วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๑๒



cover siwadol



ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ...กินข้าวเสร็จแล้วไปพบคุณแม่บ้านใหญ่...

            เพราะคำสั่งจากพ่อบ้าน เมษาจึงมานั่งพับเพียบตรงหน้าคุณแพรพลอยในขณะนี้!

            ที่บอกว่าคุณแม่บ้านใหญ่เรียกหา ไม่ได้หมายถึงต้องการเรียกไปใช้งาน แต่เป็นการเรียกเพื่อพาไปหาคุณแพรพลอย นายหญิงศิวาดลต่างหาก

            ห้องรับแขกบนชั้นสามเช้านี้ สว่างไสวด้วยแสงตะวัน อากาศอบอุ่นชุ่มชื้น บรรยากาศต่างจากเมื่อเย็นวานลิบลับ ราวกับเป็นคนละสถานที่กัน

            “เธอ...เมษา...ใช่มั้ย” แพรพลอยเอ่ยทักทาย

            “ค่ะ...คุณพลอย” ตอบรับพลางรอฟังอีกฝ่ายจะพูดอะไร

            นายหญิงศิวาดลหันไปมองทางแม่บ้านใหญ่ซึ่งยืนสำรวมอยู่ใกล้ หวังให้ช่วยพูดอะไรบ้าง หากสตรีกลางคนผู้นั้นยังสงบเงียบ ไม่แสดงสีหน้าความรู้สึกใด

            สุดท้ายฝ่ายผู้เป็นนายหญิงต้องละสายตากลับมายังลูกจ้างตรงหน้า สังเกตเห็นรอยเขียวช้ำบนหน้าผากแล้วถอนใจพูดเบา ๆ

            “เรื่องเมื่อวาน ฉันต้องขอโทษด้วยนะ...ที่หน้าผากน่ะยังอยู่เจ็บหรือเปล่า”

            “อ้อ...” เมษายกมือคลำหน้าผาก ยิ้มแหย ๆ “มันไม่เจ็บแล้วค่ะคุณพลอย”

            “ต้องขอโทษจริง ๆ นะ...ฉัน...เอ่อ...ไม่ค่อยสบายน่ะ ปกติไม่เป็นแบบนี้” คำอธิบายกระท่อนกระแท่น บอกอารมณ์กระดากมากกว่ารู้สึกผิดจริง

            “ไม่เป็นไรค่ะ”

            “แล้ว...เอ่อ...” แพรพลอยเอ่ยปาก สังเกตสีหน้าท่าทางคนงานใหม่ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จริงจังขึ้น “เรื่องเมื่อวาน เธอเล่าให้ใครฟังหรือยัง?”

            เมษาลอบยิ้มในใจ...นี่คงเป็นเหตุผลจริงในการถูกเรียกพบวันนี้!

            “หนูทำตามคำสั่งคุณแม่บ้านใหญ่แล้วค่ะ...ไม่ได้เอาเรื่องเมื่อวานไปเล่าให้คนงานข้างนอกฟังเลย...แต่...ป้าเพลินกับพี่แววก็ทราบเรื่องนี้แล้วนี่คะ”

            หญิงสาวทำตามที่รับปาก ไม่เล่าให้คนงานนอกตึกใหญ่ฟัง แต่ปู่คงคาเป็นบุคคลภายนอก การรายงานให้ปู่รับรู้ ไม่ถือว่าผิดคำพูด

            “อ้อ...พวกคนทำงานในตึกนี้ไม่มีปัญหาหรอก” คุณแพรพลอยพูดอย่างผ่อนคลาย แสดงว่าลูกจ้างทุกคนที่รู้เรื่องนี้ ต่างโดนเรียกพบเป็นการส่วนตัวหมดแล้ว

            “ค่ะ” เมษาไม่มีอะไรพูดมากกว่านี้

            “เธอทำดีแล้วล่ะจ้ะ” นายหญิงยิ้มให้อย่างใจดี ก่อนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “แต่...เฮ้อ...ช่วงนี้เป็นอะไรนะ มีแต่เรื่องร้าย ๆ ทั้งนั้น...ทั้งเรื่องพี่โสภี...แล้วเมื่อคืนคุณศิวาก็เกิดเรื่องอีก...”

            พูดถึงตอนนี้ก็ชะงัก นึกได้ว่าไม่ควรพูดจาอะไรเรื่อยเปื่อยให้คนงานใหม่รับรู้มากเกินไป

            “เออ...จริงสิ...ตั้งแต่วันนี้ฉันให้เธอมาช่วยงานป้าเพลินที่ครัวบ้านนี้แล้วกัน” จู่ ๆ นายหญิงก็เปลี่ยนเรื่องพูดหน้าตาเฉย

            “เอ๋...เอ่อ...” เมษาทำหน้าเหรอหรา หันไปมองแม่บ้านใหญ่

            เท่าที่ทราบมา ผู้ช่วยแม่ครัวในครัวตึกใหญ่ศิวาดลต้องได้รับการฝึกฝนฝีมือ เรียนรู้กฎระเบียบต่าง ๆ จากคุณแม่บ้านใหญ่อย่างน้อยหนึ่งเดือน จึงมีโอกาสเข้ามาทำงานได้

            คุณเข็มทองสบตาลูกจ้างคนใหม่ ก่อนเบือนหน้าทางนายหญิงศิวาดล

            “คุณพลอยคะ” น้ำเสียงราบเรียบ “เด็กคนนี้เพิ่งมาทำงานได้สองสามวัน ยังต้องฝึกฝนเรียนรู้อีกสักระยะ ถึงจะมาทำงานในครัวตึกใหญ่ได้”

            “ไม่เป็นไรหรอกค่ะป้าเข็ม...งานในครัวตึกใหญ่เบากว่าครัวนอกตั้งเยอะ...ให้เมษามาทำงานในนี้จะได้สบายขึ้น ถือเป็นการไถ่โทษจากพลอยแล้วกัน”

            เมษาแอบยิ้มในใจ...การไถ่โทษแบบนี้ ให้พูดตรง ๆ คือวิธีปิดปากอย่างแนบเนียน...

            สีหน้าแววตาคุณเข็มทองยังไม่แปรเปลี่ยน ขณะเอ่ยปากอธิบายเชิงคัดค้านต่อ

            “งานเบากว่าก็จริง แต่เป็นงานสำคัญกว่า เป็นหน้าเป็นตาของศิวาดล ที่นี่ต้องรับแขกผู้หลักผู้ใหญ่ประจำ ทั้งเพื่อนฝูงของคุณ เพื่อนสนิทคุณศิวา นักธุรกิจที่คุณศิวาพามาเยี่ยมชม...จะให้เด็กที่ยังไม่รู้งานเข้ามาทำแบบนี้ อาจผิดพลาดได้ และระบบที่ดิฉันวางไว้มันก็ต้องเสียไปเหมือนกัน”

            “โธ่...งานในครัวเองค่ะ ไม่ได้ออกมาทำอะไรข้างนอกสักหน่อย พลอยว่าไม่น่ามีปัญหาหรอก...” แพรพลอยยังค้าน



            ขณะแม่บ้านใหญ่จะหาเหตุผลอื่นมาคัดค้าน ประตูห้องด้านในก็เปิด นายศิวาแต่งกายชุดลำลองเดินออกมา

            “พี่เข็ม...มาแล้วเหรอ” นายศิวาเรียกชื่อคุณแม่บ้านใหญ่อย่างเป็นกันเอง “วันนี้มีอะไรกินบ้าง ผมหิวแล้วล่ะ”

            “พลอยเตรียมไว้ให้คุณศิวาแล้วค่ะ” แพรพลอยรีบลุกจากเก้าอี้อย่างกระตือรือร้น

            “ไม่ต้องรีบก็ได้ คุณมีธุระอยู่นี่”

            เจ้าของศิวาดลมองเห็นลูกจ้างสาวนั่งหน้าเหรอหราอยู่บนพื้น แม่บ้านใหญ่ยืนหน้าตึง แววตาไม่แสดงความรู้สึกใดแสดงให้รู้ว่าพวกผู้หญิงคงมีเรื่องจัดการกันก่อน

            “ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องนั้นไม่รีบ...พลอยเตรียมอาหารเช้าให้คุณแล้ว จัดโต๊ะให้เลยนะคะ”

            นายหญิงศิวาดลส่งสายตาเป็นสัญญาณบอกแม่บ้านใหญ่ให้รู้เป็นเชิงพักเรื่องนี้ไว้ก่อน อีกสักครู่ค่อยมาคุยต่อ หน้าที่ดูแลสามีตอนนี้สำคัญกว่า

            คุณเข็มทองพยักหน้าเรียกเมษาให้ลุกขึ้นแล้วออกคำสั่ง

            “เธอออกไปก่อน...อยู่แถวนี้แหละอย่าเพิ่งไปไหน อีกเดี๋ยวจะเรียกเข้ามา...”

            “ค่ะ” เมษารับคำ

            แม่บ้านใหญ่ผละไปช่วยนายหญิงจัดเตรียมโต๊ะอาหาร ขณะนายศิวานั่งเปิดไอแพดส่วนตัวดูข่าวสารประจำวัน

            ลูกจ้างอย่างเมษาได้โอกาสจึงหลบออกจากห้องราวกับไร้ตัวตน


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ในเมื่อคุณแม่บ้านใหญ่สั่งให้อยู่แถวนี้ เมษาจึงถือโอกาสเดินสำรวจบริเวณชั้นสามศิวาดลโดยไม่ต้องเกรงจะมีใครว่าอะไร นับเป็นจังหวะที่เกิดไม่บ่อยนัก ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

            โดยเฉพาะตอนนี้มีสถานที่หนึ่งซึ่งเธออยากเข้าไปสำรวจตั้งแต่มาถึง...

            ...ปีกตึกฝั่งดลดารา...



            เมษาเปิดจิตสัมผัสออกกว้างตั้งแต่ย่างเท้าสู่ปีกตึกที่ปิดตาย หวังรับกระแสคลื่นวิญญาณต่าง ๆ ที่เข้ามาในข่ายให้รับรู้ นัยน์ตามองสถานที่ การตกแต่ง ลวดลายบนผนัง พื้นหินอ่อนสะอาดขัดมัน แสดงให้เห็นว่ายังมีการทำความสะอาดเป็นปกติ

            ห้องทุกห้องทางปีกตึกนี้ปิดล็อกไม่สามารถเข้าไปได้ เมษาจึงเดินสำรวจตามทางเดินเรื่อย ๆ มองภาพเขียนบนฝาผนัง การตกแต่งสวยงามไปจนเกือบสุดปีกตึก...

            สัมผัสภายในค่อยรับกระแสบางอย่างได้...

            มันไม่ใช่กระแสคลื่นวิญญาณ ภูตผีอย่างเคยรู้จัก ลักษณะหวีดหวิว วังเวง ลอยเอื่อย ๆ เป็นท่วงทำนองอ่อนหวาน หากจดจ่อตั้งใจสักพักจะรับรู้ได้ว่าเป็นเสียงดนตรี

            ท่วงทำนองเช่นนี้คุ้นหู น่าจะเป็นเพลงเก่ามาก รุ่นปู่รุ่นพ่อ ซึ่งเธออาจเคยได้ยินนานแล้ว

            เมษาไม่รู้จักชื่อเพลง จำเนื้อร้องไม่ได้ หล่อนแค่จับกระแสเสียงในความรู้สึกแล้วค่อยเดินตามเส้นเสียงนั้นช้า ๆ

            จิตสัมผัสแผ่กว้างรับรู้เส้นทางที่กระแสเสียงชี้นำ อาจมีใครบางคนส่งท่วงทำนองดนตรีมาร้องเรียก เชิญชวน หญิงสาวไม่นึกหวั่น หนำซ้ำพร้อมเผชิญหน้าทุกสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้า

            หยุดยืนหน้าประตูบานหนึ่ง ลักษณะไม่ต่างจากประตูบานอื่นที่ปิดล็อก เมษาลองเอื้อมมือจับตรงล็อกประตู ไม่คิดว่ามันจะเปิดออกได้

            แกร้ก...ประตูไม่ติดล็อก มันเปิดออกตามต้องการ

            มองจากนอกประตู เห็นด้านในเป็นบันไดขึ้นไปสู่ห้องใต้หลังคา เมษาเคยดูพิมพ์เขียวมาแล้วจึงไม่แปลกใจ แค่สงสัยเล็กน้อย เสียงดนตรีจะพาหล่อนไปพบอะไรที่นั่น

            ก้าวขึ้นบันไดอย่างไม่นึกเกรง กระแสเสียงดนตรีกังวานชัดขึ้น แต่ละก้าวที่เหยียบย่าง คลื่นดนตรียิ่งทวีความชัดเจนราวกับมันกำลังก้องกังวานอยู่โดยรอบ

            พอพ้นบันไดขั้นสุดท้าย ขึ้นมายืนบนห้องใต้หลังคา เสียงดนตรีพลันขาดหาย เงียบสนิท เสมือนหมดหน้าที่เชิญอาคันตุกะแล้วก็ปลีกตัวจากไป

            ห้องใต้หลังคาสว่างจากกระจกหน้าต่างเรียงรายรอบ ด้านบนหลังคาทำช่องกระจกกว้างสามารถเปิดปิดได้ น่าจะใช้เป็นที่นอนดูดาวยามค่ำคืน

            เมษาเดินดูรอบห้องกว้าง แม้จะเห็นว่าไม่มีการเคลื่อนย้ายข้าวของสิ่งใดออกไปเลย ก็ยังมีการดูแลทำความสะอาดสม่ำเสมอ ทุกอย่างยังคงลักษณะเดิมเฉกเช่นยามดลดารามีชีวิตอยู่

            ในห้องมีกลิ่นอายความเป็นตัวตนของอดีตนายหญิงศิวาดลเด่นชัด ข้าวของจัดวางเป็นระเบียบ แยกหมวดหมู่ชัดเจน รูปภาพ ผลงานต่าง ๆ ถูกเก็บเรียงรักษาอย่างดี

            ภาพหนึ่งถูกตั้งเด่นสะดุดตาบนขาหยั่ง มีผ้าขาวคลุมปิดป้องกันฝุ่น

            เมษามองผ้าคลุมรูปครู่หนึ่ง นึกจิตนาการภาพที่อยู่เบื้องหลัง ก่อนเอื้อมมือเปิดผ้าคลุมออก เผยให้เห็นงานศิลปะที่ถูกปกปิดอยู่ใต้ผ้าคลุม

            ภาพสีน้ำมันรูปครึ่งตัวของหญิงสาวสวย โครงหน้าชัด นัยน์ตาดุทรงอำนาจ รอยแย้มแตะบนริมฝีปากนิด ๆ ทำให้ดูมีชีวิตคล้ายบุคคลนี้จะสามารถออกมาจากภาพได้

            มันเป็นภาพหญิงสาวสวยที่ลึกลับ มีเสน่ห์น่าค้นหา มองเท่าไรไม่นึกเบื่อหน่าย

            ภาพของดลดารา!

            น่าเสียดายภาพงดงามขนาดนี้ และเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของศิลปินผู้โด่งดัง กลับถูกเก็บซ่อนไว้ในห้องใต้หลังคา โดยผู้คนทั่วไปไม่อาจทัศนา ชื่นชมมันได้

            เมษาเข้าใจ...เหตุใดมันจึงกลายเป็นภาพที่ถูกลืม...

            หากภาพนี้ถูกประดับไว้กลางห้องโถงใหญ่ศิวาดลอย่างสมคุณค่าของมัน จะประกาศชัดว่าสถานที่นี้เป็นของใคร...และผู้หญิงคนต่อมาของนายศิวา จะไม่มีใครได้เป็นนายหญิงแห่งศิวาดลอย่างแท้จริงเลยสักคนเดียว



            จิตสัมผัสเมษาถูกกระตุกเหมือนมีใครสักคนกำลังเคาะเรียก ต้องการติดต่อสื่อสารด้วย สายตาหญิงสาวทอดมองยังดวงตารูปภาพ เปิดรับกระแสที่ส่งออกมาเชื่อมโยงนั้นอย่างเต็มใจ

            อาการมึนหัว เบลอปรากฏขึ้น ตัวโคลงอยากปิดเปลือกตาแล้วทรุดตัวลงนอนกับพื้นเสียตรงนั้น ด้วยความฝึกฝนสติมาประจำ จึงไม่ยอมให้อาการง่วงงุน ขาดสติมาครอบงำ สูดลมหายใจลึก จิกนิ้วมือแรง เพื่อให้เกิดความรู้สึกตัวชัดขึ้น

            จิตใจผ่อนคลาย ปราศจากการครอบงำ รับรู้กระแสสัญญาณที่ส่งออกมาจากดวงตาในภาพได้ชัดเจน เที่ยงตรง ไม่คลาดเคลื่อนเบี่ยงเบน

            แตะสัญญาณที่ส่งมาด้วยใจแผ่วเบา สติแจ่มใส บังเกิดการสื่อสารระหว่างตนเองกับดลดาราอย่างเป็นธรรมชาติ

            อดีตนายหญิงศิวาดลต้องการบอกอะไรแก่ผู้มาเยือน?

            หญิงสาวสบต่อดวงตาดลดารา บังเกิดนิมิตภาพเหตุการณ์ขึ้นในหัว บอกเล่าเรื่องราวคืนหนึ่งอย่างละเอียดชัดเจน ราวกับเธอได้อยู่ร่วมเหตุการณ์นั้นด้วย...



            เหตุการณ์เริ่มต้นจากห้องนี้ ดลดาราเพิ่งแต้มสีบนภาพตนเองเสร็จ ตวัดเขียนลายเซ็นกำกับบนภาพเรียบร้อย หูก็แว่วเสียงลากโซ่ดังแปลก ๆ ชวนสงสัย

            เธอเดินตามหาต้นเสียงลากโซ่นั้น ไม่ต่างจากเมษาเดินตามเสียงดนตรีไทยที่กังวานในห้วงสำนึก

            สิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นเมื่อเปิดประตูออกไป...ดลดาราพบว่าคฤหาสน์ศิวาดล กลับกลายเป็นเรือนไม้โบราณที่ตนเองไม่รู้จัก

            เดินตามสายโซ่ที่เพิ่งเห็นลับมุมห้อง จากนั้นเธอต้องตะลึงงัน เมื่อพบระเบียงนอกชานกว้าง ผู้คนแต่งกายชุดโบราณมากมายถูกล่ามโซ่เส้นใหญ่ผูกโยงไว้ด้วยกัน

            เสียงดนตรีไทยที่เมษาได้ยินแต่แรกกังวานแว่ว...ชั่วขณะนั้นความรู้สึกของเมษาเชื่อมโยงกับดลดาราแนบแน่น รับรู้ถึงความหวาดกลัวที่สุดในชีวิต จนอยากกระโจนหนีให้ไกลเท่าที่จะทำได้

            และแล้ว...เสียงกระหึ่มดังประสานกังวานก้องสะเทือนโสตประสาท

            แก...ต้องอยู่กับพวกเรา...ที่นี่

            เสียงนั้นแฝงอำนาจข่มขู่ เฉกเช่นนายใหญ่สั่งการบ่าวไพร่ ดลดาราถอยหลังกรูด...สายตาคนโบราณเหล่านั้นยังจับจ้องมองตามด้วยแววเยาะหยัน ราวกับจะสลักจดจำภาพหญิงสาวผู้มาใหม่ไว้เพื่อ...รอคอย

            หญิงสาววิ่งกลับทางเดิม บนพื้นไม้ระเบียงอันไม่คุ้นเคย...วิ่ง วิ่ง วิ่ง...ไม่รู้เหนือใต้ ไม่รู้จุดหมายอยู่ไหน ความกลัวแล่นจับหัวใจ ผลักดันให้ตะกายหนีไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต

            สะดุดขาล้มฟาดพื้น ไม่รู้สึกเจ็บปวดสักนิด ร่างสั่นระริก ความหวาดกลัวจู่โจมจิตใจ...ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ กระทั่งมีมือมาเขย่าหัวไหล่เบา ๆ

            “คุณดลคะ...คุณดล”

            น้ำเสียงคุ้นหู สัมผัสคุ้นกายจึงค่อยกล้าลืมตา เงยหน้าขึ้น พบใบหน้าคุณเข็มทอง แม่บ้านใหญ่ปรากฏอยู่ใกล้

            “พี่เข็ม...” ดลดาราเอ่ยเสียงแผ่ว

            “เป็นอะไรไปคะคุณ” เสียงถามแสดงความแปลกใจ

            ดลดาราเหลียวมองรอบกาย พบตนเองกำลังนอนฟุบอยู่หน้าประตูทางขึ้นไปยังห้องใต้หลังคา ทุกสิ่งรอบตัวยังเหมือนเดิม เธออยู่ในศิวาดล บ้านอันเป็นที่รัก ไม่ใช่เรือนไม้แดนสนธยาของเหล่าภูตผี ปิศาจโบราณเหล่านั้น

            “ดลฝัน...มัน...น่ากลัว...” นายหญิงศิวาดลหลุดวาจาได้เพียงเท่านี้

            ภาพนิมิตในหัวเมษาค่อยจางหาย บรรยากาศโดยรอบกลับสู่ปกติ...



            หญิงสาวนึกทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ เกิดความสงสัยในใจมากมาย เชื่อว่านั่นคือเหตุการณ์จริงที่เคยเกิดขึ้น ดลดาราน่าจะได้พบภูตผี วิญญาณที่อาศัยอยู่ในเรือนพระยาคงเวทแล้ว

            ทำไม...ภูตผีเหล่านั้นถึงโดนล่ามโซ่ด้วยกันหมด การปิดผนึกอาคมของปู่ทั้งสองเป็นแค่การกักบริเวณเหล่าภูตร้าย ไม่ให้อาละวาดแก่ผู้คนทั่วไป ไม่ได้จองจำ กักขังทรมานวิญญาณดวงใด

            เรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลังปริศนาบางอย่าง...

            เมษาละสายตาจากภาพดลดารา เอื้อมมือดึงผ้าลงมาคลุมปิดดังเดิม ถอนใจเบา ๆ แล้วสัมผัสภายในก็กระตุ้นเตือน ร้องบอกว่ามีใครบางคนกำลังจับจ้องเธอจากเบื้องหลัง

            ค่อย ๆ หันกลับไปมอง พบร่างบุคคลหนึ่งถนัดตากลางแสงสว่าง

            ร่างนั้นไม่ใช่มนุษย์ มองเห็นโปร่งบางเป็นเค้าเงาราง ๆ ให้พอสังเกตลักษณะ รูปร่างหน้าตาได้

            เมษาจุดรอยยิ้มอ่อนโยนขึ้นที่ริมฝีปากและดวงตา ร้องถามเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงอบอุ่น เมตตา

            “เราสามารถคุยกันได้มั้ยคะ...คุณดลดารา...”







บทที่ ๘



            นายศิวารับประทานอาหารเช้า แพรพลอยนั่งชวนคุยอยู่ใกล้ ๆ ร่วมรับประทานอาหารเพียงเล็กน้อย โดยมีแม่บ้านใหญ่คอยอำนวยความสะดวกอยู่ห่าง ๆ

            ปกตินายใหญ่ศิวาดลจะใช้เวลามื้อเช้าสั้นมาก คุณเข็มทองจึงบอกให้เมษาอยู่รอแถวหน้าห้องก่อน เผื่อเจ้านายรับประทานอาหารเสร็จจะได้เรียกเข้ามาเก็บจานชาม พร้อมกับรับฟังข้อสรุปในการเข้ามาทำงานในครัวตึกใหญ่อีกที

            พอดีเช้านี้นายศิวาไม่ต้องออกไปทำงาน ประกอบกับมีนัดกับนายตำรวจที่จะมาพูดคุย สอบปากคำ หาหลักฐานในที่เกิดเหตุอีกครั้ง มื้อเช้าของนายใหญ่ศิวาดลจึงใช้เวลานานกว่าที่คิด สองสามีภรรยามีเรื่องคุยกันหลายเรื่อง ทั้งเหตุการณ์ตายของพยาบาลพิเศษ และการบุกเข้ามายิงเจ้าของบ้านอย่างอุกอาจจากมือปืนนิรนาม

            ระหว่างเจ้าของบ้านรับประทานอาหาร คุณเข็มทองคิดจะออกไปบอกลูกจ้างคนใหม่ให้ลงไปรอที่ครัวข้างล่างหลายครั้ง ก็ยังหาจังหวะสะดวกเหมาะสมไม่ได้ เพราะเจ้านายทั้งสองมักเรียกใช้ ชวนคุยซักถามความคิดเห็นในประเด็นเรื่องที่เกิดในช่วงวันสองวันนี้เป็นระยะ...คุณเข็มทองจำต้องปล่อยให้ลูกจ้างใหม่ยืนคอยหน้าห้องนานเกินกว่าปกติ

            มื้อเช้าผ่านพ้น นายศิวาลุกจากโต๊ะอาหาร เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องเพื่อเตรียมตัวรับนายตำรวจ คุณเข็มทองกำลังจะเดินออกไปเรียกลูกจ้างที่รอหน้าห้อง ให้เข้ามาช่วยลำเลียง เก็บจานชามบนโต๊ะ

            นายหญิงศิวาดลส่งเสียงเรียกรั้งไว้ก่อน

            “ป้าเข็มคะ” แพรพลอยใช้น้ำเสียงอ่อน ๆ ให้เกียรติอีกฝ่าย “เรื่องที่เราคุยค้างกันไว้ก่อนคุณศิวาเข้ามาน่ะ...พลอยยังยืนยันคำเดิมนะคะ”

            แม่บ้านใหญ่ถอนใจยาว ระหว่างรอสองเจ้านายรับประทานอาหารก็รู้ดีว่าตนคงยากเปลี่ยนความตั้งใจนายหญิง

            “ถ้าอย่างนั้นคุณพลอยช่วยบอกเหตุผลจริง ๆ สักข้อสิคะว่า...ถ้าเด็กคนนี้มาทำงานตึกใหญ่ แล้วจะมีประโยชน์อะไรบ้าง”

            “เขาจะได้อยู่ในสายตาเรา!” แพรพลอยตอบ

            สตรีต่างวัยสบตากันตรง ๆ แววตาบอกความฉลาดเท่าทัน

            “ถ้าปล่อยให้เขาทำงานข้างนอก ที่เรือนครัว...โอกาสที่เด็กจะหลุดปากออกไปมีมากกว่า” นายหญิงอธิบายเสริม

            “คุณพลอยคิดหรือคะว่า พวกลูกจ้างข้างนอกเขาจะไม่รู้อาการป่วยของคุณ” แม่บ้านใหญ่ถามเสียงเรียบ

            “รู้ได้...แต่อย่าให้คำพูดมันร่ำลือออกไป!” หญิงสาวตอบชัด

            สองสายตาปะทะกัน ดูคล้ายเกิดสมรภูมิย่อม ๆ ท่ามกลางความเงียบงัน

            “ค่ะ...ถ้าคุณพลอยต้องการอย่างนั้น” แม่บ้านใหญ่เป็นฝ่ายยอมถอย

            “ขอบคุณค่ะป้า” หญิงสาวยิ้มให้

            คุณเข็มทองเดินไปเปิดประตู เรียกลูกจ้างสาวมาฟังข้อสรุปเรื่องของตน



            บานประตูเปิดกว้าง...เมษายืนเอี้ยมเฟี้ยมหน้าเจี๋ยมเจี้ยมรออยู่ ลักษณะท่าทางเหมือนคนที่ยืนรออยู่ตรงนั้นนานมากจนแทบรากงอก ไม่ได้ขยับตัวไปไหนเลย

            “เมษา...” แม่บ้านใหญ่ส่งเสียงเรียก

            “คะ”

            “เข้าไปขอบคุณ คุณพลอยเขาสิ...ตั้งแต่วันนี้ เธอได้เข้ามาทำงานในตึกใหญ่นี่แล้ว”



            ลูกจ้างสาวยิ้มรับ เดินช้า ๆ เข้าไปปฏิบัติตามคำสั่งคุณแม่บ้านใหญ่ พยายามสะกดกลั้นเก็บอาการกิริยาเหนื่อยแทบขาดใจไม่ให้อีกฝ่ายรู้...

            ...ขนาดหล่อนแทบวิ่งมาจากปีกตึกฝั่งดลดารา ก็ยังเกือบไม่ทันเวลา...

            การพบ ‘ดลดารา’ ช่วยคลี่คลายปมบางอย่างออกไป และเพิ่มปมปัญหาใหม่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

            ‘ผี’ ในความคิดคนทั่วไปเป็นอย่างไร เมษาไม่สนใจ แต่ ‘ผี’ ที่เธอรู้จัก ถูกปลูกฝังให้เข้าใจคือ ‘เพื่อนร่วมทุกข์’ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ในวัฏสงสารด้วยกัน

            ปู่คงคาอาจสอนสิ่งที่ยากเกินกว่าเด็กไม่กี่ขวบจะเข้าใจ กระทั่งเวลาผ่านไป ประสบการณ์บนเส้นทางเหนือธรรมชาติมีมากขึ้น เมษาค่อยซึมซับ เข้าใจ มองเห็น ‘ผี’ วิญญาณ เป็นแค่สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งซึ่งคนทั่วไปมองไม่เห็นเท่านั้น

            มนุษย์เรายอมรับหมาแมว สิ่งมีชีวิตในภพเดรัจฉานว่ามีอยู่จริง เพราะสามารถมองเห็นมันด้วยตา...แต่ลำบากใจที่จะยอมรับภูตผี วิญญาณ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภพของเปรต...ว่ามีจริง เพราะไม่สามารถมองเห็นมันด้วยตาทั้งสองข้าง

            เมษาไม่นึกหวาดกลัวดลดาราตรงหน้า หนำซ้ำยังเอ่ยปากถามเพื่อเปิดช่องทางการสื่อสาร

            “เราสามารถคุยกันได้มั้ยคะ...คุณดลดารา” ขณะเรียกชื่อ ใจก็จดจ่อหวังเชื่อมเส้นทางสื่อสารกัน

            ดลดารามองมาด้วยแววตาเต็มไปด้วยวาจา เรื่องราวอยากบอกกล่าว ทว่าไม่มีกระแสเสียงแว่วเข้ามาในหัว ไม่มีภาพนิมิตเข้ามาเติมต่อจากที่เมษาได้รับรู้มาเมื่อครู่

            เมษาอยากรู้เรื่องราวหลังจากดลดาราได้พบภูตผีบนเรือนพระยาคงเวท ว่าเธอทำอย่างไรต่อไป อยากทราบว่าขณะนี้เหล่าภูตผีถูกควบคุมโดยใคร?

            และดลดารา...ต้องการให้เธอช่วยเหลืออย่างไรบ้าง

            หนึ่งมนุษย์ หนึ่งดวงวิญญาณยืนประจันหน้ากันโดยไม่อาจสื่อสารบอกความต้องการแก่กัน...

            เมษาก้มมองต่ำลง เห็นข้อเท้าดลดารามีโซ่ล่าม ลากสายยาวไปสู่ความเลือนรางหลังฝาผนัง บอกให้รู้ว่าเธอตกอยู่ในการพันธนาการ ไม่ต่างจากวิญญาณดวงอื่นในนี้ การปรากฏตัวให้เห็น เป็นความพยายามสูงสุดที่เธอสามารถกระทำได้ในเวลานี้แล้ว

            หญิงสาวถอนใจยาว จิตบังเกิดความเมตตาสงสาร

            “มีทางไหนที่ฉันพอจะช่วยคุณได้มั้ยคะ” เมษาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

            ร่างตรงหน้าเริ่มเลือนราง บอกให้ทราบถึงเวลาใกล้สิ้นสุดการสื่อสาร แววตาดลดาราแสดงความอึดอัดลำบากใจ เธอใช้วิธีเดินตรงไปยังมุมห้องซึ่งมีตู้ลิ้นชักเก็บของจุกจิกตั้งอยู่

            เมษารีบตามไปยังจุดนั้น มองตู้ลิ้นชักไม้หลายชั้นตั้งไว้โดยปราศจากฝุ่นเกาะ ลองดึงลิ้นชักบนก่อน ปรากฏว่ามันติดล็อก ลิ้นชักชั้นต่อมาไม่สามารถดึงออกมาได้เหมือนกัน

            “คุณต้องการให้ฉันเปิดลิ้นชักนี่มั้ย” เมษาหันไปถามร่างที่ใกล้เลือนหายเต็มที

            ดลดาราชี้ไปตรงด้านหลังตู้ เมษาขยับตัวพยายามมองหาสิ่งที่วิญญาณดวงนี้ต้องการบอก

            ด้านหลังตู้เป็นแผ่นไม้ราบเรียบ ไม่มีสิ่งใดเป็นที่สังเกต เมษาเกือบถอดใจไม่รู้ว่าตนกำลังมองหาสิ่งใดกันแน่ แล้วสายตาก็กระทบกับมุมตู้ด้านหลัง มองเห็นร่องเล็ก ๆ พบปลายของสิ่งบางอย่างโผล่ออกมานิด ๆ

            เอื้อมมือไปคลำจับ ดึงมันออกมาปรากฏว่าเป็นกุญแจดอกหนึ่ง...ไม่ต้องถามว่ามันใช้ไขอะไร...

            เสียบลูกกุญแจเข้าช่องแล้วไขดังกริ๊ก จากนั้นค่อยเปิดชั้นบนของตู้ไม้ได้...พอลิ้นชักชั้นบนเปิดออก ลิ้นชักชั้นอื่น ๆ ก็สามารถดึงตามมาอย่างง่ายดาย

            ลิ้นชักชั้นบนสุดเป็นสมุดหนังสือวางเรียงเป็นระเบียบ ชั้นต่อมามีข้าวของจุกจิกสำหรับผู้หญิง รูปภาพ โปสการ์ดหลายใบวางอยู่ในนั้น

            เมษากำลังจะดึงลิ้นชักล่าง ในหัวได้ยินเสียงดังแว่ว ๆ

            “ไม่ต้อง!” เสียงผู้หญิง

            หันไปมองดวงวิญญาณด้านข้าง พบว่าดลดาราชี้มือมายังลิ้นชักที่สอง

            หญิงสาวค่อยหยิบข้าวของจุกจิกในนั้นออกมาดูทีละชิ้น แต่ละชิ้นไม่ใช่ของมีราคา หรือทำให้สะดุดใจอย่างไร กำลังเอื้อมมือจะหยิบรูปภาพ โปสการ์ดออกมาดูต่อ สายตากระทบกับบางสิ่งซึ่งซุกอยู่มุมลิ้นชัก

            มันเป็นเข็มกลัดขนาดเท่านิ้วก้อย ลักษณะเหมือนเลขหนึ่งไทย พอหยิบมาดูใกล้ ๆ ค่อยเห็นว่าเป็นเข็มกลัดลายเซ็นของดลดารา ตรงกลางตัว ด.เด็ก ขมวดหัวเลขหนึ่ง ถูกประดับด้วยพลอยสีแดงเม็ดเล็ก

            เมษาใช้ปลายนิ้วสัมผัสพลอยแดงเม็ดนั้น พลันเกิดภาพนิมิตสองสามแวบในหัว...ระบายลมหายใจยาว เข้าใจแล้วว่าดลดาราต้องการให้หล่อนมาพบกับอะไร และเธอจะบอกเล่าเรื่องราวของตนด้วยวิธีไหน...

            “คุณอนุญาตให้ฉันเอาของชิ้นนี้ไปมั้ยคะ” เมษายื่นเข็มกลัดมาถามดวงวิญญาณตรงหน้า

            ฝ่ายนั้นพยักหน้ารับ แววตาหงุดหงิด รำคาญเหมือนจะบอกว่า...เรื่องแค่นี้ทำไมต้องมาถามด้วย...

            เมษายิ้มขัน เข้าใจความหมายอีกฝ่าย จึงบอกอย่างอารมณ์ดี

            “ถ้าคุณยังไม่อนุญาต ฉันก็ผิดศีลเป็นขโมยสิคะ”

            ถ้าทำได้ ดลดาราคงบ่นหญิงสาวลูกจ้างคนใหม่เสียยืดยาวแล้ว...ถ้าไม่อนุญาตแต่แรก จะบอกให้มาเอาทำไม!

            “ค่ะ...ฉันจะพยายามช่วยเต็มที่...คุณดลดารา” เมษาบอกอีกฝ่ายด้วยเสียงนุ่มนวล

            “รีบไป!” เสียงดลดาราก้องในหัว

            เมษาค่อยนึกได้ แม่บ้านใหญ่จะออกมาเรียกหล่อนเมื่อไหร่ไม่รู้ ขืนมาแล้วไม่พบลูกจ้างใหม่ยืนรอหน้าประตู รับรองเกิดเรื่องใหญ่แน่...

            หญิงสาวรีบปิดลิ้นชัก ล็อกตู้ เก็บกุญแจไว้ที่เดิมเรียบร้อย เหมือนกับไม่เคยมีใครวุ่นวายรื้อค้นมาก่อน

            วิญญาณดลดาราเลือนหายไปแล้ว เมษาเก็บเข็มกลัดใส่กระเป๋ารีบกลับไปยังหน้าห้อง ปีกตึกฝั่งแพรพลอยโดยด่วน

            ไม่น่าเชื่อ...ภารกิจปิดผนึกอาคมที่คิดว่าง่าย สามารถสำเร็จภายในสองสามวัน กลับพาเธอมาเจอกับเรื่องลึกลับในคฤหาสน์ศิวาดล มีการตายปริศนา ภูตผี ดวงวิญญาณที่ถูกพันธนาการ ผู้ทรงเวทในเงา...สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้หญิงสาวรู้สึกว่า...กำลังเผชิญหน้ากับงานที่หินที่สุด อย่างไม่เคยพบมาก่อน...แต่ถ้าผ่านมันมาได้ ฝีมือจะก้าวกระโดดไกลทีเดียว



            กลับมาถึงหน้าห้องแพรพลอยทันเวลา ตั้งสติแค่สองสามอึดใจ ประตูก็เปิดออก...เมษาสวมบทบาทลูกจ้างสาวคนใหม่แสนซื่ออีกครั้ง



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP