ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer
ผู้ที่มีอาชีพเป็นดาราหรือนักร้อง สามารถเจริญสติจนบรรลุมรรคผลได้หรือไม่
ถาม – อยากทราบว่าอาชีพที่จะต้องเจอเรื่องกระทบบ่อยๆ
เช่นดาราหรือนักร้อง สามารถเจริญสติปัฏฐาน ๔ แล้วบรรลุธรรมได้ไหม
แล้วถ้าตั้งใจอยากพ้นทุกข์ในสังสารวัฏ ควรหรือไม่ที่จะทำงานในสายอาชีพนี้คะ
เอาเป็นว่าอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมยกตัวอย่างแบบสุดโต่งเลยนะ
ก็อย่างในสมัยพุทธกาล ไม่ใช่แค่อาชีพดารานักร้องนะ
แต่เป็นอาชีพหญิงงามเมืองเลยทีเดียว หญิงงามเมืองก็คงทราบนะ
ถ้าปัจจุบันก็คงนึกถึงโสเภณี
แต่ว่าสมัยนั้น หญิงงามเมืองเป็นที่ยอมรับนะ
ก็เล่าๆ กันนะว่าถ้าผู้หญิงคนไหนเกิดมามีความสวยงามมาก
แล้วก็เป็นที่หมายปองถึงขั้นจะทะเลาะเบาะแว้งกันหรือว่าจะฆ่าแกงกัน
ระหว่างผู้ชายมากมายที่ต้องการเจ้าหล่อนนะ
พระราชาก็จะแต่งตั้งเป็นหญิงงามเมืองเสีย
เพื่อที่จะให้ชายเหล่านั้นได้สมใจพร้อมๆ กัน หลายๆ คนนะ
ถ้าหากว่าใครมีเงินพอที่จะซื้อตัวนางตามที่พระราชาท่านตั้งอัตราไว้
ก็มีสิทธิที่จะได้นางไปครองเป็นเวลาที่กำหนด
แล้วก็ห้ามไม่ให้มีใครจับจองเป็นเจ้าของ นางจะเป็นตัวของตัวเอง
คือพูดง่ายๆ ว่าอาชีพที่บอกว่าเป็นหญิงงามเมือง
มีศักดิ์ศรีในสมัยหนึ่งนะครับ ในยุคหนึ่ง ในถิ่นหนึ่ง
แล้วก็ในครั้งพุทธกาลก็มีหญิงงามเมือง อย่างเช่นนางสิริมาที่สามารถบรรลุธรรมได้
อันนี้ก็เป็นสิ่งที่มีปรากฏเป็นประจักษ์หลักฐานนะครับอยู่ในชั้นพระไตรปิฎก
บอกว่าหญิงงามเมือง มีนางสิริมา แล้วใครอีกคน ผมจำชื่อไม่ได้ถนัดนะ
ก็สามารถที่จะบรรลุธรรมได้ ไม่ใช่แค่หนึ่งคน แต่เป็นสองคน
หรืออาจจะมากกว่านั้นแต่ว่าไม่ได้บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรนะครับ
ก็อยากจะบอกว่า แม้กระทั่งอาชีพที่คนนึกไม่ถึงว่าสามารถที่จะเจริญสติได้นะ
ถึงขั้นที่บรรลุมรรคผลเลยทีเดียว
ไม่ใช่แค่เอาแค่การเจริญสติ นับกันแค่เจริญสติอย่างเดียว
ฉะนั้นดารานักร้อง ถ้าหากว่าไม่ได้ทำอนันตริยกรรมไว้
คือไม่ได้ฆ่าพ่อฆ่าแม่ ไม่ได้ฆ่าพระอรหันต์
ไม่ได้เป็นสงฆ์ที่ทำให้เกิดการแตกแยกภายในอาวาสนะ
แล้วก็ไม่ได้มีโอกาสทำพระพุทธเจ้าพระโลหิตห้อนะครับ
ก็เหล่านี้คือไม่ต้องห่วงนะ
กรรมอะไรๆ ก็สามารถที่จะลดหย่อนผ่อนโทษกันได้
สามารถตั้งจิตให้มีความมั่นคง แล้วก็มีความเที่ยงที่จะรับรู้ตามจริง
บรรลุมรรคผลกันได้นะครับ นับตั้งแต่โสดาปัตติผลขึ้นไปถึงพระอรหัตผลทีเดียว
แม้แต่พระองคุลีมาล ซึ่งสมัยนั้นถ้าใครเจอก่อนที่ท่านจะบวชเป็นพระอรหันต์นะ
ก็ต้องหลีกกระเด็นกันทุกราย เพราะว่าเป็นจอมโจรชื่อดัง
ฆ่าไม่เลือกหน้า ฆ่าไม่ต้องดูว่ามีความแค้นต่อกันมาก่อนหรือเปล่า
เพราะว่าจะเอานิ้วจากคนตายมาห้อยคอให้ครบหนึ่งพัน
จะได้ร่ำเรียนศาสตร์วิชาที่ครูบาอาจารย์ของท่านนี่ไปหลอกไว้ ไปหลอกลวงไว้นะครับ
ว่าเดี๋ยวจะถ่ายทอดวิชาสูงสุดให้ถ้าหากว่าไปฆ่าคนได้ครบพัน
โดยมีหลักฐานเป็นนิ้วของคนจำนวนพันนั้นห้อยคอ
ตอนแรกอาจารย์ก็เข้าใจว่ายังฆ่าไม่ถึงพัน
ก็น่าจะโดนสวนกลับเสียก่อน ตายเสียก่อน
แต่แท้ที่จริงก็คือสามารถทำได้นะ ท่านเก่งมาก มีตบะแก่กล้ามาก
สามารถฆ่าคนได้เกือบครบพันคน
แต่คนที่หนึ่งพันนี่เป็นพระพุทธเจ้า ฆ่าไม่ได้
และยังถูกฆ่ากลับ เป็นการฆ่าอุปาทาน ฆ่าความหลงผิด ความเห็นผิด
ท่านไมได้บรรลุอรหันต์ทันทีนะ
แต่ว่าก็บวชสักพักหนึ่งกว่าที่จะค่อยๆ
ความมืดมนอนธการในจิตใจ
จะถูกขับไล่ด้วยแสงสว่างจากพระธรรมคำสอนนะครับ
อันนี้ก็อยากจะบอกไว้เลย คือพูดสุดโต่งเลย
บางทีก็มีมาหลายกระแสนะบอกว่าถ้าดูหมอนี่ไม่มีสิทธิบรรลุมรรคผลนะ
ก็มีประจักษ์หลักฐานในชั้นพระไตรปิฎก
อย่างเช่นพระอัญญาโกณฑัญญะนะครับ
ท่านก็ดูในลักษณะที่ว่าทำนายทายทักลักษณะของผู้คน
ว่าจะได้เป็นอะไร มีความเป็นใหญ่แค่ไหน หรือกระทั่งดูได้ว่าเป็นมหาบุรุษ
สามารถบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้หรือเปล่า ท่านก็ทายถูกมาแล้ว
เรียกว่าเป็นนักดูโหงวเฮ้งชื่อดังในยุคพุทธกาลเลยทีเดียว
แล้วท่านก็ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบันบุคคลเป็นรายแรกของพุทธศาสนานี้ด้วย
ที่มีพระพุทธโคดมเป็นพระพุทธเจ้านะ เป็นพระศาสดาในพุทธศาสนาครั้งนี้
ท่านก็นอกจากเป็นพระโสดาบันได้ง่ายๆ แล้วนะ
ในเวลาไม่นานท่านก็ยังบรรลุพระอรหัตผลเป็นคนแรกอีกด้วยนะ
ก็สรุปนะไม่ว่าจะมีอาชีพไหน สาขาใด
ถ้าหากว่าไม่ได้ไปพลั้งทำอนันตริยกรรม
ซึ่งเป็นกรรมรุนแรงที่จะต้องได้รับผล ได้รับโทษเป็นนรกเท่านั้นสถานเดียวนะครับ
นอกนั้นนี่ก็สามารถที่จะบรรลุธรรมได้ทั้งนั้นแหละ
ทีนี้มีเงื่อนไขอยู่นิดหนึ่ง คือการที่เราแสดง มีอาชีพเป็นดารา หรือว่านักร้อง
ถ้าหากว่ารับงานมั่ว จนกระทั่งจิตมันหม่นมัว จิตมีความบิดเบี้ยว
เกินกว่าที่จะรู้อะไรตามจริงได้ อย่างนี้ก็เรียกว่าปิดทางตัวเองเหมือนกัน
คือไม่ว่าจะอาชีพสาขาไหน ถ้าหากว่าเราจะต้องโกหก
เราจะต้องมีการทำบาปทำกรรม ผิดศีล ไปยั่วยุให้คนอื่นเขามีกิเลสแรงๆ มากๆ
ไม่ว่าอาชีพไหน สาขาไหนนะ
มันไม่สามารถที่จะยอมรับตามจริง สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าได้หรอก
ถ้าหากว่าจะสำรวจง่ายๆ ว่าคุณมีจิตบิดเบี้ยวเกินกว่าที่จะบรรลุมรรคผลได้หรือเปล่า
มีวิธีสำรวจ ง่ายที่สุดเลย ถามตัวเองว่าสามารถที่จะยอมรับตามจริงได้ไหม
ว่าขณะนี้หายใจเข้า ขณะนี้หายใจออก
ขณะนี้ที่กำลังหายใจเข้า หายใจออกอยู่นี่ มันมียาว มันมีสั้นไม่เท่ากัน
ถ้าดูไปเรื่อยๆ รู้ไปเรื่อยๆ แล้วมีความรู้สึกว่า
เออ ลมหายใจ เดี๋ยวมันก็เข้า เดี๋ยวมันก็ออก
เดี๋ยวมันก็ยาว เดี๋ยวมันก็สั้น ไม่เท่ากัน คนละชุดกัน
รู้สึกว่ามีจิตเป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่ นิ่งๆ สบายๆ
อันนั้นแหละเป็นหลักประกันได้ว่า สิ่งที่คุณทำอยู่ไม่ว่าจะเป็นอาชีพใดสาขาใด
มันยังไม่รบกวนจิตใจให้บิดเบี้ยวมากเกินไป
ผมขอตั้งข้อสังเกตนะ บางคนนี่เป็นหมอด้วยซ้ำนะ
แต่ว่าโกหกบ่อย จนกระทั่งจิตไม่สามารถที่จะยอมรับความจริงอะไรได้เลย
เห็นเรื่องจริงหรือเห็นความดีงาม เป็นเรื่องตลกไปหมด
แล้วก็ไปเข้าขบวนการนะ ประเภทผ่าตัดลักไตบ้าง หรือว่าไปทำอยู่กับคนบาปคนชั่วนะ
ขี้เกียจจาระไนนะ มันเยอะ อย่าไปพูดเลยก็แล้วกันว่ามันมีอะไรอยู่บ้าง
แต่ก็จะบอกว่าคือแม้กระทั่งอาชีพที่มีฐานะซึ่งสังคมยอมรับนับถือว่าสูงส่ง
ประเภทหมอ ประเภทครู ก็สามารถที่จะทำบาปทำกรรม
ถึงขั้นที่ว่าจิตไม่สามารถยอมรับความจริงตรงหน้าที่กำลังปรากฏต่อหน้าต่อตาได้
ทุกอย่างเป็นเท็จไปหมด ทุกอย่างเป็นเรื่องเล่นไปหมด
ทุกอย่างนะมันเหมือนกับเรื่องตลก คนอื่นเป็นตัวตลกไปหมด
ตัวเองนี่ยิ่งใหญ่อยู่คนเดียว ตัวเองนี่ฉลาดอยู่คนเดียว เก่งอยู่คนเดียว
หลอกลวงคนอื่นเขาได้ เอาเปรียบคนอื่นเขาได้ ทำร้ายคนอื่นเขาได้
โดยที่ไม่สามารถที่จะมีอะไร หรือว่าใครมาแตะต้องตัวเอง
มันคิดเสียอย่างนี้ จิตใจถูกย้อมถูกปรุงแต่งด้วยบาปด้วยกรรม
จนกระทั่งไม่สามารถที่จะไปมองเห็นอะไรที่มันดีๆ ได้ จิตมันมืดไปหมด
ความสว่างในขั้นศีลไม่มี ความสว่างในขั้นทานไม่มี
แล้วจะไปเห็นความจริงขั้นสูงได้อย่างไร
ความจริงขั้นสูงสุดนี่ต้องใช้ความสว่างจัดจ้ามากที่สุดในจักรวาล
มาแหวกทางมาเปิดทางให้ดู ให้รู้ ให้เห็น
ความจริงขั้นสูงสุดนั้นก็คือนิพพาน
เวลาที่บรรลุมรรคผลก็คือเวลาที่เห็นนิพพานนั่นแหละ
พระพุทธเจ้าตรัสไว้นะ ในชั้นอรรถกถาก็พูดไว้ว่า
แสงสว่างที่ฆ่ากิเลส ที่จะบดบังนิพพานไม่ได้ เป็นแสงที่ไม่มีอะไรเทียบอีกแล้วนะครับ
ทีนี้คือถ้าเรามีอาชีพดาราหรือว่านักร้องนะ แล้วอยากจะเจริญสติปัฏฐาน
ก่อนอื่นผมขอแนะนำนะ อย่าไปคิดว่าอาชีพแบบเรา
มันจะเจริญสติได้หรือเปล่า บรรลุมรรคผลได้หรือเปล่า
แต่ให้คิดว่าตอนนี้เราสามารถยอมรับความจริงอะไรได้บ้าง
บางคนนะไม่ต้องเป็นดารานะ แต่ยอมรับความจริงอะไรไม่ได้เลย
เนื่องจากเป็นคนมีนิสัยเอาแต่ใจตัวมากๆ อยากได้อะไรต้องได้
อยากให้ใครตามใจตัวเองอย่างไร เขาจะต้องเป็นไป
เหมือนกับเคยชินมาแต่ไหนแต่ไรว่า เราสามารถเป็นผู้ชี้นกให้เป็นไม้ ชี้ไม้ให้เป็นนก
จิตแบบนี้ก็ไม่สามารถยอมรับความจริงได้เหมือนกัน
แล้วถ้าไม่สามารถยอมรับความจริงได้ มันไม่มีความอดทนหรอก
สมาธิจะสั้น มีความฟุ้งซ่านจัด มีความอยากจะเอาอะไร
อยากจะบงการให้โลกเป็นอย่างไร ตามใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ถ้าหากว่าเราไม่ใช่คนที่ทำอนันตริยกรรม
ไม่ใช่คนทุจริตคดโกงสังคม แล้วก็ไม่ใช่คนเอาแต่ใจตัวมากเกินไป
ประกันได้เลยว่าจิตของเรามีความปลอดโปร่งได้
เพียงพอกับการที่จะเจริญสตินะครับ
เอาล่ะก็ขอพูดเพียงเท่านั้นในเรื่องเกี่ยวกับอาชีพสาขานะว่าขวางมรรคขวางผลหรือเปล่า
< Prev | Next > |
---|