วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๑๐



cover siwadol

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ครั้งหนึ่งตอนอายุสิบขวบ...

            หลังจากปู่สอนให้ฝึกสมาธิ เรียนรู้การมีจิตตั้งมั่น และเริ่มถ่ายทอดคาถาอาคมทีละเล็กละน้อย จนนำการฝึกสมาธิมาใช้ในศิลปะการต่อสู้ เรียนรู้ที่จะมี ‘สติ’ ในสถานการณ์คับขัน ฉุกเฉินได้แล้ว

            บททดสอบแรกของเมษา พิจิกก็เริ่มขึ้น...

            ปู่เผด็จ ปู่คงคาเป็นอาจารย์ด้านไสยเวทแบบเก็บตัว ไม่ค่อยแสดงตนเป็นที่รู้จัก มีชื่อเสียงมากนัก เหล่าผู้คนที่เดือดร้อนล้วนรับรู้กิตติศัพท์จากการบอกต่ออย่างเงียบ ๆ

            ถึงอย่างนั้นก็มีคนมาขอความช่วยเหลือจากสองผู้เฒ่าในเรื่องที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้เป็นระยะ

            ในครั้งนี้ สองอาจารย์รับปากไปช่วยเหลือหญิงสาวที่โดนผีเข้าในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เพียงแต่ท่านทั้งสองไม่ออกหน้าเอง ปล่อยให้หลานชาย หลานสาววัยสิบขวบ แต่งตัวแบบลูกคนมีเงินมาทำหน้าที่แทน



            “อาจารย์ล้อเล่นหรือเปล่า ให้เด็กสิบขวบมาไล่ผีแบบนี้” ญาติพี่น้องคนโดนผีเข้าโวยวายทันทีตั้งแต่แรกเห็น

            สองผู้เฒ่ายิ้มใจเย็น

            “ยังไม่เห็นฝีมือกัน ทำไมดูถูกลูกศิษย์ฉันอย่างนั้นล่ะ” ปู่คงคาบอก อีกฝ่ายค่อยสงบเสียง

            “ไปแสดงฝีมือหน่อยสิลูก” ปู่เผด็จบอกหลานทั้งสอง

            พิจิก เมษามองตรงไปยังข้อสอบชุดแรกของตน...

            ผู้ถูกผีสิงเป็นหญิงสาวชาวบ้าน ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ใบหน้าเผือดซีด นัยน์ตาแดงขวาง ถูกมัดอยู่ในท่านั่งเหยียดขาติดกับเสากลางเรือน กำลังดิ้นรน สะบัดตัวรุนแรงหวังให้หลุดจากพันธนาการ

            ด้วยความเป็นเด็ก ลงสนามจริงครั้งแรกก็พบภาพน่ากลัวขนาดนี้ เมษาจึงยืนนิ่ง ตัวแข็ง ก้าวขาไม่ออก วิชาอาคมที่ร่ำเรียนมาแต่เล็ก เคยจดจำขึ้นใจล้วนเลือนหาย ลืมสิ้น

            ยิ่งสบตากับร่างที่ถูกดวงวิญญาณแปลกหน้าควบคุม สัมผัสถึงกระแสหม่นมืด ทึบดำพุ่งออกมาปะทะ จมูกได้กลิ่นเอียน ๆ ชวนเวียนหัว ยิ่งทำให้ใจหวั่น หวาดกลัวที่สุดในชีวิต

            ปู่ทั้งสองสังเกตอาการหลานสาวตนแล้วนิ่ง ไม่เอ่ยปากแนะนำ หรือกระตุ้นเตือนแต่อย่างใด

            พิจิกรับรู้คลื่นความกลัวที่แผ่มาจากใจเด็กหญิงข้างกาย เขาเองก็กลัวขาสั่นไม่น้อยกว่ากัน ด้วยความเป็นเด็กผู้ชายถูกสอนให้กล้าหาญ ไม่ยอมแพ้จึงสูดลมหายใจเรียกความกล้าออกมา แล้วเอื้อมมือไปจับมือคู่หู กระตุ้นเตือนสติ

            ขณะมือพิจิกสัมผัสมือเมษา เด็กหญิงรับรู้ถึงกำลังใจที่ถ่ายทอดออกมา มันไม่อาจขับไล่ความกลัวได้ทั้งหมด แต่มันเรียกความกล้าหาญ จนยอมก้าวขาเข้าหาร่างที่ถูกมัด ดิ้นรนอย่างน่ากลัวนั้น

            “ไอ้เด็กเวร มึงมาทำไม...คิดจะมาทำอะไรกูเรอะ...เฮอะคอยดู กูจะจัดการมึงก่อน”

            ร่างนั้นดิ้นรนฟึดฟัด ถ่มน้ำลายเข้าใส่ ส่งเสียงตวาดด่าทอ ข่มขู่ดังลั่น

            เด็กทั้งสองหยุดยืนตรงหน้า บริเวณที่น้ำลายถ่มมาไม่ถึง นัยน์ตาแจ่มจรัสสองคู่แลตรงสบกับดวงตาแดงขวางที่มองมาอย่างประสงค์ร้าย ริมฝีปากขยับสวดบทอิติปิโสฯ สรรเสริญพุทธคุณอยู่ในใจ จนกระทั่งบังเกิดความสว่างโปร่งโล่ง กว้างขวาง

            จิตตั้งมั่น มีกำลังเพียงพอจึงเปล่งเสียงสาธยายมนตรา อาคมที่ร่ำเรียนมาเป็นกระแสใสกังวาน ผสานรวมเป็นหนึ่ง

            ร่างที่ได้ฟังเกิดอาการกระสับกระส่าย นัยน์ตากลอกไปมา แสดงความอึดอัดเหมือนโดนตีกรอบอยู่ในกรงคับแคบ ที่ค่อยบีบเข้ามาทีละน้อย

            กระแสเสียงสาธยายมนตร์ของเด็กชาย เด็กหญิงดังก้องห้องแคบ ๆ ผู้คนที่ได้ยินล้วนขนลุกซู่ สัมผัสถึงพลังพิเศษที่แฝงอยู่ในมนตราเหล่านั้น

            ร่างผีสิงพยายามดิ้นรนสุดแรงก็ยังไม่อาจหลุดจากพันธนาการ จนกระทั่งมนตราจบบท สองเวทวัยเยาว์ขยับเข้าใกล้ร่างนั้น แล้วก้มตัวลงเป่าลมจากปากไปยังบริเวณเหนือศีรษะหญิงสาวผีสิง

            ร่างนั้นกระถดตัวหนีชิดเสาแล้วสะดุ้งเฮือก นัยน์ตาเหลือกลานกลับกลอกไปมาก่อนจะหลับสนิท ทั้งร่างอ่อนระทวยกองกับพื้น คอพับหมดฤทธิ์ เส้นใยควบคุมร่างที่ไม่เห็นได้ขาดผึง

            หมอผีตัวน้อยโล่งอก ยินดี ถอยหลังสองก้าวก่อนหันไปหาปู่ เปิดรอยยิ้มร่า เตรียมรับคำชม

            ทว่า...ช่วงเวลาที่พวกเขาหันหลังให้ร่างถูกผีสิงนั้น ในใจบังเกิดสังหรณ์กระตุ้นเตือนให้ระวังอันตราย กำลังจะหันกลับไปรับมือ...แต่ช้าไปแล้ว

            พวกเขาเหลียวเห็นเพียงก้อนเงาดำแวบ ๆ ของคลื่นพลังงานบางอย่างพุ่งเข้าใส่ ช้าเกินกว่าจะหลบหลีก ตั้งรับ...และเสี้ยววินาทีนั้นเอง ที่ปลายนิ้วของปู่เผด็จได้จ่อผ่านใบหน้าเด็กทั้งสอง ไปปะทะกับก้อนพลังงานมืดนั้นอย่างจัง

            ...พึบ...เสียงแปลก ๆ กังวานในโสตประสาท ก้อนเงาดำสลายวูบ คลื่นพลังงานมืดแตกกระจาย

            รู้สึกตัวอีกครั้ง เห็นปู่ทั้งสองมายืนขนาบข้างแล้ว

            มือเหี่ยวย่นทว่าอบอุ่น เกาะกุมไหล่หลานชาย หลานสาวไว้อย่างอ่อนโยน ให้กำลังใจ เด็กน้อยเงยหน้ามอง พบแววตาปราณีที่ส่งมาให้

            “จำบทเรียนครั้งนี้ให้ดีนะลูก...” ปู่เผด็จบอกหลานด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “อย่าประมาท!”

            นั่นเป็นการทดสอบจากสนามจริงครั้งแรก ทำให้เห็นถึงคุณค่าของสติ ได้เรียนรู้ถึงความไม่ประมาท สัมผัสความหวาดกลัวจนมือไม้สั่น ก้าวขาไม่ออก แทบอยากร้องไห้กลับบ้านเสียตรงนั้น

            แต่มันเป็นการเริ่มต้นบนถนนสายอาคมฝ่ายขาวอย่างมั่นคง สร้างเด็กน้อยสองคน ให้กลายเป็นคนหนุ่มสาวที่น่าพิศวงขนาดนี้

     

- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ไฟท้ายรถยนต์หายลับตามมุมโค้งถนน พิจิกเร้นกายอยู่ใต้เงามืดอีกครู่หนึ่ง คอยสังเกตบริเวณโดยรอบ จนมั่นใจว่าไม่มีใครแอบซุ่ม สังเกตความเคลื่อนไหวจึงค่อยขยับตัวเดินเลาะกำแพงไปทางประตูด้านหลังศิวาดล

            คำสั่งล่าสุดของปู่ยังชัดเจนในหัว

            “...ตามรอยไอ้ผู้ร้ายในเงาคนนี้ให้เจอก่อน...”

            หมายความว่า การปิดผนึกอาคมกลายเป็นเรื่องรองไปแล้ว

            พิจิกนึกทบทวนกิริยา อาการ คำสั่งของปู่อย่างละเอียดตั้งแต่ต้น...บอกให้มาปิดผนึกอาคม สกัดกั้นวิญญาณร้ายให้สำเร็จก่อนเมษา...แล้วจู่ ๆ ยอมเปลี่ยนให้ตามรอยผู้ร้ายในเงาได้

            นั่นแสดงว่า การปิดผนึกอาคมไม่ใช่ประเด็นหลักตั้งแต่แรก!

            ชายหนุ่มหรี่ตาครุ่นคิด...ถ้าจะว่าไป ผนึกอาคมถูกทำลายไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน ต่อให้มีกำแพงมนตราครอบชั้นนอกไว้ พวกวิญญาณร้ายที่เล็ดรอดออกมาก็ยังสามารถก่อความวุ่นวายในศิวาดลได้อยู่ดี

            ทำไม...สิบกว่าปีมานี้ถึงไม่มีข่าวผีสางอาละวาด คนที่โดนอาถรรพณ์ศิวาดลมีแค่นายหญิงทั้งสาม ตัวนายศิวาเองไม่โดนอะไรเลย หนำซ้ำพวกลูกจ้างคนงานก็อยู่อย่างปกติสุข ไม่มีข่าวลือเรื่องถูกภูตผีก่อกวน หลอกหลอน ไม่มีกระทั่งคนเห็นผีเป็นเงาว็อบ ๆ แว็บ ๆ เลย

            พิจิกรู้ว่าเหล่าวิญญาณ ภูตผีที่เคยถูกพระยาคงเวทกักขังไว้ไม่ได้หนีหายไปไหน ยังอาศัยอยู่ที่เดิม อาจไม่มีผนึกอาคมควบคุม แต่ที่พวกมันสงบเงียบ ไม่อาละวาด ก่อกวน อาจเป็นได้ที่มีใครบางคนควบคุมอยู่

            เขากับเมษามีสัมผัสพิเศษ ยังได้เห็นผีที่นี่แค่สองครั้ง...ครั้งแรกดวงวิญญาณที่ตามคุณแม่บ้านใหญ่ ครั้งที่สองเป็นวิญญาณของคุณโสภี และวิญญาณทั้งสองครั้ง มีลักษณะเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง

            ใครเป็นคนควบคุมพวกมัน?

            ...ผู้ร้ายในเงา...

            ทำไมปู่ไม่บอกให้มาสืบหาผู้ร้ายในเงาแต่แรก กลับบอกให้มาปิดผนึกอาคมก่อน?

            พิจิกอาศัยความคุ้นเคย รู้จักนิสัยปู่มานานทำให้พอคาดเดาเรื่องได้เกือบทั้งหมด

            ความลับสำคัญที่ปู่ไม่ยอมบอกใคร น่าจะเป็นเรื่องที่เกิดรอยร้าวกับปู่ของเมษา และเขาเชื่อว่าผู้ร้ายในเงาคนนี้ น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องผิดใจของสองผู้เฒ่าไม่มากก็น้อย

            ถ้าปู่บอกให้มาตามหาผู้ร้ายในเงาตั้งแต่แรก ก็ต้องเล่ารายละเอียดความเป็นมายืดยาว เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องโยงไปถึงสาเหตุเพื่อนรักผิดใจกัน

            ปู่จึงให้เขามาปิดผนึกอาคมก่อน ถ้ามันสำเร็จรวดเร็วปัญหาก็จบ แต่ถ้ามีข้อขัดข้องมาสะดุด นั่นแสดงว่าผู้ร้ายในเงาปรากฏตัวแล้ว...

            การตายของคุณโสภี การที่เมษาใช้มนตร์รวมธาตุไม่สำเร็จนั่นคือข้อยืนยัน!

            เมื่อผู้ร้ายในเงาเริ่มเคลื่อนไหว ปู่เผด็จจำเป็นต้องเอ่ยชื่อนี้ให้เขารู้ เพื่อบอกว่าศัตรูร้ายตัวจริงคือใคร...



            ด้านข้างกำแพงตลอดแนวไปจนถึงด้านหลังศิวาดลเป็นหมู่บ้านจัดสรรสองสามโครงการ นับเป็นชุมชนย่อม ๆ ไม่หนาแน่นนัก มีร้านค้า ร้านขายอาหาร ร้านเหล้าติดถนนคอนกรีตสองเลน รถสองแถววิ่งผ่านรับ-ส่งผู้โดยสารจนเกือบถึงเที่ยงคืน
     
            พวกลูกจ้างหนุ่ม ๆ ในศิวาดลมักออกมาจับกลุ่มดื่มกินตามร้านแถวนี้เป็นประจำ

            พิจิกควรไปนั่งรวมกลุ่มพูดคุยกับลูกจ้างเหล่านี้ ต่อให้ไม่ดื่มเหล้าก็ยังสามารถพูดคุย ซักถามเรื่องราวในศิวาดลได้อีกมากมาย แต่เขาขี้เกียจไปยุ่งด้วย

            ตอนนี้เรื่องที่อยากรู้มากที่สุดคือ...ใครเป็นผู้ร้ายในเงา...ซึ่งคนแถวนี้ไม่น่าจะตอบได้

            สำหรับเขา...บุคคลน่าสงสัยสุดคงไม่พ้นคุณแม่บ้านใหญ่ ดวงวิญญาณที่ติดตามเธอนั้น อาจเป็นหนึ่งในบริวารจำนวนมากก็ได้

            ถึงอย่างนั้นพิจิกก็ไม่ปักใจเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะหากปักใจเช่นนั้น อคติจะมาปิดกั้น ทำให้ไม่อาจเปิดตากว้าง สังเกตบุคคลอื่นได้เลย

            “เฮ้ยไอ้น้อง...เด็กใหม่ใช่มั้ย” หนึ่งในกลุ่มวงเหล้าตะโกนทัก

            พิจิกไม่อาจเลี่ยงวงเหล้าจนได้...

            “ครับพี่” ตอบพร้อมเดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้มกว้าง

            “นั่งสิ...กินเหล้ามั้ย” คำเชิญชวนมีน้ำใจ

            “ไม่หรอกครับ ผมไม่ดื่ม” ชายหนุ่มเลี่ยง

            “งดเหล้าเข้าพรรษาหรือไงวะ” ถามด้วยน้ำเสียงขำขัน

            “ครับ” พิจิกตอบรับ ไม่บอกต่อว่า ออกพรรษาแล้วเขาก็ไม่ดื่มเหมือนกัน...

            ปู่เผด็จมักย้ำเสมอ...ถ้าจะรักษาวิชาอาคมของตนไว้ ต้องรักษาศีล ๕ ควบคู่กันไปด้วย

            ถึงไม่ดื่มเหล้า พิจิกก็มีวิธีเข้าสมาคมกับกลุ่มนักดื่ม รู้จักการพูดคุยชวนให้คนวงเหล้าเอ็นดู ไม่ขัดหูขัดตา เป็นนักฟังที่ดี ฉลาด รู้จักจังหวะปล่อยให้อีกฝ่ายพูด เล่าเรื่องที่อยากเล่า โดยแสดงความสนใจแบบพอเหมาะพอดี ทำให้คนพูดรู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญ

            ช่วงเวลาสั้น ๆ ชายหนุ่มจึงได้ใจแก๊งนักดื่ม กลายเป็นพวกเดียวกันโดยปริยาย



            ประตูด้านหลังศิวาดลจะปิดล็อกกุญแจตอนเที่ยงคืน พวกลูกจ้างทั้งวงเหล้าต่างรู้เวลา ไม่มีใครดื่มจนเมา ติดลมจนกลับเข้าประตูไม่ได้ เพราะอาจโดนโทษถึงไล่ออกจากคุณแม่บ้านใหญ่

            ใกล้เที่ยงคืน วงเหล้าเลิก หนุ่ม ๆ เดินรวมเป็นกลุ่มพากันเข้าประตูโดยไม่มีอาการเมาให้เห็น สามารถผ่านประตูได้ก่อนเวลา แต่พอเข้ามาแล้วต้องชะงักเท้าเมื่อเห็นรถกอล์ฟที่ใช้วิ่งภายในเขตศิวาดลจอดอยู่...

            คนที่มักใช้รถกอล์ฟคันนี้ ขับรอบศิวาดลมีแค่คนเดียว...

            “สวัสดีครับคุณศิวา” สันติ ลูกจ้างหนุ่มมีตำแหน่ง อายุงานสูงกว่าคนอื่นเป็นคนเอ่ยปากทักก่อน จากนั้นพวกที่เหลือต่างรีบยกมือไหว้เจ้าของศิวาดลกันเป็นพรวน

            คุณศิวา เจ้าของคฤหาสน์ศิวาดล อยู่ในชุดลำลอง รูปร่างสันทัด ผิวขาวอย่างคนมีเชื้อจีน ดวงหน้าสามเหลี่ยม นัยน์ตาชั้นเดียว มีเค้าความน่ามองในสมัยหนุ่ม ๆ อายุราวห้าสิบต้น ๆ แต่ด้วยความที่ดูแลรักษาสุขภาพดี ออกกำลังกายประจำจึงทำให้รูปร่างหน้าตาดูเหมือนอายุแค่สามสิบปลาย ๆ

            “ว่าไงสันติ พาพรรคพวกมาสังสรรค์กันเหรอ” คำทักทายอารมณ์ดี

            “ครับ...ขอโทษด้วยครับคุณศิวา” ตอบด้วยสีหน้าปูเลี่ยน เกรงเจ้านายจะตำหนิ

            “ไม่เป็นไร...นอกเวลางานแล้ว ไม่ว่ากัน” นายใหญ่ศิวาดลโบกมือไม่ถือสา พลางกวาดตามองพรรคพวกลูกจ้างหนุ่ม ๆ ที่ยืนเรียงหน้าสลอน

            “เป็นไงบ้างยุทธ...เอก...ก้อง...สมัย...เมากันหรือยัง” เสียงเรียกทักทาย แววตาที่มองบอกว่าสามารถจดจำชื่อ รายละเอียดลูกน้องของตนได้ทุกคน

            “ยังครับท่าน...” หนึ่งในกลุ่มถูกเรียกชื่อตอบอย่างสุภาพ

            “เออดีแล้ว ไม่งั้นพรุ่งนี้จะลุกมาทำงานไม่ไหว” บอกอย่างเป็นเรื่องปกติ พลางสายตากระทบกับชายแปลกหน้าที่ยืนในกลุ่มลูกจ้างตน

            “อ้าว...แล้วทิดสึกใหม่นี่ใครกันล่ะ” นายศิวาเรียกจุดเด่นของฝ่ายตรงข้าม แทนการเอ่ยชื่อที่ตนไม่รู้จัก

            “สวัสดีครับ ผมชื่อพิจิก” พิจิกรีบยกมือไหว้แนะนำตัว

            “คนงานใหม่ครับ” นายสันติรีบอธิบาย “เพิ่งมาเป็นคนขับรถได้สองวัน”

            “ชื่อพิจิกเหรอ...อืมม์แปลกดี...มาจากไหนล่ะ” คำถามทักทายทั่วไป

            “มาจากจังหวัด....ครับ” พิจิกบอกจังหวัด ภูมิลำเนาเกิดของตน

            “อ๋อ...ไม่ไกลกรุงเทพเท่าไหร่นะ ตอนนี้ถือเป็นจังหวัดใหญ่ระดับหัวเมืองเชียว” พูดกึ่งชวนคุยให้ความสนิทสนม

            “ครับ...” พิจิกรับคำตามน้ำ

            “คุณศิวามาถึงด้านหลังนี่...มีธุระอะไรเรียกใช้พวกผมหรือเปล่าครับ” สันติถาม เพราะเวลาดึกขนาดนี้ นายใหญ่ไม่น่าขับรถกอล์ฟรอบคฤหาสน์เล่น

            “อือ...เห็นว่าวันนี้มีเรื่องหนักหนากัน คุณโสภีเพิ่งเสีย พวกลูกจ้างโดนตำรวจสอบปากคำกันหมด ก็เลยแวะมาดู ทักทายเสียหน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง” บอกอย่างนี้แสดงว่าเจ้าตัวแวะไปคุยกับลูกจ้างทุกกลุ่มมาแล้ว ไม่เฉพาะกับพวกนายสันติที่นั่งดื่มเหล้าในร้านด้านหลังศิวาดลเท่านั้น

            นักธุรกิจที่เวลาเป็นเงินเป็นทอง กลับเจียดเวลาพักผ่อนของตน มาเอาใจใส่ดูแลสารทุกข์สุกดิบของลูกจ้างขนาดนี้ จึงไม่แปลกที่คนในศิวาดลจะเคารพรักอย่างจริงใจ

            “อ๋อ ไม่เป็นไรหรอกครับ” สันติตอบแทนลูกจ้างในกลุ่ม

            “ตำรวจเขามาถาม มารบกวนตรวจสอบอะไรพวกเราบ้างมั้ย” เจ้านายถามอย่างใส่ใจ

            “ไม่ได้มาตรวจสอบ รื้อค้นข้าวของพวกเราหรอกครับ แค่มาสอบปากคำ ถามว่าช่วงเวลาสามทุ่มถึงสี่ทุ่มอยู่ที่ไหน ทำอะไรกัน มีใครเป็นพยานอยู่ด้วยมั้ย...”

            “แล้วยังไง”

            “พอดีเมื่อคืน พี่สมยศเขาเรียกพวกคนขับรถมาคุยเรื่องงานเปิดรั้วศิวาดลกันจนดึก คนอื่นส่วนใหญ่ก็ยังอยู่แถวเรือนครัว ไม่มีใครแยกไปไหน...”

            “อ้อ...” ผู้เป็นนายยิ้มอย่างเข้าใจ “ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว ไปพักผ่อนกันเถอะ ยามเขาจะได้ปิดล็อกประตูไปดูแลจุดอื่นต่อ”

            ด้วยความที่กลุ่มลูกจ้างหนุ่มเพิ่งเข้ามาในเขตศิวาดล ประตูใหญ่ด้านหลังจึงยังเปิดค้าง ยามประจำหน้าประตูเห็นเจ้านายใหญ่มาถึง ก็รีรอฟังคำสั่ง ไม่รีบปิดประตู เผื่อนายศิวามีธุระจะออกไปข้างนอกผ่านประตูด้านหลังนี้

            พอเจ้านายพูดอย่างนั้นยามจึงค่อยเลื่อนประตูปิด พิจิกเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างตรงเงามืดหลังประตู

            “พี่ยามระวัง...ปืน!”

            เสียงตะโกนไม่ทันขาดคำ เสียง ‘ปัง’ ดังลั่นก็ตามมา ยามหน้าประตูทรุดฮวบโดยไม่ทันตั้งตัว

            ชายชุดดำคลุมหน้าสามคนพร้อมอาวุธปืนในมือโผล่มาจากเงามืดหลังประตู จ่อปืนสาดกระสุนเข้ามาก่อนเพื่อเป็นการเปิดทาง

            ปัง...ปัง...ปัง...

            พิจิกกระโดดหลบตามสัญชาตญาณ การฝึกฝนเรียนรู้มา ขณะที่ลูกจ้างคนอื่นแตกตื่นเก้ ๆ กัง ๆ งุนงงทำอะไรไม่ถูก ยังดีที่ฝ่ายตรงข้ามไม่เจาะจงคนเหล่านี้เป็นเหยื่อจึงไม่มีใครโดนกระสุนเหมือนยามหน้าประตู

            ขณะพิจิกหลบพ้นวิถีกระสุน ลูกจ้างอื่นยังไม่ได้สติ นายศิวากลับมีสติรวดเร็ว รีบกระโจนหลบไปอยู่หลังรถกอล์ฟทันทีตั้งแต่ลูกจ้างหนุ่มตะโกนเตือนคำแรก พร้อมกดโทรศัพท์เรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้มาด้านหลังศิวาดลโดยด่วน

            “ประตูด้านหลังศิวาดลมีคนร้ายพร้อมอาวุธปืน รีบแจ้งตำรวจแล้วมาจัดการเร็ว!” น้ำเสียงนายศิวาชัดถ้อยชัดคำ ไม่มีอาการแตกตื่นลนลานสักนิด

            ปัง...ปัง...ปัง...แป๊ง...แป๊ง...แป๊ง...กระสุนตามมาอีกสามนัด กระทบโดนตัวถังรถกอล์ฟ บอกให้ทราบว่าเป้าหมายแท้จริงของพวกมันคือใคร...

            คนร้ายมืออาชีพ อาวุธครบ บุกเข้ามาอย่างอุกอาจ เป็นใครย่อมแตกตื่นยากควบคุมตนเอง

            พวกมันย่างสามขุมมาทางรถกอล์ฟ ระยะห่างประมาณยี่สิบเมตร ปืนกวาดส่ายโดยรอบสะกดให้พวกลูกจ้างที่กระจัดกระจายไม่อาจคิดหาวิธีตอบโต้

            บนรถกอล์ฟไม่มีอาวุธใดมาป้องกันตัว นายศิวาเกือบเหมือนรอคอยให้มือปืนกลุ่มนั้นเดินมา แล้วบุกยิงกดหัวตนถึงที่

            พิจิกคิดหาวิธีช่วยเหลือ เขาซ่อนตัวในมุมเหมาะสม คนร้ายทั้งสามไม่เห็น รอบกายไม่มีอาวุธอื่นนอกจากก้อนหินขนาดเหมาะมือหลายก้อน

            อีกไม่เกินสิบเมตรจะไปถึงรถกอล์ฟ พวกมันสามคนจับปืนกุมกระชับพร้อมเล็งยิงทันทีที่มองเห็นเป้าหมายชัดเจน

            พิจิกคว้าก้อนหินมากำแน่น กำหนดแผนการ จังหวะพรักพร้อม ตวัดข้อมือขว้างเต็มแรง...

            “ตุ้บ!” หินขนาดย่อมปะทะข้อมือผู้ร้ายด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่านักขว้างลูกเบสบอลอาชีพ ส่งผลให้เกิดความเจ็บร้าว ชาซ่าน ปืนกระเด็นตกหายในความมืด

            “โอ๊ย!” ก้อนที่สองตามมาไม่ทันให้ตั้งตัว ปะทะเข้ากลางหลังมือปืนอีกคน ส่งผลให้เกิดแรงสะท้านเยือก หันขวับตวัดปืนมองหามือขว้างในเงามืด

            พิจิกกระโจนเข้าหลบซ่อนยังอีกจุดหนึ่ง

            “เฮ้ย...” มือปืนอีกคนเห็นเงาร่างแวบ ๆ รีบมองตามเหลียวหาบุคคลในเงาเพื่อช่วยเหลือเพื่อน

            มือปืนทั้งสามเผลอละความสนใจจากเหยื่อชั่วขณะ เปิดโอกาสดียิ่งให้แก่บุคคลหนึ่ง

            นายศิวาโผล่มาจากหลังรถกอล์ฟอย่างรวดเร็ว ในมือคว้าไม้กอล์ฟที่ติดรถออกมา แล้วตวัดฟาดตรงข้อมือผู้ร้ายอีกสองคน รวดเร็ว รุนแรง ไม่ทันให้อีกฝ่ายตั้งตัว

            “โอ๊ย”

            “โอ๊ย”

            สองเสียงร้องลั่น ปืนในมือร่วงหล่น ไม่ทันก้มเก็บ ไม้กอล์ฟก็ฟาดตามมาเข้าที่ชายโครงมือปืนรายหนึ่ง อีกรายไม่สนใจเก็บปืน กระโจนเข้าใส่นายศิวาแบบเสือร้ายตะปบเหยื่อ

            “พี่สันติ...รุมมันเลย ไม่มีปืนแล้ว” พิจิกตะโกนลั่น บอกลูกจ้างที่กลัวกระสุนให้มีสติ รีบเข้ามาช่วย

            ส่วนพิจิกกระโดดเข้าไปเตะปืนสองกระบอกที่ตกใกล้มือปืน ให้กระเด็นหายไปในความมืด ยากจะมองหาในเวลาอันสั้น เป็นการทำลายอาวุธสำคัญของฝ่ายตรงข้ามจนหมด

            การต่อสู้ระยะประชิดเริ่มขึ้น ผู้ร้ายสามราย ฝ่ายเจ้าบ้านมีเจ็ดคน สถานการณ์ไม่น่าลำบาก อันตรายนัก ทว่าผู้บุกรุกทั้งสามไม่ธรรมดา อาวุธในตัวไม่ได้มีแค่ปืนกระบอกเดียว

            มีดคมวับถูกชักออกมา เสือกเข้าใส่นายศิวาอย่างไม่เกรง...ไม้กอล์ฟสามารถใช้ป้องกันตัวระยะไกล หากในระยะประชิดเช่นนี้กลับกีดขวาง เกะกะ อาจเป็นภัยแก่ตัว

            นายศิวาขว้างไม้กอล์ฟทิ้ง อาศัยความว่องไวหลบหลีกมีดจากฝ่ายตรงข้าม โดยยังหาวิธีตอบโต้ รับมือไม่ได้

            พวกลูกจ้างหนุ่มได้สติ กรูมาช่วยเจ้านาย โดนมือมีดอีกรายเข้าขวาง คมมีดวาววับตวัดขวางมีชั้นเชิง แบบมืออาชีพ สะกดลูกจ้างทั้งห้า ไม่กล้าผลีผลาม ทะเล่อทะล่าในทันที

            นายศิวากำลังเผชิญสองมือมีดที่ดาหน้ามาหา ตั้งใจสังหารปิดบัญชีรวดเร็ว พิจิกชาร์จเข้าใส่หนึ่งในสองมือมีด ช่วยแยกผู้ร้ายออกมา ไม่ให้เจ้าของศิวาดลหนักแรงมากนัก

            ขวับ...ขวับ...ปลายมีดตวัดเร็ว ผสานความคล่องตัว จังหวะเหนือชั้นกว่าของผู้ร้ายทำให้นายศิวาโดนปลายมีดแรกเกี่ยวผ่านต้นแขนเรียกเลือดไหลซึมออกมา

            พิจิกผ่านการฝึกฝนต่อสู้มาตั้งแต่เล็ก คู่ซ้อมสมัยวัยรุ่นไม่ใช่เด็กสาวอย่างเมษา แต่เป็นระดับนักมวยอาชีพ บางคนเป็นแชมป์ระดับประเทศ จึงสามารถใช้มือเปล่าสู้กับมือมีดได้อย่างทัดเทียม ระยะเวลาอันสั้นก็ทำให้มีดหลุดจากมือคู่ต่อสู้สำเร็จ ตามด้วยฟันศอกใส่ปลายคาง เล่นอีกฝ่ายจนหน้าหงายล้มตึง
 
            หันไปช่วยนายศิวา การต่อสู้จึงกลายเป็นสองมือเปล่ากับหนึ่งมือมีด สังเกตเห็นว่าเจ้าของศิวาดลไม่ธรรมดา ขนาดอายุไม่น้อยยังคล่องแคล่ว เคลื่อนไหวร่วมต่อสู้กับคนหนุ่มอย่างพิจิกได้กลมกลืน ไม่ขวางมือขวางเท้ากัน ใช้เวลาไม่ถึงนาทีก็สามารถทำให้มีดหลุดจากมืออีกฝ่ายได้ไม่ยาก

            “รปภ.มาแล้ว” ลูกจ้างหนุ่มที่โดนอีกหนึ่งมือมีดสกัดกั้นตะโกนบอก

            แสงไฟหน้ารถส่องกราดแต่ไกล บอกถึงการมาของทีมรักษาความปลอดภัย...

            “ไป!” หนึ่งในกลุ่มผู้บุกรุกส่งเสียงลั่นบอกพรรคพวก

            การมาถึงของพวกมันนับว่าแนบเนียน รวดเร็วเกินคาดแล้ว การหลบหนีของคนกลุ่มนี้ยิ่งรวดเร็วกว่า ผู้บุกรุกที่หลงเหลือมีดในมือใช้มันตวัดนำทาง ไม่มีลูกจ้างกล้าขวาง อีกสองคนที่เหลือแม้บาดเจ็บยังเคลื่อนไหวตามติดด้านหลังคล่องแคล่ว จนนายศิวาไม่กล้าออกคำสั่งให้จับตัวพวกมันไว้



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP