วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
ศิวาดล ๙
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
นับแต่จำความได้ ก็เจอหน้ามาตลอด...บ้านอยู่ติดกัน ปู่กับปู่เป็นเพื่อนสนิท พ่อแม่ต่อพ่อแม่ก็เป็นเพื่อนรัก คุ้นเคยยิ่งกว่าญาติพี่น้องใกล้ชิด
ความสัมพันธ์ที่ผ่านมาจึงมีทั้งรัก โกรธ โมโห ทะเลาะเบาะแว้ง ต่อยตีกันบ้าง...ทว่า...คนสองคนไม่เคยมองกันเป็นศัตรูแม้แต่ครั้งเดียว
การที่ปู่สองบ้านบาดหมางในช่วงสิบกว่าปีหลังมานี้ ไม่ได้แปลว่าสองบ้านจะเมินใส่กัน มองกันและกันเป็นศัตรู
พ่อพิจิกกับเมษายังเป็นเพื่อนรัก เพื่อนร่วมสถาบัน รักใคร่คุ้นเคยกันเหมือนเดิม แม่ของสองบ้านก็ยังพูดคุย ชวนไปทำกิจกรรมแบบผู้หญิงโดยไม่ขาด เพียงแค่ระวัง ไม่แสดงความสนิทสนมกลมเกลียวให้ผู้อาวุโสสองบ้านเห็นเท่านั้นเอง
นั่นเพราะปู่เผด็จ กับปู่คงคาไม่เคยใช้อัตตาตนไปครอบงำลูกหลาน ไม่เคยประกาศว่าสองตระกูลเป็นอริ ไม่ยอมอยู่ร่วมฟ้า ไม่คิดก่อกำแพงหนากั้นระหว่างสองบ้าน
เพียงแต่พิจิก เมษาเป็นหลานรัก หลานคนโปรดของปู่ จึงแคร์ความรู้สึกผู้เฒ่ามากกว่าใคร เมื่อสองปู่เกิดเรื่องผิดใจ เด็กทั้งสองจึงต้องขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์ ไม่ยอมก้าวล่วงออกมา ไม่อยากให้ปู่ที่ตนรักต้องนึกเสียใจที่ไม่มีลูกหลานอยู่ข้างตัวเอง
ถึงขีดเส้นแบ่งชัดขนาดนั้น มันก็ไม่เคยทำให้สายใยบาง ๆ ที่เชื่อมโยงระหว่างกันมานาน ขาดหายไปเลย...
“เจ็บมั้ย” พิจิกถามเบา ๆ เมื่อเริ่มเย็บเข็มแรก
“ถ้าฉันเจ็บแล้วแกจะเลิกเย็บมั้ยล่ะ” เมษาอดกวนไม่ได้
“ไม่เลิกหรอก” คุณหมอบอกอย่างไม่ใส่ใจ “แต่จะเย็บให้ประณีตหน่อย จะได้ไม่เป็นรอยแผลเป็น...ไม่งั้นแม่แกคงด่าฉันอีกว่า...ทำให้ลูกสาวเขาขายไม่ออก...”
น้ำเสียงชายหนุ่มแฝงอารมณ์ขัน รื่นรมย์ ชวนให้ระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
นานมาแล้ว...พิจิก เมษาน่าจะอายุราว ๘-๙ ขวบ เป็นช่วงเวลาที่ทั้งสองเริ่มฝึกศิลปะการต่อสู้ ชกมวย และอื่น ๆ
ปู่เผด็จ ปู่คงคาต้องการให้หลานทั้งสองเป็นเสมือนตัวแทนพวกตน นอกจากฝึกจิต ฝึกสมาธิ สอนให้เรียนอาคมทีละน้อยแล้ว ยังให้มาเรียนศิลปะการต่อสู้ในแบบต่าง ๆ จุดประสงค์ไม่ได้หวังให้ต่อยตีกับใคร แต่การเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้อย่างถูกต้อง ก็เป็นการฝึกสติ ฝึกสมาธิที่ดี อย่างธรรมชาติ โดยไม่เกาะยึดในรูปแบบเดิม ๆ
การเรียนชกมวย กีฬาแรง ๆ อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
ค่ายมวยที่สองปู่พาหลาน ๆ ไปฝึกฝน เรียนรู้ มีแต่ผู้ใหญ่ คนโต ๆ เด็กทั้งสองจึงต้องจับคู่ฝึกซ้อมหมัดมวยกันเอง
ด้วยความที่ยังเด็ก เพิ่งเริ่มฝึกฝนไม่นาน จึงมีการพลั้งมือ ยั้งไม่ทันบ้าง โดยเฉพาะกับเด็กซน แก่นแก้วอย่าง พิจิก กับเมษา
คนเจ็บตัวครั้งนี้เป็นเมษา ซึ่งหลบหมัดของพิจิกจนพลาดลื่นล้มแขนหัก...
ปู่ทั้งสองรีบพาหลานสาวส่งโรงพยาบาล หนูน้อยพิจิกยืนหน้าซีดเกาะประตูห้องพยาบาล รู้สึกผิด เป็นห่วงเพื่อนสนิทตัวน้อย และยังกลัวผู้ใหญ่จะลงโทษ
ปู่เผด็จ ปู่คงคาไม่เอ่ยปากตำหนิหลานชายสักคำ รู้ว่าอุบัติเหตุเกิดจากความไม่ตั้งใจ ไม่ใช่ประมาท อีกทั้งสีหน้า แววตาของพ่อหนูน้อย ก็ชวนให้ผู้ใหญ่สงสาร ทำโทษไม่ลง
แม่เมษา พิจิกตามมาถึงในเวลาที่ลูกสาวตัวน้อยเข้าเฝือกเสร็จ ออกจากห้องพยาบาลแล้ว
คนเป็นแม่เห็นลูกสาวปลอดภัยดีก็โล่งอก แต่พอพบรอยเขียวช้ำตามแขน ตามตัวลูกสาวจากการซ้อมมวย ก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งหยอกลูกชายเพื่อนบ้านสักครั้ง
“ตายแล้วลูกสาวแม่...ทำไมช้ำไปหมดทั้งตัวแบบนี้” แม่เมษาบ่นแกมขัน “ดูสิ...ยิ่งมาแขนหักเข้าเฝือกซะอีก โตขึ้นจะมีผู้ชายที่ไหนมาขอ...สงสัยลูกสาวชั้นขายไม่ออกแน่...ใครจะรับผิดชอบเนี่ย”
พวกผู้ใหญ่ที่นั่งฟังอยู่ด้วยต่างรู้ว่าเป็นการหยอกล้อ อารมณ์ดี ไม่ถือสาหาโทษใคร เด็กน้อยอย่างพิจิกฟังแล้วกลับรู้สึกว่าเป็นความผิดของตน ที่ทำให้เพื่อนสนิทแขนหักแบบนี้
ด้วยถูกปลูกฝังให้เป็นลูกผู้ชาย...ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองกระทำ เด็กชายจึงยืนตัวตรง หันหน้าทางแม่ของเมษา พร้อมพูดจาหนักแน่น
“ถ้า...ไม่มีใครมาขอหมวยเล็ก...” เด็กชายกล่าวชัดถ้อยชัดคำ “ผมจะไปขอเอง...ผมจะดูแล รับผิดชอบหมวยเล็กเองครับ”
คำพูดหนักแน่น แววตาซื่อตรงของพ่อหนุ่มตัวน้อย ทำให้ผู้ใหญ่ที่เห็นล้วนเอ็นดู ชอบใจ
แม่ของพิจิกจึงแกล้งหันไปถามเด็กหญิงบ้าง
“ไงจ๊ะหมวยเล็ก...ถ้าเจ้าจิกมันมาขอแต่งงาน หนูจะยอมมั้ย”
เมษาก็ถูกเลี้ยงให้เป็นคนตรงไปตรงมา ไม่มีจริตจะก้าน มารยาแบบผู้หญิง จึงตอบตรงตามความรู้สึกตนเอง
“ค่ะ...หนูแต่งกับไอ้จิกก็ได้!”
เพียงเท่านั้น คนที่กอดคอหัวเราะลั่นอย่างชอบใจกลายเป็นสองปู่ ผู้ลุ้นรอคอยให้สายเลือดตนได้มาผูกสัมพันธ์กันเสียที
คำสัญญาที่ให้กันมาหลายสิบปี มีโอกาสเป็นจริงในรุ่นหลานอย่างนี้...ทั้งคู่ต่างรับปากแก่กัน จะต้องมีชีวิตอยู่ จนถึงวันที่หลานทั้งสองเข้าหอให้ได้
น่าเสียดาย...อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน หลังจากวันนั้นอีกแค่ห้าปี เพื่อนรักเพื่อนตาย กลับประสบเรื่องร้ายเกิดบาดแผลในใจ มองหน้ากันไม่ติด...หลานชายหลานสาวเพิ่งย่างเข้าวัยรุ่นเห็นอย่างนั้น จึงขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์ชัดเจน...จนถึงวันนี้
พิจิกเย็บแผล ทำความสะอาดเช็ดเลือดจนหมดจด ก่อนปิดผ้าก๊อซให้อย่างประณีต เบามือ
“เสร็จแล้วใช่มั้ย” เมษาถาม
“ยัง...รอก่อน” คุณหมอยังไม่ให้คนเจ็บขยับตัว
“มีอะไรอีก” ถามอย่างสงสัย
พิจิกลุกขึ้นยืน ถอดถุงมือยางออก หยิบขวดยาทาแก้ช้ำขึ้นมาเปิด...
“อยู่นิ่ง ๆ นะ” ชายหนุ่มกำชับ
ปลายนิ้วควักยาขึ้นมาแต้มตรงรอยช้ำบวมบนหน้าผากหญิงสาว แล้วคลึงทาให้อย่างเบามือ ใบหน้าอยู่ใกล้จนสัมผัสลมหายใจกันและกัน
เมษารู้สึกถึงความอ่อนโยน นุ่มนวลที่ออกมาจากปลายนิ้วชายหนุ่ม แทรกซึมไปกับยาที่ทา จิตใจกำซาบความรู้สึกของเขา ชวนให้หัวใจเต้นแรงกว่าปกติ
ช่วงเวลาแสนสั้น หากทั้งสองกลับรู้สึก รอบกายไม่มีสิ่งอื่นใด นอกจากพวกตนทั้งสองคน
“เรียบร้อยแล้ว” คุณหมอหนุ่มขยับตัวออก ยัดขวดยาทาแก้ช้ำใส่มือหญิงสาว ก่อนหันไปเก็บอุปกรณ์ ขวดยาให้เข้าที่ในชั้นตามเดิม
เมษานั่งนิ่ง ๆ อีกชั่วขณะ ใจยังกำซาบ ระลึกถึงชั่ววินาทีที่ผ่านไปอย่างเสียดาย ก่อนตั้งสติเหลียวมองดูบาดแผลตน ไม่เห็นเลือดซึมออกมาอีกค่อยสบายใจขึ้น ดึงชายเสื้อลงปิด แล้วขยับตัวลงจากโต๊ะตรวจ
พิจิกเก็บทำความสะอาดสถานที่อย่างรวดเร็ว เรียบร้อย ไม่เหลือร่องรอยให้รู้ว่ามีคนเคยเข้ามาทำการรักษาในนี้ เพื่อไม่ให้มีใครผิดสังเกต จนนึกสงสัยสถานะแท้จริงของลูกจ้างหน้าใหม่ได้
“ขอบใจ” เมษาพูดสั้น ๆ เตรียมออกจากห้อง
“ตอนนี้เราไม่ได้เป็นหมอกับคนไข้แล้ว ไม่ต้องมีมารยาทก็ได้” พิจิกยักคิ้วหยอกล้อ
“เออ...แกพูดเองนะไอ้หมาจิก” เมษาย้อน แล้วเดินออกจากห้องโดยไม่สนใจชายหนุ่มที่เพิ่งเก็บกวาดร่องรอยการรักษาอาการบาดเจ็บของตนแม้แต่น้อย
พิจิกอมยิ้มมองตามหลังหญิงสาว มือล้วงกระเป๋าอย่างอารมณ์ดี จนปลายนิ้วสัมผัสซองยาที่บรรจุนมก้นแก้วในห้องคุณโสภี ค่อยนึกถึงภารกิจของตนเองได้
ยกนาฬิกาขึ้นดู พบว่าพอมีเวลาเหลือ...การมาช่วยดูแล รักษาบาดแผลให้เมษาไม่ได้ทำให้เสียเวลาเท่าใดนัก...หนำซ้ำ มันกลับรู้สึกเหมือน ช่วงเวลาเก่า ๆ ที่เลือนหาย กำลังย้อนทวนคืนมาในความทรงจำอีกครั้ง
บทที่ ๖
ดึกสงัด...นอกรั้วศิวาดล
มุมมืดริมถนน ต้นไม้ใหญ่ใบหนาแผ่ปกคลุมกินบริเวณกว้าง ช่วยปิดบังรถยนต์คันหนึ่งซึ่งดับเครื่อง จอดสนิทอยู่พักใหญ่
พิจิกนั่งอยู่เบาะหลังรถ ยื่นซองยาที่บรรจุนมก้นขวดให้ปู่เผด็จ
“นี่เป็นซองใส่นมก้นขวด ได้จากห้องคุณโสภี พยาบาลส่วนตัวที่เสียชีวิต...ผมฝากปู่ช่วยเอาไปตรวจสอบหาสารพิษในนี้ด้วยครับ”
ชายหนุ่มรู้ว่าปู่มีอิทธิพลกว้างขวางขนาดไหน แค่ตรวจสอบสารพิษเท่านี้นับเป็นเรื่องเล็กน้อย
“นึกยังไงถึงอยากสืบสาเหตุการตายของพยาบาลคนนี้” ปู่ตั้งคำถาม เพราะงานที่ให้หลานชายทำ ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมใด ๆ
“เพราะ...” พิจิกนิ่งคิดหาคำอธิบาย “เพราะผมรู้สึกว่า ถ้าสืบเรื่องการตายคุณโสภีได้ มันจะโยงไปถึงเรื่องการปิดผนึกอาคมเองในที่สุด”
เป็นคำอธิบายที่ไม่ค่อยสมเหตุผลนัก ผู้เฒ่าฟังแล้วกลับพยักหน้ายอมรับ ในใจมีปมบางอย่างที่อยากเปิดเผยให้หลายชายได้รู้
“ได้สิ...ปู่จะเอาหลักฐานนี้ไปตรวจสอบให้” ปู่เผด็จรับซองนั้นมา “แล้ววันนี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง”
คำถามต่อมาต้องการทราบเหตุการณ์หลังมีการพบศพ
“หลังจากตำรวจมาดูที่เกิดเหตุ นิติเวชเก็บหลักฐาน โรงพยาบาลมารับศพ ตอนบ่ายผมกับพวกคนงานทั้งหมดถูกสอบปากคำ หลังจากนั้นยังไม่มีอะไรครับ” พิจิกสรุปสั้น ได้ใจความ
“มีเรื่องผิดปกติอื่นในบ้านมั้ย” ปู่ถามต่อ
“เรื่องผิดปกติอื่นไม่มีครับ...นอกจาก...” ชายหนุ่มลังเล ไม่แน่ใจควรเล่าต่อดีหรือไม่...
“เรื่องของหลานสาวไอ้เล้งล่ะสิ” ปู่รู้ทันหลานชาย
“ครับ...เมื่อตอนหัวค่ำ ผมเห็นหมวยเล็กเจ็บตัวมา” พิจิกเลี่ยงไม่ลงรายละเอียดอาการบาดเจ็บ รวมถึงการที่ตนมีส่วนช่วยดูแลทำแผลให้หญิงสาว
“ไปโดนอะไรมาล่ะ” ปู่ถามสาเหตุ
“เท่าที่ผมแอบฟังพวกแม่ครัว ลูกจ้างบ้านใหญ่...ได้ความว่า...หมวยเล็กขึ้นไปเสิร์ฟอาหารมื้อเย็น แล้วโดนคุณแพรพลอยอาละวาดใส่จนเจ็บตัว”
หลังจากทำแผลให้เมษา ยังมีเวลาเหลือก่อนนัดหมาย พิจิกจึงลอบไปหลังครัวบ้านใหญ่ ทันได้ยินเสียงป้าเพลินพูดคุยกับแม่แววถึงเหตุการณ์เกี่ยวกับเมษา และคุณแพรพลอยพอดี
“นังหนูนั่นไปทำอะไรให้ เขาถึงอาละวาดใส่เอา” ชายชราหัวเราะหึหึมีร่องรอยเอ็นดู
“เท่าที่ได้ยินมา หมวยเล็กไม่ได้ทำอะไรผิด หรือไปขัดหูขัดตาเขา...แต่คุณผู้หญิงบ้านนี้เขาป่วย...เป็นโรคไบโพล่าร์”
“เป็นยังไง ไอ้โรคที่ว่านี่” ผู้สูงวัยไม่คุ้นกับชื่อโรคแปลก ๆ ในยุคปัจจุบัน
“มันเป็นอาการทางจิตเภท...เอ๊ย...เรียกว่าโรคจิตอย่างหนึ่ง...” พิจิกเลือกใช้ถ้อยคำง่าย ๆ อธิบายแก่ชายชรา “คนป่วยจะมีอารมณ์แปรปรวนง่าย เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้ายขึ้นลงรวดเร็ว”
“โรคจิตเหรอ...” ปู่เผด็จพึมพำ แววตาบอกอาการครุ่นคิด
“ครับ...เป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง แต่...ถ้าพยายามอยู่ห่าง ๆ เสียก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร” ชายหนุ่มคล้ายพูดให้ปู่ฟัง แต่ในใจกลับเป็นวาจาอยากเตือนให้หญิงสาวได้ยิน
ปู่เผด็จนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนวกเข้าเรื่องสำคัญ
“เรื่องปิดผนึกอาคมน่ะ...ถ้าใช้ดิน น้ำ อาคม...มนตร์รวมธาตุ...แกก็จะได้ดินกลางเรือนพระยาคงเวทมาทำพิธีไม่ยาก ไม่ถึงขนาดต้องลงทุนไปขุดดินจริงมาหรอก” ปู่เผด็จแนะนำหลานชาย
“ผมว่าหมวยเล็กน่าจะลองทำดูแล้ว” พิจิกรู้ว่าหญิงสาวแอบลงไปห้องใต้ดิน ร่ายมนตร์รวมธาตุแล้ว แต่ยังไม่ได้ดินกลางเรือนออกมา แสดงว่าวิธีนี้ไม่ได้ผล
“ที่พิธีไม่สำเร็จ ไม่ได้แปลว่าขั้นตอนไม่ถูก มนตร์อ่อนกำลัง แต่มันคงมีใครบางคนขัดขวาง” ปู่เผด็จบอกราวกับอยู่ในเหตุการณ์ด้วย
“คนขัดขวาง” พิจิกพึมพำ “ปู่หมายถึง...พวกปิศาจ ภูตผี วิญญาณร้ายที่หลุดออกมาแล้ว มันมาขัดขวางพิธีนี้ เพื่อจะได้ไม่ถูกจองจำอีกใช่มั้ยครับ”
ปู่เผด็จส่ายหน้า
“มันอาจเป็นผี...หรือคนที่มีอาคมเหมือนพวกเรา...แต่ไม่ต้องการให้เราปิดผนึกอาคมภูตผีเหล่านี้”
“เขาเป็นใครครับ” ชายหนุ่มตั้งใจรอฟังคำตอบ
ปู่เผด็จถอนใจ เหตุการณ์เมื่อสิบกว่าปีก่อนย้อนทวนกลับมา...การปิดผนึกอาคมครั้งที่สองไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลย...ถ้าหากไม่มี ‘ใครบางคน’ ขัดขวาง
“มัน...” ผู้สูงวัยเอ่ยปาก
พิจิกรอฟัง...ชื่อที่ปู่กำลังจะบอกออกมา อาจเป็นเครื่องยืนยันสังหรณ์ของเขา...สังหรณ์ที่บอกว่า...การตายของคุณโสภี เกี่ยวเนื่องกับการปิดผนึกอาคม...และเมื่อตามรอยการตายของสตรีผู้นี้ จะพาไปพบใครบางคน ซึ่งคนนั้นน่าจะเป็นคนเดียวกับที่ปู่กำลังจะเอ่ยชื่อต่อไปนี้
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
เมื่อทำแผลเสร็จ เมษาถือโอกาสเข้าห้องพักส่วนตัว โทรศัพท์รายงานเรื่องราวทั้งหมดวันนี้ให้ปู่คงคาฟัง
หญิงสาวรับปากคุณแม่บ้านใหญ่ว่าจะไม่เล่าเรื่องที่เกิดให้คนงานข้างนอกฟัง แต่ปู่คงคาเป็นบุคคลภายนอก...ไม่ใช่คนงาน...
“ยังเจ็บแผลอยู่หรือเปล่า” คำถามเป็นห่วง เมื่อรู้ว่าหลานสาวเจ็บตัว
“นิดหน่อย...ไกลหัวใจค่ะปู่” หญิงสาวเลียนแบบวาจาผู้เฒ่ามาตอบ แล้วรีบตั้งคำถามเปลี่ยนประเด็น ไม่อยากให้ปู่รู้ว่าพิจิกเป็นคนทำแผลให้เธอ
“ปู่หาวิธีปิดผนึกอาคมทางอื่นได้หรือยังคะ”
ปู่คงคานิ่งคิดชั่วขณะก่อนตอบ
“ที่จริงใช้มนตร์รวมธาตุ ดิน น้ำ อาคมอย่างเดิมก็ได้...ถ้าไม่มีใครมาขัดขวาง” คำตอบชวนให้สงสัย
“ปู่จะให้หนูสะกดพวกภูตผีทั้งหมดก่อนหรือคะ” เมษาถาม
“ที่ขัดขวางเรา ไม่ใช่ภูตผีพวกนั้นหรอก”
“อ้าว...แล้วเป็นใครกัน...”
“มัน...” เสียงถอนใจยาวดังคั่นจังหวะก่อนตอบ...
“มันเป็น ‘ผู้ทรงเวทในเงา’” ชื่อนี้หลุดมาเป็นครั้งแรก
เมษาถือหูโทรศัพท์นิ่ง เกิดอาการขนลุก ตัวชาวาบอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ
“เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว...ก่อนบ้านหลังนั้นจะสร้าง ปู่กับไอ้เผด็จเคยไปปิดผนึกอาคมซ้ำ ตรงที่ดินร้างของเรือนพระยาคงเวท...แต่ไม่สำเร็จ เพราะมันคนนี้มาขัดขวาง”
“ปู่ได้เจอตัวเขามั้ยคะ”
ผู้สูงวัยหัวเราะหึหึ...เยาะหยันตนเอง
“ไม่เห็นแม้แต่เงา...” คำตอบชวนให้ใจหาย
ขนาดสองผู้เฒ่าทรงเวทร่วมกันลงมือ ยังพ่ายให้กับ ‘บางคน’ ที่ไม่โผล่ให้เห็น ‘แม้แต่เงา’ ...คนผู้นั้นจะมีระดับฝีมืออาคม มนตราสูงส่งเพียงใดกัน
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
“มันเป็น ‘ผู้ร้ายในเงา’” ชื่อที่ปู่เผด็จตอบหลานชาย ไม่ตรงกับอดีตเพื่อนรัก แต่มีความหมายคล้ายคลึงกัน “มันวางแผน สร้างเรื่อง วางกับดักแยบยล จนปู่กับไอ้เล้งหลงกล และที่น่าเจ็บใจกว่านั้นคือ คาถา อาคมของมันแกร่งกล้า คมลึกอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน”
พิจิกอึ้ง คาดไม่ถึงจะมีผู้ทรงเวทมนตร์ที่แกร่งกล้า สูงล้ำกว่าปู่ตน
“ปู่เคยเห็นหน้ามันมั้ยครับ” คำถามนี้หลุดออกมา
“ถ้าเคยเห็น...จะเรียกมันว่าผู้ร้ายในเงาหรือไง” ปู่เผด็จย้อนให้
ชายหนุ่มนิ่งคิด ก่อนเปิดปากถามปัญหาที่คาใจตนเองมานับสิบปี
“เพราะคนคนนั้นใช่มั้ยครับ...ที่ทำให้ปู่กับปู่หมวยเล็กผิดใจกัน”
ถ้าเป็นคนอื่นถามอาจโดนท่านผู้เฒ่าด่าเปิงไปแล้ว พอหลานรักเอ่ยขึ้นในเวลานี้ ผู้ชราแค่ถอนใจหนัก ก้มมองดูขาข้างที่เสียของตน
พิจิกมองตามสายตาปู่ จำได้ว่าปู่เผด็จเคยแข็งแรง เดินเหินคล่องแคล่วมาตลอด จนกระทั่งไปปิดผนึกอาคมครั้งที่สองกับปู่คงคา...
ช่วงเวลานั้นพิจิกอายุราว ๑๓-๑๔ ปี สามารถจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ชัดเจน
กลับจากปิดผนึกอาคมที่ไม่สำเร็จครั้งนั้น ปู่เผด็จได้รับบาดเจ็บ ขาข้างขวาหัก พักรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่นาน พอออกมาขาข้างนั้นก็ไม่อาจใช้งานปกติเหมือนเดิม ต้องอาศัยไม้เท้าคอยค้ำ พยุงตัวมาจนถึงทุกวันนี้
ทางด้านปู่คงคาก็สูญเสียคุณย่าประนอม ภรรยาคู่ชีวิตอย่างไม่มีวันกลับ...
ไม่มีใครรู้รายละเอียด เบื้องหลังเรื่องร้ายแรงที่เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งสองบ้าน ชายชราทั้งคู่ล้วนนิ่งเงียบ ไม่ปริปากพูดอะไร มีเพียงวาจาที่กล่าวแก่กันตอนพบหน้าในงานศพย่าประนอมเท่านั้นว่า...
“มึงไม่ใช่เพื่อนกู!”
“เออ!”
ลูกหลานต่างตระหนกตกใจกับรอยแตกร้าวร้ายแรงครั้งนี้ ต่อให้ซักถามเซ้าซี้เช่นไร สองผู้เฒ่าล้วนไม่ยอมเอ่ยปากบอกต้นสายปลายเหตุ
ประมุขสองบ้านไม่เคยบอกว่าโกรธแค้น เจ็บเคืองกัน ไม่เคยใช้วาจาด่าทอ กล่าวหาอีกฝ่ายให้เสียหาย แต่อาการที่ทั้งคู่หมางเมินแทบไม่มองหน้า ไม่เฮฮาสนิทสนมดังเดิม เหล่าลูกหลานก็ไม่กล้าไปมาหาสู่ แสดงความคุ้นเคยให้ผู้ใหญ่เห็นต่อหน้ากันแล้ว
พิจิกรอคำตอบจากปู่เผด็จอยู่นาน จนมั่นใจว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมเท้าความถึงอดีต ตอบคำถามที่เขาอยากรู้มานับสิบกว่าปีแน่นอน จึงย้อนกลับมายังคำถามเดิม...
“งั้นจากนี้ผมจะตามรอยการตายพยาบาลโสภี อาจทำให้เจอผู้ร้ายในเงาคนนี้ก็ได้ครับ”
ผู้เฒ่าเงยหน้าขึ้น หรี่ตามองความมืดนอกรถ พิจารณาคำพูดหลานชาย
“ก็ดี...ตามรอยไอ้ผู้ร้ายในเงาคนนี้ให้เจอก่อน...เพราะถ้าจัดการมันได้ ภูตผี วิญญาณร้ายที่เหลือก็ไม่มีประโยชน์ ใช้เวทมนตร์รวมธาตุ นำดินกลางเรือนมาทำพิธีปิดผนึกอาคมได้เลย”
พิจิกพยักหน้า ยอมรับว่าหนักใจ ขนาดปู่สองคนมีฝีมือระดับเซียน ผ่านการต่อสู้มาหลายสมรภูมิ ยังพลาดท่ากับผู้ร้ายซึ่งไม่เห็นกระทั่งหน้าตา..
ทว่า...หากเขาสามารถแก้ไขในสิ่งที่คนรุ่นก่อนเคยพลาดพลั้ง นั่นหมายถึงการพัฒนาฝีมือแบบก้าวกระโดด ทำให้ปู่ภูมิใจ...หมดเรื่องค้างคาในอดีต และอาจมีส่วนสมานรอยร้าวสองผู้เฒ่าได้
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
“ถ้าษาเข้าไปทำงานในครัวคฤหาสน์นั่น จะดีมั้ยคะ” หลังจากได้ยินเรื่องผู้ทรงเวทในเงา เมษาก็เอ่ยถามเชิงเสนอแนะ ขอความเห็น
“ถ้ามีโอกาสเข้าไปทำงานในคฤหาสน์นั่นได้ ก็ควรเข้าไป” ผู้เฒ่าบอก
“ค่ะงั้นษาจะลองหาทางดู” ตอนนี้หญิงสาวยังมองไม่เห็นทาง
คนที่จะเข้าไปทำงานใน ‘บ้านใหญ่’ ได้ ต้องผ่านการฝึกฝน อบรมอย่างน้อยเดือน สองเดือนถึงจะพอผ่านเกณฑ์ ขนาดหล่อนโดนสั่งกึ่งบังคับให้ขึ้นไปเสิร์ฟอาหารไม่กี่นาที ป้าเพลินยังต้องเสียเวลาอบรมอยู่พักใหญ่
“มันไม่ยากหรอก” น้ำเสียงผู้สูงวัยบอกความเชื่อมั่นฝีมือหลานสาว “ถ้าเข้าไปในนั้นได้ โอกาสทำพิธีรวมธาตุ นำดินออกมาจะสะดวกกว่าเดิม”
“ผู้ทรงเวทในเงาของปู่น่าจะมาขัดขวางอีกแน่” เมษาคาดการณ์ล่วงหน้า
“ถ้าเราเตรียมตัวมาดี ใช้อาคมที่เข้มแข็งกว่าเดิม พลังของมันก็ยากจะมาแทรกแซงได้อย่างคราวก่อน”
“งั้นหนูจะลองพยายามหาโอกาสดูค่ะ”
ปู่คงคาวางสายนานแล้ว เมษายังนั่งอยู่ในท่าเดิม ตั้งแต่ได้ยินชื่อ ‘ผู้ทรงเวทในเงา’ สังหรณ์ในใจก็สั่นระรัว บังเกิดความกลัวขึ้นวูบหนึ่ง
บุคคลในเงา อาคมกล้าแกร่ง ขนาดสองปู่ยังพ่าย...หากหล่อนต้องเผชิญหน้า รับมือเพียงลำพัง จะเอาชนะได้อย่างไร?
นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้ง ที่เมษาเกิดความวิตกจนต้องไตร่ตรองวางแผนอย่างรอบคอบก่อนลงสนามจริง!
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
< Prev | Next > |
---|