วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
ศิวาดล ๑๔
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
เข็มกลัดลายเซ็นดลดาราอยู่ในมือเมษา พลอยสีแดงเม็ดเล็กสะท้อนแสงไฟเข้ากระทบตา ปลายนิ้วหญิงสาวลูบหัวพลอยเบา ๆ จิตสงบราบเรียบ เปิดรับสัญญาณสื่อสารที่จะถ่ายทอดออกมา
แต่แล้ว...ตึง...ตึง...ตึง...
เสียงเคาะประตูดังสนั่น สมาธิแตกซ่าน เงยหน้ามองประตูห้องพัก สังหรณ์ในใจกระตุ้นเตือนบอกให้รู้ถึงความผิดปกติ
ตึง...ตึง...ตึง...เสียงถี่ดังตามมาอีกชุดชนิดไม่เกรงใจใคร
เมษาลุกจากเตียง เดินไปที่ประตู ไม่ส่งเสียงร้องถามว่าใครเป็นคนเคาะเรียก มือจับลูกบิด หรี่ตาเล็กน้อยเพ่งสัมผัสทางจิตออกจับกระแสคลื่นด้านหลังประตู
ผัสสะที่ได้รับเหมือนเผชิญหมอกมัวซัว ทว่าไม่มีวี่แวว ร่องรอยประสงค์ร้าย
แง้มประตูเล็กน้อย สอดสายตามองออกไปด้านนอก พบความว่างเปล่า แสงไฟบนทางเดินหน้าห้องส่องสว่าง มองไม่เห็นใครสักคน
เปิดประตูกว้างชะโงกหน้าออกไปดู มองจนสุดทางเดินซ้ายขวาไม่พบผู้คน ไม่มีร่องรอยเจ้าของเสียงเคาะประตูยามวิกาล
ที่น่าแปลกใจกว่านั้น ห้องลูกจ้างสาวข้าง ๆ ต่างสงบงัน ไม่มีใครเปิดประตูออกมาดูหน้าบุคคลที่สร้างความรำคาญกลางดึก
เหมือนกับว่า...เมษาได้ยินเสียงเคาะประตูดังสนั่นนั้นเพียงคนเดียว
กำลังจะงับประตูปิดดังเดิม พลันหางตารับภาพเงาราง ๆ เพิ่งปรากฏตัวอยู่ตรงหัวบันได ลักษณะเหมือนกำลังยืนรอคอยหล่อนอยู่เนิ่นนานแล้ว...
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
พิจิกส่งรายงานผลตรวจสารพิษในนมก้นแก้วจากกองพิสูจน์หลักฐานไปให้ปู่เผด็จตั้งแต่ตอนกลางวัน พร้อมตั้งข้อสงสัยถึงความแตกต่างของผลที่ได้รับ และขอให้ปู่ช่วยตรวจสอบผลการตรวจหลักฐานที่ให้ไปอีกครั้ง
จนถึงเวลานี้ยังไม่ได้รับการติดต่อ ยืนยันจากท่านผู้เฒ่า...
ชายหนุ่มเปิดเช็คไลน์อีกครั้ง เมื่อยังไม่มีการติดต่อกลับ จึงเปิดหาข้อมูลด้านธุรกิจของนายศิวาทางอินเทอร์เน็ต ตั้งใจค้นหาว่าเขามีธุรกิจใดบ้าง แต่ละธุรกิจได้สร้างศัตรูแบบไหน กับใคร
เพียงแค่พิมพ์ชื่อนายศิวาลงไป ประตูหน้าห้องก็มีเสียงเคาะลั่น
ตึง...ตึง...ตึง...เป็นเสียงดังสนั่น ถี่รัวชนิดไม่เกรงใจห้องข้างเคียงเลย
พิจิกลุกจากเก้าอี้ ขมวดคิ้วสงสัย ใครมาเคาะประตูกลางดึกขนาดนี้ พอเดินมาถึงหน้าประตู เสียงเคาะก็ดังรัวมาอีกรอบ
ตึง...ตึง...ตึง...คราวนี้รู้สึกชัด บานประตูไม่มีแรงสั่นสะเทือน เสียงนั้นก้องมาจากนอกห้อง คล้ายเป็นการส่งเสียงร้องเรียก
พิจิกเปิดประตูออกกว้าง ไม่แปลกใจที่หน้าห้องปราศจากผู้คน ไม่มีใครเคาะประตูทั้งนั้น เหลียวมองซ้ายขวาตามทางเดินค่อยสะดุดสายตา อมยิ้มน้อย ๆ
ที่หัวบันได ห่างออกไปประมาณสามสี่ห้อง มีเงาร่างราง ๆ ปรากฏขึ้น มองตรงมายังพิจิก แล้วค่อยหันเดินลงบันไดช้า ๆ ลักษณะเหมือนต้องการชักชวนให้ตามออกไป
ชายหนุ่มยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋า ก้าวออกจากห้อง ปิดประตูตามหลัง
ถ้าลงทุนมาเชิญชวนกันขนาดนี้ ขืนไม่ตามไป คงเสียชื่อศิษย์มีครูแย่เลย...
บทที่ ๙
นอกตึกพักคนงาน อากาศเย็นสบาย สายลมยามดึกพัดโชยชาย พากลิ่นดอกไม้หอมยามราตรีกรุ่นกระจาย แสงไฟริมถนนภายในศิวาดลส่องสว่างเป็นจุด สาดแสงสีส้มเหลืองเป็นบริเวณเฉพาะ ไม่อาจนำความสว่างสู่มุมมืดที่อยู่ลึกจากริมทางได้เลย
เมษาซุกมือล้วงกระเป๋า เข็มกลัดลายเซ็นดลดาราอยู่ในนั้น ปลายนิ้วสัมผัสเบา ๆ พอรู้สึก สมาธิหญิงสาวอยู่ตรงหน้า สายตาเกาะติดเงาร่างราง ๆ ที่เดินนำทางอย่างไม่รู้จุดหมาย
ถึงจะรู้เส้นทางภายในศิวาดลพอสมควร ทว่าเส้นทางเล็กที่แยกจากถนนภายในออกมานั้น เมษาไม่คุ้นเคย ไม่รู้เลยว่าจุดหมายปลายทางเป็นที่ใด กระนั้นก็ยังไม่หยุดตาม เพิ่มสติสมาธิ สังเกตบรรยากาศรอบตัวละเอียดกว่าเดิม
ทางเส้นเล็กโรยกรวดหยาบทอดไปสู่แนวสวนป่า ปลูกต้นไม้หายากเป็นแถวแนว มีระเบียบผิดกับป่าธรรมชาติ พอเดินลึกเข้าไปจะมองเห็นแสงไฟจุดเรืองอยู่เบื้องหน้า ผู้นำทางเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น เมษาต้องสาวเท้าก้าวยาวกว่าเดิม
เดินมาครู่หนึ่งถึงกลางสวนป่า ค่อยเห็นที่มาแสงไฟชัดเจน มันส่องสว่างออกมาจากบ้านหลังน้อยชั้นเดียวตั้งบนเนินดินสวย ปลูกสวนหย่อมเล็ก ๆ รายล้อมคล้ายบ้านตามรีสอร์ต ผิดแต่ยามนี้มันดูทะมึน ลึกลับ น่าหวาดหวั่น แสงไฟที่ส่องลอดบานหน้าต่างคลับคล้ายกรงเล็บปิศาจกวักมือเชิญชวนให้ลอบเข้าไปชมความลับของมัน
เมษาชะงักเท้าเมื่อสัมผัสพลังงานบางอย่างแผ่ออกปกคลุมรอบบ้านน้อยหลังนั้น เป็นพลังงานที่มีรูปร่างเหมือนตาข่าย คอยดักจับความเคลื่อนไหวผู้แปลกปลอม ที่แอบเร้นกายมาโดยไม่บอกกล่าว
ขณะหญิงสาวหยุดยืนนอกตาข่ายกันผู้บุกรุก ผู้นำทางยังคงสาวเท้าเข้าไปภายใน เห็นแล้วต้องเบิกตากว้างเมื่อเงาร่างนั้นดูชัดเจนขึ้น จนปรากฏเป็นผู้หญิงสาวผมยาว สวมชุดนอนสีฟ้ากรุยกราย เสี้ยวใบหน้าดูคุ้นตา ข้อเท้ามีสายโซ่คล้อง เพียงแต่สายโซ่เส้นนั้นดูรางเลือน ราวกับมันอ่อนพลังอำนาจลงชั่วคราว
‘เธอ’ เดินตรงไปยังประตูและหายลับเข้าไปต่อหน้าต่อตา!
หญิงสาวนิ่งไตร่ตรองชั่วขณะ ชั่งใจว่าควรทำอย่างไรต่อไป แล้วสายตาก็พบวิญญาณอีกดวง เดินมาจากอีกเส้นทางหนึ่ง ร่างดูรางเลือนเมื่ออยู่นอกอาณาเขตบ้าน พอย่างก้าวผ่านตาข่ายมนตราก็ดูชัดเจน ปรากฏเป็นหญิงสาวสวมชุดขาวอมฟ้าแบบคนป่วยในโรงพยาบาล ใบหน้าซีดเผือดน่าจะเคยเห็นผ่านตามาก่อนเช่นกัน ข้อเท้ามีสายโซ่เลือน ๆ ไม่ต่างจากวิญญาณดวงแรก
พอมองตามวิญญาณดวงนั้นจนหายลับหลังบานประตู เมษาค่อยสังเกตเห็นชายหนุ่มผู้คุ้นเคยยืนอยู่อีกด้าน ลักษณะท่าทางเหมือนเดินตามวิญญาณดวงนั้นจนมาหยุดเท้านอกตาข่ายมนตราเช่นเดียวกับเธอ
เมษาสบตาพิจิก ไม่กล่าววาจาแก่กัน สถานการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ต่างคนย่อมทราบ ไม่ใช่เวลามาหยอกล้อ เล่นหัว อันตรายมีอยู่รอบตัว ประมาทไม่ได้เด็ดขาด
ตั้งแต่เสียงเคาะประตูดังสนั่น ดวงวิญญาณนิรนามชักนำพวกตนมาถึงที่นี่ แสดงว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญ เหล่าภูตผีมีจุดประสงค์พาพวกเธอมาพบเหตุการณ์บางอย่าง...
เหตุการณ์นั้นคืออะไร?
มายืน ณ จุดนี้ สองหนุ่มสาวต่างทราบ หากก้าวไปข้างหน้าเพียงก้าวเดียว ตาข่ายพลังงานครอบคลุมบ้านจะส่งสัญญาณเตือนผู้อยู่ภายใน...สิ่งที่เหล่าภูตผีต้องการให้ชมอาจเปลี่ยนแปลงกลับกลาย เพราะ ‘บางคน’ ในนั้นย่อมรู้ตัว หยุดการกระทำที่อาจเป็นความลับนี้ไว้ก่อน
สองสายตาสบกัน ระยะห่างไม่อาจปิดบังแววตาท้าทาย...ใครจะกล้าก้าวเข้าไปก่อน?
...ตามผู้นำทางมาถึงที่นี่แล้ว ไม่ยอมถอยเด็ดขาด ต้องรู้ให้ได้...ข้างในบ้านมีอะไร?...
ความคิดสองคนไม่ต่างกัน...อีกทั้งวิชาอาคมก็เรียนมาจากสำนักเดียวกัน หนึ่งในหลากหลายวิชาที่ได้เรียนรู้นั่นคือ ‘มนตร์พรางตัว’
มนตร์พรางตัวเป็นเสมือนการล่องหนหายตัว ใช้ต่อกรรับมือกับผู้มีอาคมด้วยกัน ตาข่ายอาคมใดไม่สามารถดักจับ รับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขาได้ กระทั่งภูตผี วิญญาณต่าง ๆ ล้วนไม่อาจแลเห็น
...เป็นวิชาที่ไม่ค่อยใช้บ่อยนัก แต่ฝึกฝนจนช่ำชองกันแล้ว...
มนตร์พรางตัวถูกสวดในใจ ด้วยจิตทรงสมาธิ ตั้งมั่น เปล่งอานุภาพออกมาภายในเวลาไม่กี่อึดใจ บังเกิดอาการขนลุกซู่หัวจดเท้า ชาวาบทั้งร่าง รู้สึกราวกับร่างกายกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติรอบตัว
พิจิก เมษาย่างเท้าเข้าไปในเขตตาข่ายมนตราคุ้มครองบ้านน้อยพร้อมกัน
หลังม่านอาคมเป็นเสมือนอีกโลกหนึ่ง บรรยากาศรอบกายนิ่งสงัด สายลมไม่โพยพัด ใบไม้ไม่กระดิก ปราศจากเสียงกรีดปีกแมลงราตรี
สองหนุ่มสาวเดินตรงไปยังบานหน้าต่าง ซึ่งมีแสงไฟลอดออกมาโดยไม่ได้นัดหมาย ไม่พูดจา ไม่แม้กระทั่งสบสายตาสื่อสารแทนวาจา
ทั้งคู่ยืนนิ่งริมหน้าต่าง จิตทรงในสมาธิ มนตร์อำพรางตัวยังทำงาน สายตามองเข้าไปหลังบานหน้าต่าง เห็นสภาพห้องโล่งกว้าง ตรงกลางตั้งโต๊ะวางพานดอกไม้ ร่างของคุณเข็มทอง แม่บ้านใหญ่อยู่ในชุดขาวยาวกรอมเท้ายืนเด่นสง่า รายล้อมด้วยดวงวิญญาณหลายสิบ!
ดวงวิญญาณเหล่านั้นส่วนใหญ่อยู่ในเครื่องแต่งกายโบราณ ผู้ชายเปลือยอก นุ่งผ้าหยักรั้ง ผู้หญิงนุ่งโจงกระเบน สวมผ้าแถบ มีดวงวิญญาณแค่สี่ตนเท่านั้นที่สวมเสื้อผ้าปัจจุบัน...
หนึ่งคือดลดารา นายหญิงคนแรกของศิวาดล คนที่สองสวมชุดนอนกรุยกรายสีฟ้า ผู้นำพาเมษามาถึงบ้านน้อยหลังนี้...เธอคือรายา ภรรยาคนต่อมาของนายศิวา ส่วนคนที่สามสวมชุดคนไข้โรงพยาบาล ผู้นำทางพิจิก คือพรนรี นายหญิงผู้เสียชีวิตในโรงพยาบาล ส่วนคนที่สี่คือ โสภี พยาบาลส่วนตัวของแพรพลอย ภรรยาปัจจุบันของนายศิวา เพิ่งเสียชีวิตไม่นาน
ทั้งสี่ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับศิวาดลอย่างเหนียวแน่น และเกือบทุกคน...เสียชีวิตในคฤหาสน์หลังนี้
พิจิก เมษาตรวจสอบ ค้นหาข้อมูลนายหญิงศิวาดลทุกคนแล้ว จึงรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตากับผู้นำทางพวกเขา เพียงแต่ยังไม่แน่ใจ จนกระทั่งทั้งหมดมารวมตัวกันในบ้านขณะนี้
ไม่น่าเชื่อว่า ผู้หญิงที่มีความเกี่ยวข้องกับนายศิวา จะกลายเป็นดวงวิญญาณถูกจองจำในศิวาดลด้วยกันทั้งหมด!
ปัญหา ข้อสงสัยเรียงรายรอให้ขบคิด ภาพตรงหน้ากลับดึงดูดความสนใจหนุ่มสาวทั้งสอง ทำให้วางความสงสัยทั้งหลายเหล่านั้นไปก่อน
แม่บ้านเข็มทองกำลังทำพิธีอะไรบางอย่าง เป็นพิธีที่ผู้ลอบสังเกตการณ์ไม่รู้...ไม่แน่ใจว่าพิธีอะไร
โต๊ะกลางตั้งเพียงพานดอกไม้ ร่างผอมสูงในชุดขาวยืนก้มหน้ามองนิ่งตรงกลางพาน ดวงวิญญาณรายล้อมล้วนอยู่ในอาการสงบ ไม่มีเสียงสวดสาธยายมนตร์ ไม่มีการกระทำพิธีใด นอกจากยืนนิ่ง สงบงัน มีเพียงพลังงานบางอย่างขยายตัวออกมาเข้มข้น เนิบช้า
พลังงานนั้นแผ่กระจายมาจากพานดอกไม้กลางพิธี เข้าสัมผัสร่างภูตผีที่ยืนรายล้อม ชายหนุ่มสังเกตร่างของดลดารา รายา พรนรี และโสภีเป็นพิเศษ อาจเพราะแต่งกายต่างจากคนอื่น ยิ่งเวลานี้พวกเธอทั้งสี่ดูชัดเจนเหมือนคนจริง เห็นรายละเอียดรอยพับกลีบผ้าทิ้งตัวลงมาถึงน่อง พอมองเลื่อนมาถึงข้อเท้าค่อยเห็นว่ามีสิ่งเดียวที่เจือจางเกือบเลือนหายคือสายโซ่ซึ่งล่ามพวกเธออยู่
โซ่พันธนาการข้อเท้ากลายเป็นเงาเบาบาง เมื่อเทียบกับดวงวิญญาณที่ชัดเจนแทบไม่แตกต่างจากคนธรรมดา พลังงานจากพานดอกไม้ดูจะหลั่งไหล ถ่ายเทลงไปยังสายโซ่เจือจางนั้น
ทว่า ต่อให้รอยโซ่เลือนรางลงเพียงใด มันกลับมีความเหนียวแน่นบางอย่าง ยากจะมีใครมาลบเลือน ถอดถอนมันออกไปได้
ครู่ใหญ่ คุณเข็มทองค่อยขยับตัว พลังงานจากพานดอกไม้หายวับ สายโซ่ที่รางเลือนนั้น ปรากฏชัด มีน้ำหนักขึ้นมาทันที
ผู้ลอบสังเกตการณ์ทั้งสองเริ่มรู้สึก ตาข่ายพลังงานครอบคลุมบ้านน้อย กำลังเลือนหาย ส่งผลให้ดวงวิญญาณในบ้านกลายเป็นเงาสีเทาบาง ๆ แยกแยะออกแค่รูปร่าง ทรวดทรง ส่วนสูงเท่านั้น
“ไปเถอะ” แม่บ้านเข็มทองเอ่ยปากคำแรก
เหล่าดวงวิญญาณในห้องต่างกระจัดกระจายแยกย้ายออกไปด้วยสีหน้าหม่นหมอง ทุกข์ทน แต่ละก้าวล้วนหนักอึ้ง ด้วยสายโซ่กลายเป็นพันธนาการแข็งแรง เครื่องมือจองจำอันโหดร้าย ไร้ความปราณี
วิญญาณดลดารา รายา พรนรี และโสภี ยังพอมองเห็นเค้าหน้าชัดเจนกว่าวิญญาณคนโบราณ พวกเธอออกมายืนหน้าประตูบ้าน เหลียวซ้ายแลขวา มองหาใครบางคน พอไม่เห็นก็มีสีหน้าท่าทางแตกต่างกันออกไป
ดลดาราดูสงบเยือกเย็น รายามีความหวาดหวั่น ผิดหวัง พรนรีแสดงอาการกระสับกระส่าย แตกตื่น หวาดกลัวอย่างไม่เข้าใจ ส่วนโสภีค่อนข้างเลื่อนลอย ดูยังไม่คุ้นเคยกับสภาวะใหม่ของตนมากนัก
พิจิก เมษาอยู่ในอำนาจมนตร์พรางตัว ทำให้มีจิตเป็นสมาธิมั่นคงกว่าปกติ ยามทอดสายตามองดวงวิญญาณทั้งสี่ ทำให้รับรู้ เข้าใจการสื่อสารของพวกเธอไม่ยากเย็น
“พวกเขา...อยู่ไหน?” ผู้เอ่ยถามคือดลดารา
“ไปไหน...อยู่ไหน...ไม่รู้...” รายาตอบพลางเหลียวหาอย่างไม่เข้าใจ
“หนู...หนูพาเขามาแล้ว...พามาจริง ๆ” พรนรีพูดซ้ำ ๆ
“ฉันก็เหมือนกัน” รายายืนยัน “เขาตามฉันมาแล้วจริงๆ”
“ถ้าพวกเขาตามเธอมาจริง ๆ แล้วตอนนี้ไปอยู่เสียที่ไหน?” ดลดาราถามด้วยอารมณ์ไม่พอใจ
“ไม่รู้...ไม่รู้” รายา พรนรีตอบแทบจะพร้อมกัน
“น่าเสียดาย” ดลดาราพยายามมองหารอบบ้านอีกครั้ง สายตากวาดผ่านร่างสองหนุ่มสาวสองสามรอบ ก็ยังไม่อาจเห็น รับรู้การมีอยู่ของพวกเขาได้
“เสียดาย...คิดว่าพวกเขา...จะช่วยเราได้...” ดลดารากล่าวทิ้งท้ายก่อนจางหายเป็นคนแรก
รายา พรนรี โสภี ค่อย ๆ เดินบนทางโรยกรวด มุ่งหน้าสู่คฤหาสน์ศิวาดลอย่างเชื่องช้า ฝีเท้าหนักอึ้ง ลักษณะคลับคล้ายไม่อยากกลับไป...แต่...ไม่อาจหลีกเลี่ยง หลบเร้น
ไฟในบ้านน้อยดับวูบ พิจิก เมษาเกิดสังหรณ์ใจ รีบขยับตัวถอยหลัง ก้าวจากจุดที่ยืนไปหลบยังหลังต้นไม้ใหญ่อย่างรวดเร็ว
ครืด....บานหน้าต่างกระจกถูกเลื่อนออก แม่บ้านเข็มทองโผล่หน้าออกมาทันที!
หากทั้งสองยังยืนในจุดเดิม ใบหน้าคุณแม่บ้านคงแทบจ่อมาชน หายใจรดหน้า อาจทำให้สมาธิคลอนแคลน มนตร์พรางตัวคลายลงชั่วขณะ ปรากฏร่างให้อีกฝ่ายเห็นตัวผู้บุกรุก
ขนาดหลบมาอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ เงามืดบังขนาดนี้ สายตาคมกริบของคุณแม่บ้านใหญ่ยังกวาดมองผ่านอยู่หลายรอบ คล้ายเกิดอาการสะกิดใจ ต่อให้มองไม่เห็นใคร ส่วนลึกในใจยังไม่ยอมเชื่อสายตาตนเอง
ดวงตาคมกริบ ลึกซึ้งจ้องมองความมืดนอกหน้าต่างอยู่ครู่หนึ่ง แน่ใจว่าไม่มีผู้บุกรุก ลักลอบสังเกตการณ์จริง จึงค่อยถอยกลับ เลื่อนบานหน้าต่างปิดดังเดิม
ผู้ทรงเวทหนุ่มสาวทั้งสองยังไม่ไว้ใจ ค่อย ๆ ก้าวถอยห่างจากบ้านน้อย และแม่บ้านเข็มทองช้า ๆ มีสติ ไม่กล้ารีบถอนมนตร์พรางตัวจนกว่าจะพ้นระยะสายตา มั่นใจว่าสตรีกลางคนผู้นั้นไม่อาจมองเห็นพวกตนได้แน่นอนแล้วจริง ๆ
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
ฟ้ามืด ทางเดินเลียบสวนป่าอนุรักษ์ ห่างจากถนนภายในศิวาดลจึงไม่ค่อยสว่างนัก เส้นทางพอเห็นรำไร สองหนุ่มสาวเลือกที่จะเดินไกลกว่าเดิม เลี่ยงถนนหลักมายังทางเท้าด้านนอกเพื่อหลบเลี่ยงการเจอยาม เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยซึ่งออกตรวจตามเวลา กับอีกบุคคลที่อาจปรากฏตัวตรงไหนก็ได้...คุณเข็มทอง แม่บ้านผู้ลึกลับ
จากสิ่งที่เห็นคืนนี้ ทั้งคู่ไม่แปลกใจเลยว่า เหตุใดครั้งแรกที่พบเธอตอนเช้ามืด คุณแม่บ้านถึงมีดวงวิญญาณภูตผีคอยติดตาม...
ไม่ว่าเธอจะเป็นคนเลี้ยงผีหรือไม่ มีความเป็นมาเบื้องหลังอย่างไร เชื่อได้ว่านี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งทำให้ภูตผีในศิวาดลไม่กล้าอาละวาดแผลงฤทธิ์ หลอกหลอนผู้คน
เพียงแต่...เธอจะเป็นคนเดียวกับ ‘ผู้ทรงเวทในเงา’ หรือไม่...
เธอกักขัง ผูกตรวนภูตผี วิญญาณเหล่านี้เพื่ออะไร...
การตายของดลดารา รายา พรนรี และโสภี เกี่ยวข้องกับเธออย่างไร...
ปัญหา คำถามหลากหลายเหล่านี้ล้วนวนเวียนในหัวหนุ่มสาวทั้งคู่ ขนาดเดินห่างกันไม่เท่าไหร่ ยังดูท่าทางเหมือนจะไม่รู้สึกถึงความมีอยู่ของกันและกัน
สองร่างเดินเคียงคู่ ห่างกันประมาณหนึ่งก้าว แต่ดูลักษณะท่าทางแล้วคล้ายกับต่างคนต่างเดิน ไม่ได้มาด้วยกัน
ทั้งสองล้วงมือซุกกระเป๋า เดินช้า ๆ จังหวะเดียวกัน สายตาทอดมองตรงข้างหน้า แววตาครุ่นคิด วกวนกับคำถามข้อสงสัยในหัว จนลืมเลือนว่าไม่ได้เดินอยู่คนเดียว
ทางเดินเลียบป่าอนุรักษ์ไกลกว่าเดินบนถนนหลักศิวาดล อีกระยะใหญ่กว่าจะถึงตึกที่พัก ความเงียบกระจายปกคลุมสองร่าง เสียงฝีเท้าเดินแผ่วเบา บรรยากาศรอบตัวไม่มีความอึดอัด น่ารำคาญ เหตุเพราะต่างฝ่ายล้วนจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดตน
ครู่หนึ่งพิจิกค่อยได้สติ สลัดหลุดจากกลุ่มความคิดวกวน หาข้อสรุป คำตอบอันน่าพอใจไม่ได้ เหลือบมองหญิงสาวด้านข้าง เห็นอีกฝ่ายยังจ่อมจม ฟุ้งซ่าน ไม่มีทีท่าจะได้สติง่าย ๆ
“บรรยากาศโรแมนติกดีเนอะ” ชายหนุ่มส่งเสียงพอได้ยิน เรียกอีกฝ่ายให้รู้สึกตัว
เมษาได้สติ หันมามองแต่คร้านต่อปากต่อคำด้วย
“...เห็นแล้วคิดถึงตอนโดนปล่อยทำงานเดี่ยว...เข้าป่าช้า ไปแก้คุณไสยครั้งแรก” พิจิกยกเรื่องเก่ามากระตุ้น เรียกร้องความสนใจ
หญิงสาวไม่ตอบวาจา หากความทรงจำยังแจ่มชัด...
การทดสอบให้ลงสนามเดี่ยวครั้งแรกเกิดขึ้นตอนอายุแค่สิบสามปี...สองปู่พาหลานชายหญิงไปยังป่าช้านอกเมือง เพื่อแก้คุณไสย ทำลายอาถรรพณ์ ช่วยเหลือคนที่โดนทำเสน่ห์ กับคนป่วยจากโรคไม่ทราบสาเหตุ...ไม่มีสมมุติฐานทางการแพทย์
ของอาถรรพณ์ถูกฝังคนละจุดในป่าช้าแห่งนี้ เด็กทั้งสองต้องไปขุดมันขึ้นมาทำลายอาถรรพณ์ให้สำเร็จก่อนเที่ยงคืน
คนธรรมดาเดินป่าช้ายังเสียวสันหลัง ขนลุกซู่ เด็กทั้งสองต้องเดินเข้าไปขุดหาของอาถรรพณ์ และร่ายเวททำลายมันให้สะอาดหมดจดก่อนเที่ยงคืนเพียงคนเดียว...
มันเป็นภารกิจยากเกินไปสำหรับเด็กวัยนี้หรือไม่?
ทว่า...หากผู้เฒ่าทั้งสองไม่มั่นใจฝีมือหลานรักของตน มีหรือจะยอมปล่อยให้ไป...คนเดียว!
เป็นครั้งแรกที่เมษา พิจิกต้องใช้วิชาความรู้ที่เรียนมาทั้งหมดตลอดหลายปี รวมกับสติ สมาธิมาเป็นเครื่องมือช่วยประกอบภารกิจครั้งนี้
ป่าช้า วังเวง มืดทะมึน ภูตผีหลอนหลอก ความหวาดกลัวในใจจู่โจม กับภารกิจเกินวัย มันคือบททดสอบสำคัญสำหรับผู้เรียนเวทวัยเยาว์ทั้งสองคน
ผลสอบครั้งนั้น...ผ่าน...ได้คะแนนเต็ม!
พิจิกเห็นเมษาไม่ยอมตอบวาจาทั้งที่แกล้งแหย่ถึงสองครั้ง จึงขยับปาก ตั้งใจหาเรื่องหยอกล้อต่อ หญิงสาวกลับเอ่ยวาจาเรียบ ๆ ดักคอ
“ที่ชวนฉันคุยนี่...เพราะแกกลัวผีหรือไง...”
“อือ...กลัว” พิจิกสมอ้างหน้าตาเฉย “กลัวแกจับไข้หัวโกร๋น...จะขี้เหร่กว่าตอนนี้อีกเยอะเลย”
เมษาตวัดสายตาดุสวนกลับ ชายหนุ่มอมยิ้มที่สามารถกระตุ้นการสนทนาให้เดินหน้าได้
“ถามจริงเหอะ...ฉันสงสัยมาสักพักแล้ว...ใครเขามาเข้าฝันแกวะ ให้ตัดผมทรงนี้...”
หญิงสาวตัดผมทรงหน้าม้าเต่อ ปล่อยผมด้านข้างเคลียไหล่ แบบจะเป็นทรงบ๊อบก็ไม่ใช่ ไว้ยาวก็ไม่เชิงดูพิลึก ผิดกับนางสาวเมษา หรือ ‘ไอ้เมษ’ สาวหมวยเท่ อดีตดาวคณะวิศวะชนิดเป็นคนละคน
“คนที่มาเข้าฝันฉัน...ก็เป็นคนเดียวกับที่ไปเข้าฝันแกนั่นแหละ...ไอ้จิก” เมษาสวนกลับ
พิจิกหัวเราะเบา ๆ รู้สึกถึงบรรยากาศเดิมสมัยเรียนมหาวิทยาลัยกลับมาคืนมา...
สองหนุ่มสาวเรียนคนละคณะก็จริง แต่อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน ตึกสองคณะนี้ก็อยู่ใกล้กัน โอกาสเจอหน้า ประคารม ฝีปากจึงมีบ่อย จนกลายเป็นคู่จิ้น คู่กัดต่างคณะในตำนานไปแล้ว
“แผลแห้งดีหรือยัง” ชายหนุ่มถามต่อ
“ไม่เป็นไรแล้ว” เมษาตอบ
หลังจากนั้นคือความเงียบ...
ทั้งสองยังมองอีกฝ่ายเป็นคู่แข่ง จึงไม่คิดพูดคุย ปรึกษาถามความเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ได้พบ อีกทั้งนึกหาเรื่องอื่นมาคุยกันต่อไม่ได้ ระยะทางที่เหลือจนกว่าจะถึงตึกที่พักจึงมีแต่ความเงียบงัน
พิจิกไม่อึดอัด ลำบากใจกับการเดินด้วยกันแบบเงียบ ๆ นี้ เมษาปล่อยตัวตามสบาย ไม่เห็นเป็นเรื่องคอขาดบาดตายกับการเดินร่วมทางกับชายหนุ่มปากร้ายคู่แข่ง บรรยากาศรอบตัวจึงเกิดความอบอุ่น ปลอดโปร่ง อย่างไม่ค่อยเกิดระหว่างกันบ่อยนักในระยะหลัง
ความเงียบงัน การไม่เอ่ยปากพูดจาอะไร กลับทำให้ความรู้สึกเป็นสุขจากภายในใจสองคนค่อยเติบโต กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวโดยไม่มีฝ่ายใดสำเหนียก รับรู้...
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
< Prev | Next > |
---|