับไปยังห้องทำงานตน
ชายชราก้มมองข้อมูลอาการป่วยไบโพล่าร์ของบุคคลที่ ‘ใกล้เคียง’ แพรพลอยอย่างกระหยิ่มใจ หยิบโทรศัพท์มากดไลน์ ส่งข้อความถึงหลานชายเป็นครั้งแรกในรอบสามสี่วัน
“คืนนี้พบกันที่เดิม...เวลา...”
ส่งไลน์เรียบร้อย จิตแวบเกิดสังหรณ์บางอย่างขึ้น...
ผู้เฒ่าหยิบกระดาษปากกามาขีดเขียนตัวเลข สลับกับดูปฏิทินข้างตัว แล้วเปิดดูรายงานเก่าที่พิจิกส่งมาให้ รอยยิ้มอย่างพอใจปรากฏขึ้น
วันงานเปิดรั้วศิวาดล จะเป็นวันที่กำลังฝ่ายมืด อสูรร้าย ไสยดำถดถอย ลดกำลังลง น่าจะเป็นช่วงเวลาเหมาะสมในการนำดินกลางเรือนพระยาคงเวทมาทำพิธีปิดผนึกอาคม
การนัดพบพิจิกคืนนี้ นอกจากมีข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ยังมีการวางแผนปิดผนึกอาคมด้วย...แต่...
ชั่วขณะหนึ่งปู่เผด็จนึกถึง ‘ผู้ร้ายในเงามืด’ วายร้ายนี้ต้องรู้ว่าวันนั้น พลังมืดอ่อนด้อย ฝ่ายไสยขาวต้องทำพิธีปิดผนึกอาคม...มันคงไม่ยอมอยู่เฉยแน่นอน
ข้อมูลต่าง ๆ ที่ผู้เฒ่าหามา ยังไม่อาจช่วยหลานชายสืบหาตัวจริงของผู้ร้ายในเงามืดได้เลย หากเดินหน้าปิดผนึกอาคมตามแผนการ อาจพลาดพลั้ง หลงกลอย่างที่ตนเคยประสบมาก่อนแล้วก็ได้
ท่านผู้เฒ่าครุ่นคิด ควรทำอย่างไร...พยายามหาวิธีการมากมาย สุดท้ายต้องถอนใจยาวหนักหน่วง...
มีหนทางเดียวจะช่วยไม่ให้หลานชายพลาดพลั้งอย่างตนเอง นั่นคือต้องบอกเล่าเรื่องราว เหตุการณ์วันปิดผนึกอาคมครั้งที่สองซึ่งผิดพลาด เมื่อสิบกว่าปีก่อน จนเป็นเหตุให้เกิดบาดแผลในใจกับเพื่อนรักออกมา
เรื่องราวความลับนี้ หากไม่บอกอาจทำให้พิจิกเดินตามรอยพวกตนได้...
ตัดสินใจเด็ดขาด...ยังไงต้องยอมเล่า...
พอคิดตก หัวอกค่อยผ่อนคลาย โล่งเบา คืนนี้ความลับนับสิบกว่าปีจะได้เปิดเผยเสียที
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
ปู่เผด็จยืนหน้าลิฟต์อยู่กับนายเดชา บอดี้การ์ดคนสนิท ผู้ทำหน้าที่ขับรถพาไปไหนต่อไหนอย่างสะดวก
ถ้าออกจากคอนโดของธันวา ช่วงเวลานี้ น่าจะไปถึงศิวาดลก่อนเวลานัดเล็กน้อย
...ติ้ง...ลิฟต์เลื่อนมาถึง ประตูเปิด...
ปู่เผด็จขยับไม้เท้าจะก้าวเข้าไป แต่ต้องชะงัก เมื่อเห็นใครบางคนอยู่ในนั้น
บุคคลในลิฟต์จ้องหน้าเลิกคิ้วเป็นเชิงท้าทาย
ปู่เผด็จขยับไม้เท้าพยุงตัวเดินเข้าลิฟต์อย่างไม่ลังเล ตามด้วยนายเดชา ผู้ติดตาม
ประตูลิฟต์เลื่อนปิด ภายในมีผู้โดยสารสี่คน...ปู่เผด็จ นายเดชา...ปู่คงคา และนายแหลม คนสนิทผู้ติดตามเช่นกัน
คนสนิทผู้เฒ่าทั้งสองต่างรู้ควรวางตัวเช่นไร จึงยืนชิดผนังลิฟต์ ปล่อยให้ผู้อาวุโสเผชิญหน้ากันตามสะดวก
ปู่เผด็จไม่แปลกใจ รู้ว่าหลานสาวปู่คงคาซื้อห้องพักในคอนโดแห่งนี้เช่นกัน...อาจเพราะเมื่อตรวจดูฮวงจุ้ย ทิศทางก่อสร้าง ราคา เส้นทางคมนาคมต่าง ๆ คอนโดมิเนียมแห่งนี้เป็นตัวเลือกเหมาะสมที่สุดสำหรับพวกตน
ธันวา หลานปู่เผด็จ มีนา หลานปู่คงคา จึงมาซื้อคอนโดแห่งนี้โดยไม่ได้นัดหมาย มารู้ทีหลังก็เปลี่ยนใจไม่ทันแล้ว
เช่นเดียวกับสองผู้เฒ่า ที่มาอยู่ในลิฟต์เดียวกันโดยไม่คาดคิด และไม่มีใครยอมถอยหลังกลับ จึงต้องก้าวเข้ามาประจันหน้าโดยปราศจากการเตรียมตัว
เมื่อสองสิงห์เฒ่ามาอยู่ในลิฟต์เดียวกัน...จะเกิดเรื่องราวใดขึ้น...
บทที่ ๑๑
“กูจะไปบอกเรื่องวันนั้นให้หลานกูรู้!” วาจาเรียบ ๆ เริ่มต้นจากปู่เผด็จเป็นเชิงบอกเล่า
ปู่คงคาตวัดสายตาคมปลาบ
“งั้นเรอะ” คำย้อนจงใจเสียดแทง
“มึงล่ะ?” อดีตเพื่อนรักย้อนบ้าง
“กูบอกไปแล้ว” แววตาไม่ยี่หระ
ปู่เผด็จประสานสายตาอย่างไม่เกรง
“บอกหรือเปล่า...ทำไมขากูหักอย่างนี้” วาจาแข็งขึ้น
“แล้วเรื่องเมียกู...ความผิดใคร?” แววตาปู่คงคาฉายรอยเจ็บปวด
“จนถึงวันนี้ มึงก็ยังโทษกู” เสียงบอกความเจ็บปวดไม่แพ้กัน
แววตาปู่คงคาฉายรอยละอายใจชั่วแวบ...หากมองด้วยใจเป็นกลาง...ตนเองไม่มีสิทธิโทษอดีตเพื่อนรักได้เลย
สองฝ่ายนิ่งเงียบ ลิฟต์เลื่อนลง บรรยากาศตึงเครียด ผู้ติดตามทั้งคู่ต่างไม่กล้าเอ่ยปากสอดคำ แนบร่างติดผนังลิฟต์สงบงันราวปราศจากตัวตน
“สิบกว่าปีแล้วนะ” ปู่เผด็จเอ่ยอีกครั้ง
“สิบกว่าปี...มันยังไม่นานพอให้ลืมได้หรอก” ปู่คงคาพูดราวทอดอาลัย
ปู่เผด็จถอนใจยาว...สิบกว่าปี...มันไม่นานพอที่จะละลายความเจ็บปวด รู้สึกผิดในใจได้
เรื่องในวันนั้นซับซ้อน เกินกว่าจะบอกเล่ากันสั้น ๆ หากปู่เผด็จไม่เกรงหลานชายจะพลาดพลั้ง หลงกล รับรองไม่มีทางยอมเอ่ยปากเล่าเรื่องที่ตั้งใจปิดบังมานับสิบกว่าปีแน่
“มึงจะบอกหลานได้มากแค่ไหน” ปู่คงคามั่นใจอดีตเพื่อนรักไม่มีทางเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดแน่นอน
“มาก...เท่าที่จำเป็น...มากพอ...เท่าที่จะไม่ทำให้หลานกูต้องพลาด...อย่างพวกเรา” ปู่เผด็จสวนคืน
ปู่คงคาอึ้ง...ปราศจากวาจาย้อนกลับ ต่างฝ่ายรู้จักกันดีเกินไป...
สองผู้เฒ่านิ่งงัน คุมเชิงกันและกัน...เรื่องราวหนหลังมีรายละเอียดซับซ้อนมากมาย ทั้งคู่ตั้งใจบอกเล่าเหตุการณ์วันนั้นแก่หลานรักแค่ส่วนเดียว เฉพาะเรื่องที่ตนประสบกลอุบายตอนไปปิดผนึกอาคมซ้ำ...
เพื่อไม่ให้หลานรักต้องพลาดพลั้ง หลงกล ‘ผู้ร้ายในเงา’ อย่างที่ตนเคยพลาด และเรื่องสำคัญอีกอย่างที่พิจิก เมษาจำเป็นต้องรู้...นั่นคือ...ผู้ร้ายในเงา ไม่ได้มีแค่คนเดียว!
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
เวลาเย็น ห้องอาหารหลังเรือนครัว
ลูกจ้าง คนงานศิวาดลตักอาหารกระจายกันนั่งตามโต๊ะต่าง ๆ เมษากับพี่แววนั่งร่วมโต๊ะที่มุมห้อง พิจิกกินข้าวร่วมกลุ่มกับคนขับรถอีกมุมหนึ่ง
ช่วงเวลาอาหารเย็น ผู้คนคึกคัก ไม่ว่าใครทำงานตรงไหน ในตึกใหญ่หรือกลางสนามหญ้า ต่างต้องมารับประทานอาหารที่นี่เหมือนกันหมด ยกเว้นบางคนที่ออกไปกินอาหารตามร้านด้านหลังศิวาดล กับบางคนที่ได้สิทธิพิเศษ รับประทานอาหารในครัวตึกใหญ่
ระหว่างรับประทานอาหาร กลุ่มลูกจ้าง คนงานพูดคุยกันสนุกสนาน ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว รื่นเริงมีความสุข จนกระทั่งจู่ ๆ เสียงพูดคุยขาดชะงัก เงียบกริบ เมื่อคุณแม่บ้านใหญ่เดินเข้ามาในห้องอาหาร ตักกับข้าวเหมือนคนอื่น แล้วเดินไปยังโต๊ะเมษา
“เก้าอี้นี่ว่างมั้ย” แม่บ้านเข็มทองถาม
“ว่างค่ะ” พี่แววรีบตอบ
แม่บ้านใหญ่นั่งรับประทานอาหารไม่พูดไม่จา คนงานในห้องล้วนฝืดคอ อึดอัด เร่งรับประทานอาหารตรงหน้าอย่างเร็ว เพื่อจะได้ออกจากบรรยากาศนี้
ปกติแม่บ้านใหญ่จะได้รับสิทธิพิเศษ รับประทานอาหารที่ครัวตึกใหญ่ศิวาดล นานครั้งเธอถึงมารับประทานอาหารที่นี่ ส่วนใหญ่มาเพื่อตรวจสอบ ดูความเรียบร้อยลูกจ้าง คนงาน
การมาครั้งนี้ แม่บ้านเข็มทองไม่ได้สอดส่องมองใครอย่างจับผิด รับประทานอาหารเงียบ ๆ เหมือนเป็นลูกจ้างธรรมดาคนหนึ่ง
ถึงอย่างนั้นเหล่าคนงานในห้องอาหารล้วนรีบรับประทานจนอิ่ม เก็บจานคืนห้องครัวก่อนออกไปจนหมด เหลือแค่โต๊ะพิจิก กับโต๊ะเมษา พี่แววเท่านั้น
พี่แววกินข้าวเสร็จ เก็บจานขอตัวลุกจากโต๊ะ เมษาขยับลุกตาม คราวนี้คุณแม่บ้านเงยหน้าพูดเรียบ ๆ
“อยู่คุยกันก่อนนะเมษา”
สองลูกจ้างสาวสบตากัน เมษาส่งสายตาขอความช่วยเหลือ พี่แววตีหน้าแหย รู้นิสัยแม่บ้านเข็มทองดี หากเอ่ยปากอย่างนี้ แสดงว่าต้องการรั้งไว้คนเดียว คนอื่นควรรีบไปให้ไกล
เมษานั่งลงอย่างจำใจ พี่แววทำท่าให้กำลังใจก่อนเผ่นแผล็วออกจากห้องอาหารแบบไม่เหลียวหลัง
คนขับรถร่วมโต๊ะพิจิกต่างตามผู้ช่วยแม่ครัวตึกใหญ่ออกไป เหลือพิจิกที่จงใจชะลอเวลา กินอาหารช้า ๆ ดูทีท่าแม่บ้านใหญ่จะมาไม้ไหน
ส่วนลึกในใจเป็นห่วงหญิงสาว ต่อให้มั่นใจอีกฝ่ายเอาตัวรอดได้ เขาก็ยังอยากรู้เหตุผลการรั้งตัวเมษาเอาไว้ของแม่บ้านใหญ่
“พิจิก มานั่งด้วยกันสิ” คุณแม่บ้านส่งเสียงเรียก เมื่อเห็นชายหนุ่มนั่งที่โต๊ะอาหารคนเดียว
“ครับ” ชายหนุ่มยกจานเปล่าไปเก็บ ก่อนมานั่งเก้าอี้ข้างเมษา ตรงข้ามแม่บ้านเข็มทอง
“เธอสองคนมาทำงานพร้อมกันใช่มั้ย” คำถามแรกเป็นการเกริ่นนำ
“ครับ”
“ค่ะ”
คำตอบสั้น จงใจไม่ลงรายละเอียด
“มาทำงานหลายวันแล้ว...รู้สึกยังไงบ้างล่ะ” แม่บ้านใหญ่หันทางเมษา
“ดีค่ะ” ลูกจ้างสาวจงใจถนอมปากคำ
คราวนี้สายตาคมปลาบ วกมายังพิจิก
ชายหนุ่มเกือบตอบ ‘ดีครับ’ เลียนแบบหญิงสาว แต่รู้สึกจงใจเล่นลิ้นเกินไปจึงเปลี่ยนคำตอบ
“สนุกดีครับ มีเรื่องให้เรียนรู้หลายอย่าง”
“เธอตอบเหมือนไม่ใช่คนจบมัธยม มาจากบ้านนอกเลยนะ” แม่บ้านใหญ่ตวัดสายตาคมกริบ จ้องตรง
พิจิกยิ้มกว้าง ไม่แสดงสีหน้าผิดปกติ
“ผมชอบเรียนรู้ครับ” คำตอบสมเหตุผลโดยไม่ต้องโป้ปด
แม่บ้านเข็มทองจงใจไม่ไล่ต้อนอีกฝ่ายให้จนมุม จึงพูดอีกเรื่อง
“รู้ใช่มั้ยว่าพวกเธอเป็นลูกจ้างชั่วคราว ทำงานแค่เดือนเดียว” คุณแม่บ้านจดจำรายละเอียดลูกจ้างได้หมดทุกคน
“ค่ะ...น่าจะอยู่เลยหลังงานเปิดรั้วศิวาดล ไม่เกินครึ่งเดือน” เมษาตอบรับ
“อยากทำงานต่อเป็นลูกจ้างประจำมั้ย?” แม่บ้านใหญ่พูดขึ้น
“คะ” เมษาแปลกใจ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายเจตนามาคุยเรื่องนี้
“ที่จริง คุณสมบัติเธอในใบสมัคร มันไม่พอทำงานที่นี่หรอก แต่คุณแพรพลอยชอบเธอ เลยให้ฉันมาบอกว่าเธอสามารถเป็นลูกจ้างประจำที่นี่ได้”
“ขอบคุณค่ะ” เมษายกมือไหว้ โดยไม่กล่าววาจาตอบรับอย่างใด
คราวนี้แม่บ้านเข็มทองหันมาพูดกับพิจิก
“ส่วนเธอ...พิจิก” สายตาแลตรง จ้องชายหนุ่มเหมือนเครื่องเอ็กซเรย์ “คุณศิวาพอใจฝีมือเธอมาก อยากให้เธอเป็นคนขับรถส่วนตัว แต่ฉันบอกคุณท่านแล้วว่าคุณสมบัติเธอยังไม่พอ อีกอย่างเธอเป็นลูกจ้างชั่วคราว พอครบเดือนหมดวาระก็ต้องเลิกจ้าง...คุณศิวาเลยออกปากบอกเหมือนกันว่า เธอสามารถทำงานประจำที่นี่ได้ ส่วนตำแหน่งคนขับรถส่วนตัวของท่าน เอาไว้ค่อยพิจารณาอีกที”
“ขอบคุณครับ” พิจิกยิ้มกว้าง ยกมือไหว้ ถึงไม่จงใจเลียนแบบเมษา แต่ดูแล้ว สองหนุ่มสาวกำลังเป็นภาพสะท้อนกันและกัน
แม่บ้านใหญ่กวาดสายตาผ่านสองหนุ่มสาว นัยน์ตาแลตรงลึก หมายขุดค้นให้เห็นความลับที่ซ่อนในใจลูกจ้างทั้งสอง สิ่งที่พบกลับเป็นนัยน์ตาซื่อ ปราศจากเล่ห์กล
ความคิดประหลาดผ่านเข้ามาในหัวแม่บ้านใหญ่แวบหนึ่ง
“อ้อ...พวกเธอเคยเห็น ‘ผี’ มั้ย” คำถามจู่โจม ไม่ทันให้ตั้งตัว
“เคยครับ...ตอนอยู่ที่บ้านต่างจังหวัด ผมไปงานล้างป่าช้าบ่อย ๆ” พิจิกไม่โกหก คำตอบนั้นครอบคลุมความนัยกว้างขวาง หากอีกฝ่ายไม่จงใจไล่ต้อนให้จนมุม เขายังสามารถตอบเลี่ยงได้เรื่อย ๆ
เมื่อพิจิกชิงตอบก่อน เมษาจึงใช้วิธีนิ่ง รอให้แม่บ้านใหญ่ย้ำถามอีกครั้ง ค่อยหาคำตอบเอาตัวรอด
น่าแปลก...แม่บ้านเข็มทองไม่ย้ำถาม ไม่ไล่ต้อน เหมือนคำตอบที่ได้รับเท่านี้เพียงพอแล้ว
คำพูดต่อมา ยิ่งทำให้สองหนุ่มสาวสะดุ้งวาบ
“ถ้าพวกเธอเจออะไรแปลก ๆ ที่ศิวาดล...ก็บอกฉันได้นะ!”
พิจิก เมษามั่นใจ แม่บ้านใหญ่ไม่มีทางพูดแบบนี้กับลูกจ้างใหม่ทุกคนแน่...
แววตาสตรีกลางคนไม่ฉายร่องรอยอารมณ์ ความรู้สึก สองหนุ่มสาวยากตีความ อ่านความหมายแท้จริงในคำพูดประโยคนั้นไม่ออก
แม่บ้านเข็มทองลุกขึ้น เก็บจานไปส่งข้างในเรือนครัว ก่อนเดินจากไป ทิ้งปริศนาค้างคา ให้ทั้งคู่สงสัย ครุ่นคิดหาคำตอบอย่างกังวล หนักใจ...
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
< Prev | Next > |
---|