ธรรมะจากพระสูตร Dhamma from Sutta

ปาริฉัตตกสูตร ว่าด้วยเปรียบภิกษุเหมือนต้นปาริฉัตร


กลุ่มไตรปิฎกสิกขา



[๖๖] ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ปาริฉัตตกพฤกษ์แห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์มีใบเหลือง
สมัยนั้น เทวดาชั้นดาวดึงส์พากันดีใจว่า
เวลานี้ต้นปาริฉัตตกพฤกษ์ใบเหลือง ไม่นานเท่าไรก็จักผลัดใบใหม่.


สมัยใด ปาริฉัตตกพฤกษ์ของเทวดาชั้นดาวดึงส์ผลัดใบใหม่
สมัยนั้น เทวดาชั้นดาวดึงส์พากันดีใจว่า
เวลานี้ต้นปาริฉัตตกพฤกษ์ กำลังผลัดใบใหม่ ไม่นานเท่าไรก็จักผลิดอกออกใบ.


สมัยใด ปาริฉัตตกพฤกษ์ของเทวดาชั้นดาวดึงส์ผลิดอกออกใบแล้ว
สมัยนั้น เทวดาชั้นดาวดึงส์พากันดีใจว่า
เวลานี้ปาริฉัตตกพฤกษ์ผลิดอกออกใบแล้ว ไม่นานเท่าไรก็จักเป็นช่อดอกเป็นช่อใบ.


สมัยใด ปาริฉัตตกพฤกษ์ของเทวดาชั้นดาวดึงส์เป็นดอกเป็นใบแล้ว
สมัยนั้น เทวดาชั้นดาวดึงส์พากันดีใจว่า
เวลานี้ปาริฉัตตกพฤกษ์เป็นดอกเป็นใบแล้ว ไม่นานเท่าไรก็จักเป็นดอกตูม.


สมัยใด ปาริฉัตตกพฤกษ์ของเทวดาชั้นดาวดึงส์เป็นดอกตูมแล้ว
สมัยนั้น เทวดาชั้นดาวดึงส์พากันดีใจว่า
เวลานี้ ปาริฉัตตกพฤกษ์ออกดอกตูมแล้ว ไม่นานเท่าไรก็จักเริ่มแย้ม.


สมัยใด ปาริฉัตตกพฤกษ์เริ่มแย้มแล้ว
สมัยนั้น เทวดาชั้นดาวดึงส์พากันดีใจว่า
เวลานี้ปาริฉัตตกพฤกษ์เริ่มแย้มแล้ว ไม่นานเท่าไรก็จักบานเต็มที่.


สมัยใด ปาริฉัตตกพฤกษ์ของเทวดาชั้นดาวดึงส์บานเต็มที่แล้ว
สมัยนั้น เทวดาชั้นดาวดึงส์พากันดีใจ เอิบอิ่ม พรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕
บำรุงบำเรออยู่ตลอดระยะ ๔ เดือนทิพย์ ณ ควงแห่งไม้ปาริฉัตตกพฤกษ์
ก็เมื่อปาริฉัตตกพฤกษ์บานเต็มที่แล้ว แผ่รัศมีไปได้ ๕๐ โยชน์
ในบริเวณรอบ ๆ จะส่งกลิ่นไปได้ ๑๐๐ โยชน์ตามลม
อานุภาพของปาริฉัตตกพฤกษ์มีดังนี้.


ภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล
สมัยใด อริยสาวกคิดจะออกบวชเป็นบรรพชิต
สมัยนั้น อริยสาวกเปรียบเหมือน
ปาริฉัตตกพฤกษ์ของเทวดาชั้นดาวดึงส์มีใบเหลือง.


สมัยใด อริยสาวกปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต
สมัยนั้น อริยสาวกเปรียบเหมือน
ปาริฉัตตกพฤกษ์ของเทวดาชั้นดาวดึงส์ผลัดใบใหม่.


สมัยใด อริยสาวกสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว
บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่
สมัยนั้น อริยสาวกเปรียบเหมือน
ปาริฉัตตกพฤกษ์ของเทวดาชั้นดาวดึงส์ ผลิดอกออกใบ.


สมัยใด อริยสาวกบรรลุทุติยฌานมีความผ่องใสแห่งใจในภายใน
เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบ ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร
มีแต่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่
สมัยนั้น อริยสาวกเปรียบเหมือน
ปาริฉัตตกพฤกษ์ของเทวดาชั้นดาวดึงส์เป็นช่อดอกเป็นช่อใบ.


สมัยใด อริยสาวกมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ เสวยสุขด้วยนามกาย
เพราะปีติคลายไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า
ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข
สมัยนั้น อริยสาวกเปรียบเหมือน
ปาริฉัตตกพฤกษ์ของเทวดาชั้นดาวดึงส์เป็นดอกตูม.


สมัยใด อริยสาวกบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข
เพราะละสุขและทุกข์ได้ เพราะโสมนัสและโทมนัสดับสนิทในก่อน
อันมีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาอยู่
สมัยนั้น อริยสาวกเปรียบเหมือน
ปาริฉัตตกพฤกษ์ของเทวดาชั้นดาวดึงส์ดอกเริ่มแย้ม.


สมัยใด อริยสาวก ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่
สมัยนั้น อริยสาวกเปรียบเหมือน
ปาริฉัตตกพฤกษ์ของเทวดาชั้นดาวดึงส์ดอกบานเต็มที่
สมัยนั้น ภุมมเทวดาย่อมประกาศให้ได้ยินดีว่า ท่านรูปนี้ มีชื่ออย่างนี้
เป็นสัทธิวิหาริกของท่านชื่อนี้ ออกจากบ้านหรือนิคมชื่อโน้น
บวชเป็นบรรพชิต กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่.


เทวดาชั้นจาตุมหาราช ฟังเสียงแห่งภุมมเทวดาแล้ว ย่อมประกาศให้ได้ยินว่า
ท่านรูปนี้ มีชื่ออย่างนี้ เป็นสัทธิวิหาริกของท่านชื่อนี้ ออกจากบ้านหรือนิคมชื่อโน้น
บวชเป็นบรรพชิต กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่.


เทวดาชั้นดาวดึงส์ ฟังเสียงแห่งเทวดาชั้นจาตุมหาราชแล้ว ย่อมประกาศให้ได้ยินว่า
ท่านรูปนี้ มีชื่ออย่างนี้ เป็นสัทธิวิหาริกของท่านชื่อนี้ ออกจากบ้านหรือนิคมชื่อโน้น
บวชเป็นบรรพชิต กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่.


เทวดาชั้นยามา ฟังเสียงแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์แล้ว ย่อมประกาศให้ได้ยินว่า
ท่านรูปนี้ มีชื่ออย่างนี้ เป็นสัทธิวิหาริกของท่านชื่อนี้ ออกจากบ้านหรือนิคมชื่อโน้น
บวชเป็นบรรพชิต กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่.


เทวดาชั้นดุสิต ฟังเสียงแห่งเทวดาชั้นยามาแล้ว ย่อมประกาศให้ได้ยินว่า
ท่านรูปนี้ มีชื่ออย่างนี้ เป็นสัทธิวิหาริกของท่านชื่อนี้ ออกจากบ้านหรือนิคมชื่อโน้น
บวชเป็นบรรพชิต กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่.


เทวดาชั้นนิมมานรดี ฟังเสียงแห่งเทวดาชั้นดุสิตแล้ว ย่อมประกาศให้ได้ยินว่า
ท่านรูปนี้ มีชื่ออย่างนี้ เป็นสัทธิวิหาริกของท่านชื่อนี้ ออกจากบ้านหรือนิคมชื่อโน้น
บวชเป็นบรรพชิต กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่.


เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี ฟังเสียงแห่งเทวดาชั้นนิมมานรดีแล้ว ย่อมประกาศให้ได้ยินว่า
ท่านรูปนี้ มีชื่ออย่างนี้ เป็นสัทธิวิหาริกของท่านชื่อนี้ ออกจากบ้านหรือนิคมชื่อโน้น
บวชเป็นบรรพชิต กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่.


เทวดาชั้นพรหมฟังเสียงแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดีแล้ว ย่อมประกาศให้ได้ยินว่า
ท่านรูปนี้ มีชื่ออย่างนี้ เป็นสัทธิวิหาริกของท่านชื่อนี้ ออกจากบ้านหรือนิคมชื่อโน้น
บวชเป็นบรรพชิต กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่.


ด้วยเหตุนี้ เสียงก็ระบือไปตลอดพรหมโลกชั่วขณะนั้น ชั่วครู่นั้น
อนุภาพของพระขีณาสพเป็นดังนี้.


ปาริฉัตตกสูตร จบ



(ปาริฉัตตกสูตร พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๓๗)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP