วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๖



cover siwadol

ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ห้องพยาบาลโสภีเปิดไฟโคมหัวเตียง และไฟดวงบนโต๊ะทำงานไว้ เหมือนเจ้าตัวกำลังเตรียมเข้านอนแต่มีเรื่อง หรืองานบางอย่างทำค้างเอาไว้อยู่

            พิจิกปิดประตูห้องแผ่วเบาไม่เกิดเสียงแล้วยืนนิ่ง ใช้สายตาสังเกตรายละเอียด

            คุณโสภีแบ่งห้องพักของเธอด้านหนึ่งเป็นตู้เก็บยาสามสี่ตู้เรียงชิดผนัง แบ่งประเภทของยาชัดเจนเป็นระเบียบ เตียงนอน โต๊ะทำงานอยู่อีกฟากห้องดูไม่ขัดตา

            พิจิกเดินสำรวจห้อง แผ่จิตสัมผัสเป็นคลื่นบาง ๆ หวังว่ามันจะกระทบสิ่งแปลกปลอมใดให้รู้สึกบ้าง จนไปถึงโต๊ะทำงาน เห็นแก้วนมที่ดื่มจนหมดวางอยู่ พอหยิบขึ้นมาดมก็ได้กลิ่นแปลก ๆ แทรกอยู่ในนมที่ค้างก้นแก้ว

            ขมวดคิ้ววางแก้วนมลง เดินไปตู้ยา สังเกตแต่ละตู้อย่างไตร่ตรอง ส่วนใหญ่เป็นยาสามัญประจำบ้าน แต่มียาเฉพาะทางหลายตัวเก็บไว้ในตู้ควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งพิจิกไม่รู้จัก คุ้นเคย

            ยาทุกตัวไม่มีร่องรอยหยิบใช้ ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าโรคประจำตัวแพรพลอยคือโรคอะไร ใช้ยาแบบไหน ข้อมูลที่หาได้ไม่เคยระบุชัด ถ้าห้องนี้ใช้ตู้ยาและจำนวนยาขนาดนี้ โรคประจำตัวนายหญิงศิวาดลน่าจะไม่ธรรมดาแน่นอน

            พิจิกเปิดตู้ยา หยิบซองยาเปล่าออกมา หันกลับไปที่โต๊ะทำงานคุณโสภี

            แก้วบนโต๊ะยังมีนมเหลือค้างติดก้น ชายหนุ่มเทหยาดนมที่ติดก้นแก้วลงในซองยา แล้วรูดปิดแน่นหนา ตั้งใจนำไปตรวจสอบ

            พอวางแก้วลงบนโต๊ะ สัมผัสทางใจกระตุกวูบ รับรู้ถึงสิ่งแปลกปลอมบางอย่างในห้อง

            หันขวับ...พบร่างท้วมเลือนรางสีเทาซีดยืนเหม่อไม่ได้สติอยู่หน้าประตู!

            เธอเดินเข้ามาในห้องอย่างเลื่อนลอย หันไปทางตู้ยา มือเอื้อมหยิบจัดยาใส่ถาดอย่างเป็นอัตโนมัติ จากนั้นถือถาดเดินมาที่โต๊ะทำงาน รินน้ำใส่แก้ววางลงบนถาด เตรียมตัวนำยาขึ้นไปส่ง

            พิจิกยืนมองร่างนั้นด้วยความเข้าใจ...นี่คืออัตภาพใหม่ของคุณโสภี...พยาบาลส่วนตัวที่เพิ่งเสียชีวิตคืนนี้

            เธอเสียชีวิตอย่างไม่ทันตั้งตัว จึงมาเกิดใหม่ในภพที่ยังติดยึดรูปลักษณ์ ความเคยชินเดิมของตนเอง

            ขณะเธอถือถาด หันหลังเดินไปยังประตู ชายหนุ่มยืนมองส่งด้วยความเมตตา ไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้...แต่แล้ว...

            ...แกร้ก...ครืด...เสียงประหลาดแว่วมาในความรู้สึก ร่างใหม่ของคุณโสภีสะดุ้งเฮือก ที่ข้อเท้ามีโซ่เส้นใหญ่ล่ามเอาไว้

            โซ่นั้นมีพลังฉุดรั้งมหาศาล กระชากร่างท้วมคุณโสภีให้ล้มทั้งยืน ถาดในมือหล่นกระจาย

            ...ไม่ไป...ฉันไม่ไป...

            เสียงเธอดังโหยหวนมาจากอีกภพ พิจิกขยับตัวก้าวไปทางประตู...

            ทว่า...ช้าไปเสียแล้ว ร่างคุณโสภีถูกกระชากลับหายจากบานประตูอย่างรวดเร็ว ไร้ร่องรอย

            ชายหนุ่มแง้มบานประตู มองลอดสำรวจก่อนแทรกตัวออกมายืนด้านนอก สายตามองระเบียงทางเดินยาว โล่งไปสู่ความมืดของปีกตึกอีกฟาก ใจบังเกิดความรู้สึก...คุณโสภีถูกพาตัวไปไม่ไกล อยู่ในศิวาดลนี่เอง

            ก่อนพิจิกจะขยับตัวทำอะไรต่อ หูก็แว่วเสียงลมหายใจแม่บ้านใหญ่ในห้องใกล้ ๆ เปลี่ยนจังหวะจากเดิม สังหรณ์ในใจรีบกระซิบเตือน...คุณแม่บ้านใหญ่ตื่นจากหลับใหลแล้ว...

            เขาไม่สามารถอยู่ในคฤหาสน์ได้นานกว่านี้

            ซองบรรจุนมก้นแก้วถูกเก็บใส่กระเป๋า อย่างน้อยการขึ้นมาบนนี้ไม่นับว่าเสียเที่ยวเปล่า...

            เวลานี้ยังมองไม่เห็นทางปิดผนึกอาคม ส่วนลึกในใจยังเชื่อ...เส้นทางจะปรากฏเอง เมื่อถึงเวลาเหมาะสม...


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            มนตราเคลื่อนเข้าจับก้อนดิน ผิวน้ำ และดิ่งลึกผ่านพื้นคอนกรีตลงไปยังเบื้องล่าง เพื่อผสานความเป็นเนื้อเดียวกันกับก้อนดินเดิมของเรือนพระยาคงเวท

            ครั้งนี้ต่อให้ไม่มีพิจิกเป็นคู่แข่ง เส้นทางผนึกอาคมของเมษาก็ยังไม่สะดวก เพราะมี ‘บางสิ่ง’ กำลังขึ้นมาขัดขวาง



            หึหึหึ...หึหึหึ...เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังรับเป็นทอด ๆ ปรากฏร่างสีน้ำตาลแกมเทาของผู้ชายเปลือยอก นุ่งผ้าหยักรั้ง ไว้ผมทรงโบราณ ใบหน้าเหี้ยม ยืนโอบล้อมหญิงสาวอย่างประสงค์ร้าย

            สายตาทุกคู่จ้องมองเมษาเป็นจุดเดียว แผ่รังสีบาดคม มืดดำออกมา พร้อมกับขยับร่างบีบวงล้อมให้แคบเข้ามาเรื่อย ๆ

            ริมฝีปากหญิงสาวขยับร่ายมนตร์ สายตายังมองเห็นผู้มาเยือนต่างภพกระจ่าง ทำอะไรไม่ได้นอกจากตั้งมั่น จดจ่อสมาธิกับงานตรงหน้า กระแสหม่นมัวบีบรัดหนัก ชวนอึดอัดตะครั่นตะครอ กลิ่นเหม็นเน่าลอยคลุ้ง มุ่งทำลายสมาธิให้แตกซ่าน

            เมษาไม่ได้พกเครื่องรางของขลังใดมาต่อต้าน ป้องกันตัว แต่คำสอนปู่คงคายังก้องในหัว

            “ของขลังที่ไหน ก็ไม่ขลังเท่าใจเราหรอก...ฝึกใจให้ขลัง ให้ตั้งมั่น มีสติสมาธิเข้าไว้...มันจะมีอานุภาพยิ่งกว่าเครื่องรางของขลังทุกชิ้นบนโลก!”

            ไม่สนใจผีร้ายรอบตัว จิตตั้งมั่น ทรงสมาธิ บังเกิดกระแสคลื่นอันหนักแน่น เข้มข้นแผ่ออกโดยรอบ เหล่าภูตผีล้วนชะงักงัน ไม่อาจเคลื่อนเข้าใกล้ได้อีก

            เมษาเห็นเหล่าผีร้ายจ้องเขม็ง ดวงตาลุกโพลง จิตใจสักแต่ว่าเห็น ไม่ใส่ใจ กระแสจิตเชื่อมโยงไปยังก้อนดิน ซึมซ่านไปกับความอ่อนหยุ่นของหยาดน้ำ แทรกผ่านพื้นคอนกรีตหนาเพื่อหยั่งลงสู่ผืนดินเดิมของเรือนพระยาทรงเวท

            พอจิตสัมผัสแตะถึงเบื้องล่างแล้วต้องชะงักงัน เมื่อรับรู้ถึงก้อนอสุภะเหม็นเน่าขึ้นมาแทนที่ผืนเนื้อดิน...เหล่าปิศาจไม่อาจโยกคลอนสติ สมาธิเธอได้ แต่ที่นี่เป็นอาณาเขตมัน พวกมันจึงสามารถแปรเปลี่ยนก้อนดินเดิมแท้ ให้เป็นก้อนเนื้อเน่า ศพอสุภะเหม็นโฉ่ได้

            เมษาพยายามใช้มนตราของตนรวมเนื้อดินสองฝั่งที่มีแผ่นคอนกรีตกางกั้นให้มีคุณสมบัติเหมือนเป็นดินก้อนเดียว แต่พวกปิศาจกลับใช้มายาของตนมาทำให้มนตราบิดเบือน จนการรวมธาตุ ผสานดินสองก้อนนั้นล้มเหลวในที่สุด!

            จอมเวทหญิงถอนใจหนัก...ทางเดียวที่จะได้ดินกลางเรือนพระยาคงเวท คงต้องลงทุนเจาะพื้นคอนกรีตลงไปเอามาเอง...

            เมษาหยุดสาธยายมนตร์ จิตทรงอยู่ในสมาธิ เหลือบตาเห็นเหล่าภูตผีรายล้อมแน่นขนัดกว่าเดิม สภาพทุกตนต่างกำลังรอคอยจู่โจม เบียดเข้ามาหาด้วยความประสงค์ร้าย

            จิตใจไม่บังเกิดความหวาดกลัว ปลายนิ้วยื่นแตะก้อนดินตรงหน้า กำหนดให้ภูตผี ปิศาจเหล่านี้มีธาตุเป็นหนึ่งเดียวกับก้อนดิน จากนั้นเพิ่มแรงกดลงไปบนก้อนดิน จนมันยุ่ยเละติดพื้น...

            เสียงกรีดร้องดังโหยหวน ปิศาจวิญญาณร้ายต่างบิดเบี้ยว เลือนหายจากสายตาทันที!

            ระบายลมหายใจแผ่วเบา มือกอบเศษดินใส่ถุงดังเดิม จากนั้นค่อยเช็ดร่องรอยบนพื้นให้เรียบร้อยก่อนลุกขึ้นยืน

            สังหรณ์ในใจร้องบอก...อยู่ในคฤหาสน์นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว ต้องรีบออกไปทันที...

            ขยับตัว ถอนใจเฮือกใหญ่ เห็นทีต้องรายงานเรื่องราว ผลปฏิบัติงานครั้งนี้ให้ปู่คงคาทราบก่อน

            ...หวังว่าพิจิกคงไม่มีความคิดที่ดีกว่าเธอ...







บทที่ ๔



            ดวงอาทิตย์กลมโตลอยโผล่พ้นขอบฟ้า ระบายหมู่เมฆขาวให้เกิดสีสันงดงามจับตา นกฝูงใหญ่โบกบินจากรวงรังออกมาหากิน

            ตลาดเช้ากำลังคึกคัก ผู้คนจับจ่ายซื้อของตั้งแต่ก่อนตีนฟ้าเปิด ข้าวของที่ซื้อหามีทั้งอาหารสด ของแห้ง อาหารสำเร็จรูป

            เสียงร้องเชิญชวน เรียกลูกค้าดังมาจากพ่อค้า แม่ค้าตามแผงต่าง ๆ ช่วยให้ตลาดเต็มไปด้วยชีวิตชีวา รอยยิ้ม เสียงพูดคุยต่อรองราคาดังแซงแซ่

            ทว่า...ตรงหัวมุมตลาด บริเวณร้านโจ๊ก-ข้าวต้มชื่อดังกลับเงียบกริบ ไม่มีใครกล้าเดินผ่าน พ่อค้าแม่ค้าแถวนั้นมีสีหน้ากระอักกระอ่วนแปลก ๆ พูดจาน้อยคำ ไม่กล้าส่งเสียงดังเกินไปนัก

            ร้านโจ๊ก-ข้าวต้มวันนี้มีลูกค้าจับจองเพียงสองโต๊ะ นอกนั้นได้แค่เมียงมอง เดินผ่านไม่กล้าเข้าร้าน ตั้งใจรอจนกว่า ‘ลูกค้าพิเศษ’ สองโต๊ะนั้นจะลุกไปเสียก่อน

            เหตุใดผู้คนจึงเกรงใจสองโต๊ะนี้ พวกเขาเป็นนักเลงโต ผู้ยิ่งใหญ่มาจากไหน?

            ...ไม่ใช่...ทั้งสองเป็นแค่ชายชรา อายุแปดสิบกลาง ๆ ผมหงอกขาวทั้งศีรษะ คนหนึ่งผิวขาวแบบคนจีน ดวงหน้าเหี่ยวย่น นัยน์ตาเรียว ขนคิ้วขาวโพลนเกือบครึ่ง ร่างผอมบาง แต่งตัวเหมือนเหล่ากงแก่ ๆ ไร้พิษสง ส่วนอีกคนผิวสองสี ตัวหนากว่า นัยน์ตาโตทรงอำนาจ ใบหน้ามีเค้าดุ เอาจริง แต่ขาเสียข้างหนึ่ง ต้องใช้ไม้เท้าคอยพยุง ค้ำยัน

            หากหนึ่งในสองผู้เฒ่ามาเยือนตลาดแค่คนเดียว สถานการณ์จะเปลี่ยนจากปัจจุบันเป็นตรงกันข้าม

            พ่อค้าแม่ขายจะครึกครื้น มีความสุข ยิ้มแย้มแจ่มใส เต็มใจต้อนรับท่านผู้เฒ่า พร้อมบริการดูแลเต็มที่ ยิ่งกว่าเป็นข้าราชการคนใหญ่คนโต

            พอต่างคนต่างมาถึงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ร้านที่ต้องรับหน้าสองผู้เฒ่าอย่างโจ๊กร้านดังก็ทำตัวไม่ถูก กระอักกระอ่วน ลำบากใจ จะแสดงความเอาใจใส่ใครมากกว่าใครไม่ได้เลย

            เพราะต่อให้สองผู้เฒ่าขึ้นชื่อเรื่องความใจดี น้ำใจกว้างขวาง ชนิดแม่น้ำเรียกพี่...แต่ทั้งคู่แทบไม่มองหน้า ไม่เดินร่วมทางเดียวกันมานานร่วมสิบปี!

            สองผู้เฒ่าเป็นเศรษฐีผู้มีอิทธิพลซึ่งคนในเมืองรู้จักกันเป็นอย่างดี พ่อค้าแม่ค้าเกือบทั้งตลาด เคยอาศัยพึ่งพาบารมีความช่วยเหลือจากผู้เฒ่าทั้งสองไม่มากก็น้อย

            ...ปู่เผด็จ...เป็นเจ้าของตึกแถว ที่ดินแปลงใหญ่หลายแปลงในเมือง และมีที่นานอกเมืองอีกหลายร้อยไร่ให้ชาวบ้านเช่าทำกิน รวมถึงกิจการโรงสีใหญ่ที่สุดในจังหวัด รถบรรทุกสิบล้อให้เช่าอีกหลายสิบคัน ตัวแทนขายรถไถ รถเพื่อการเกษตรเจ้าเดียวในจังหวัด

            ...เถ้าแก่เล้ง...หรือปู่คงคา...เป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แห่งเดียวในจังหวัด เจ้าของร้านค้าส่งเครื่องอุปโภคบริโภคครบครันที่พ่อค้าแม่ค้าต่างอำเภอต้องมารับไปขายต่อเป็นประจำ ไม่นับกิจการร้านทองห้าสาขา ที่แกปล่อยให้ลูกสะใภ้เป็นคนดูแล

            ด้วยอำนาจบารมีขนาดนี้ จึงไม่แปลกใจที่พ่อค้าแม่ค้าทั้งตลาดล้วนเกรงใจ


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ปู่เผด็จไม่คิดว่าเช้านี้ต้องมาเจออดีตคู่หูอย่างไอ้เล้ง หรือปู่คงคา...

            แกตื่นเช้าได้อ่านรายงานที่หลานชายส่งทางไลน์ตั้งแต่เมื่อคืน รู้สึกหนักใจ เป็นห่วง ครุ่นคิดหาหนทางช่วยเหลือแนะนำ

            สิ่งหนึ่งที่ปู่เผด็จรู้แต่พิจิกไม่ทราบนั่นคือ การปิดผนึกวิญญาณไม่ใช่งานง่ายดายอย่างที่คิด และคู่แข่งสำคัญไม่ใช่เมษา หลานสาวไอ้เล้ง

            เหตุเมื่อสิบปีก่อน การปิดผนึกวิญญาณร้ายไม่สำเร็จ มันมีเรื่องราวรายละเอียดซับซ้อน หลายเรื่องเกินกว่าจะเล่าให้ฟังสั้น ๆ ผู้เฒ่าเองเห็นว่ายังไม่สมควรบอกรายละเอียดทั้งหมดกับหลานชาย เนื่องเพราะศัตรูร้ายนั้นไม่ธรรมดามีสัมผัสพิเศษ วิชาอาคมร้ายกาจ อีกทั้งมีจิตใจลึกล้ำยากหยั่งถึง

            การให้หลานชายเข้าไปอย่างไม่รู้อะไรมากมาย อาจเป็นผลดีมากกว่า

            ปู่เผด็จไม่รู้จักโฉมหน้าผู้ร้ายตัวจริง การประมือครั้งนั้นเหมือนเป็นคนตาบอด พลาดพลั้งอย่างคับแค้น ไม่เต็มใจจึงเห็นว่าไม่ควรบอกหลานชายล่วงหน้า ไม่เช่นนั้นจะเกิดความหวาดระแวง คาดเดาผู้ร้ายวุ่นวาย จนทำให้งานใหญ่ผิดพลาดเสียหายง่ายดาย

            แกจึงยอมเสี่ยงด้วยความเชื่อมั่นในฝีมือ ปล่อยให้พิจิกเข้าไปอย่างแก้วเปล่า แล้วใช้ความสามารถ วิชาอาคม สัมผัสพิเศษของตนค้นหา ร่องรอยความลับอย่างเป็นธรรมชาติ...ซึ่งมันจะเป็นผลดีต่อชายหนุ่มในอนาคต

            รายงานของพิจิกเมื่อคืนบอกให้ทราบว่าฝ่ายตรงข้ามเริ่มขยับตัว ก่อเรื่องร้ายอีกแล้ว ผู้เฒ่าจึงทุ่มเทสมองคิดหาหนทางวางแผน ช่วยเหลือ

            แต่จนป่านนี้ยังคิดอะไรไม่ออก จึงเดินออกมานอกบ้านเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ให้สมองโล่ง ปลอดโปร่ง เดินเรื่อยเปื่อย ทั้งที่ต้องใช้ไม้เท้าค้ำยันจนมาถึงตลาดใกล้บ้าน ท้องร้องขึ้นมา นึกถึงข้าวต้มเลือดหมูเจ้าประจำที่เคยกินมานานเป็นสิบปี

            สั่งอาหาร นั่งรับประทานมื้อเช้า คาดไม่ถึงจะเจอ ‘อดีตเพื่อนรัก’ อยู่ในร้านนี้ด้วย


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ปู่คงคา หรือเถ้าแก่เล้ง มักมารับประทานโจ๊กร้านนี้สัปดาห์ละสองสามครั้งอยู่แล้ว เพราะแกตื่นเช้า ชอบเดินออกกำลังกายนอกบ้านเป็นปกติ ขากลับมักแวะตลาดซื้อโจ๊ก ของกินเล็ก ๆ น้อย ๆ กลับบ้านเพื่ออุดหนุนพ่อค้า แม่ค้าเป็นประจำ

            วันนี้แกเดินออกกำลังกายด้วยจิตใจว้าวุ่น ครุ่นคิด หลานสาวโทรศัพท์มารายงานตั้งแต่ก่อนย่ำรุ่ง เพราะปู่เป็นคนสั่งให้โทรมารายงานทันทีที่กลับออกมาจากศิวาดล

            พอเมษาบอกเล่าเรื่องราวจบก็ขอคำปรึกษาทันที

            “นอกจากใช้ดิน น้ำ อาคมแล้ว...ยังมีวิธีอื่นที่จะนำดินกลางเรือนฯ ขึ้นมาทำพิธีได้มั้ยปู่”

            ปู่คงคาถอนใจ คาดการณ์ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนี้

            “ขอปู่คิดดูก่อน...” คำตอบแฝงความหนักใจ

            “ตอนนี้มีคนตายในบ้าน...ษาคงเข้าไปในคฤหาสน์นั้นยากกว่าเดิมแน่” หลานสาวบ่น

            “ดูเหตุการณ์ไปก่อน อย่าเพิ่งผลีผลามทำอะไร” ผู้สูงวัยเตือน

            “ษากลัวไม่ทันไอ้จิกมัน”

            ...หึหึ...ปู่หัวเราะขัน

            “หลานไอ้เผด็จ มันไม่เก่งไปกว่าแกหรอก...คอยดูท่าทีไปก่อน”

            “ค่ะ...” เสียงตอบรับแฝงอารมณ์งอน

            “ช่วงนี้ทำตัวเป็นปกติ กลมกลืนกับคนงานทั่วไปให้ได้ อย่าให้ใครสงสัย...”

            “โธ่...มือชั้นนี้แล้ว ไม่มีใครสงสัยษาหรอกค่ะปู่” หญิงสาวโอ่

            “อย่าประมาท” น้ำเสียงหนัก จริงจัง

            ผู้เฒ่ารู้ว่าหลานสาวตนเก่งจริง มีฝีมือรอบด้าน...แต่นั่น...คือจุดอ่อนสำคัญของเธอ...เก่งเกินไปจนประมาท!

            “ค่า...” ตอบประชดเสียงอ่อย

            คนเป็นปู่หนักใจ รู้สึกเหมือนน้ำท่วมปาก...มีเรื่องราวสำคัญหลายอย่างเหลือเกินที่ยังไม่ควรบอกหลานสาว ด้วยเกรงว่าความเก่งเกินไปจนประมาท จะทำให้เธอผลีผลาม ตัดสินใจผิดพลาด จนทำให้แผนการนับสิบปีต้องพังพาบ ล้มครืนวินาทีสุดท้าย

            ขณะเดินออกกำลังกายมาถึงตลาด ปู่คงคาเห็นเงาหลังเพื่อนเก่าเดินกะเผลกไปยังร้านโจ๊ก-ข้าวต้ม จึงเดินตามมา ตั้งใจว่าหากได้ประฝีปาก สังเกตอากัปกิริยาของอีกฝ่าย อาจทำให้ตนมองเห็นหนทางวางแผนช่วยหลานสาวได้ง่ายขึ้น


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ข้าวต้มเลือดหมูของปู่เผด็จ กับโจ๊กในชามปู่คงคาถูกรับประทานหมดไล่เลี่ยกัน สองผู้เฒ่ากวักมือเรียกคนขายให้มาเก็บเงิน

            เจ้าของร้านและภรรยารีบแยกย้ายซ้ายขวา ไปเก็บเงินคนละโต๊ะ โดยไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติไม่เท่าเทียมกัน

            จ่ายเงินเสร็จ สองผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน สายตาสองคู่สบกัน ขณะเจ้าของร้าน กับภรรยารีบถอยไปยังหน้าเตาของตน

            แววตาสองผู้เฒ่าทอประกายบอกความหมาย คำพูด ที่ต่างฝ่ายสามารถอ่านความนัยของกันและกันออก

            “หลานชายมึงเป็นไงบ้าง” ปู่คงคาเอ่ยปากก่อน

            “แล้วหลานสาวมึงล่ะ” ฝ่ายตรงข้ามย้อนคืนทันควัน

            รอยยิ้มประหลาดปรากฏบนใบหน้าปู่เผด็จ ขณะที่ดวงตาปู่คงคาฉายแววรู้เท่าทัน วางสีหน้าเรียบเฉย ไม่เผยความรู้สึกง่าย ๆ

            ปู่เผด็จขยับไม้เท้า ก้าวจากโต๊ะเดินไปหาอีกฝ่าย

            สองผู้เฒ่ายืนเผชิญหน้าในระยะใกล้ ดวงตาสบกัน...วาจาที่คาดว่าจะหลุดจากปากกลับไม่มี

            ปู่เผด็จขยับมุมปาก คล้ายเยาะหยัน

            ปู่คงคาแค่เลิกคิ้ว บอกชัดไม่ใส่ใจในกิริยานั้น

            ขนาดสองฝ่ายไม่พูดจา ปะทะคารม เจ้าของร้านโจ๊ก-ข้าวต้ม ผู้คนรอบ ๆ เห็นแล้วเสียวสันหลังชวนให้นึกถึงบรรยากาศฟ้าครึ้ม เมฆหนา ก่อนจะมีฟ้าผ่า พายุฝน

            “ถ้าไม่มีอะไร กูกลับล่ะ” ปู่คงคาบอกง่าย ๆ

            “เออ” คำตอบรับสั้นเช่นเดียวกัน

            ท้ายสุด ฟ้าผ่า พายุฝนที่คาดจะเกิด กลับปลาสนาการหายสิ้น ปู่คงคาเดินก้าวยาว ๆ ออกจากร้าน ปู่เผด็จขยับไม้เท้าเดินกะเผลก ๆ ไปอีกทาง

            สองฝ่ายหันหลัง ต่างคนต่างไป แต่ยังทิ้งกลิ่นไอร่องรอยความหมางใจบางอย่างเอาไว้ให้คนที่ตามเข้ามาในร้านรู้สึกได้ ต่างคนล้วนถอนใจโล่งอก...หวังว่าเหตุการณ์เช่นนี้คงไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            เผด็จกับเล้งเป็นลูกชายคนเดียวในครอบครัวมีอันจะกิน…ครอบครัวเผด็จเป็นเจ้าของเรือกสวนไร่นาหลายร้อยไร่ ทั้งทำนาเอง และให้ชาวบ้านเช่าทำกิน ส่วนครอบครัวเล้งเป็นคนจีนที่มาตั้งรกรากตั้งแต่ยุคก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง เริ่มต้นจากค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ จนสามารถเปิดร้านโชห่วยใหญ่สุดในตลาดได้สำเร็จ

            สมัยวัยรุ่น สองหนุ่มเป็นพวกนักเลงหัวไม้ ใจร้อน หัวดื้อ ตีรันฟันแทงกับเขาไปทั่วจนพ่อแม่เอือมระอา ชาวบ้านเลื่องลือ

            เถ้าแก่ถัง เตี่ยของเล้งถึงขนาดเอาดวงชะตาไปให้ซินแสตรวจดูเพื่อหาทางแก้ไข

            “อาเล้งมันดวงแข็ง นิสัยโลดโผน ถ้าพบครูบาอาจารย์ที่ดีมันจะเจริญรุ่งเรือง” ซินแสบอกอย่างนั้น

            “แล้วทำยังไงมันถึงจะเจอครูดีล่ะซินแส” เถ้าแก่ถังถาม

           “ให้อาเล้งมันไปบวชเรียนสักพรรษา เปลี่ยนชื่อไทยให้มันด้วยก็ดี”

            “งั้นซินแสช่วยตั้งชื่อไทยให้มันทีเถอะ” เถ้าแก่ได้โอกาสขอร้อง

            ซินแสดูวันเดือนปีเกิดหนุ่มจีนอีกครั้ง พร้อมเปิดตำราภาษาไทยค้นหาชื่อที่เหมาะสม

            “ฮ่อ...ได้ล่ะ...ให้อีชื่อ ‘คงคา’ ก็แล้วกัน แปลว่าแม่น้ำ อีจะได้ใจเย็นลงเหมือนน้ำ เล้งแปลว่ามังกร...มังกรอยู่ในน้ำ จะได้ไม่ต้องเที่ยวอาละวาดฟาดหางอวดอิทธิฤทธิ์ไปทั่ว”

            อาเล้ง หรือหนุ่มคงคาได้รับการอุปสมบทในพรรษานั้นเอง



            ในพรรษาเดียวกัน เผด็จก็ถูกพ่อแม่จับโกนหัวบวชเข้าวัดเพื่อดัดนิสัย หวังให้ธรรมะช่วยขัดเกลาจิตใจ มีพระธรรมเป็นหลักยึดเหมือนกัน เมื่อสึกออกมาจะได้เป็นผู้หลักผู้ใหญ่พอจะดูแลกิจการ งานของครอบครัวต่อไปได้

            เมื่ออาเล้ง กับเผด็จ นักเลงบ้านเหนือกับนักเลงบ้านใต้ได้มาบวชวัดเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างได้ยินกิตติศัพท์ของกันและกันมานาน แรกเจอจึงเกิดการเขม่น ไม่ชอบหน้ากันเป็นธรรมดา แต่พออยู่ในผ้าเหลือง ครองเพศสมณะทำให้ทั้งคู่ต่างเก็บเขี้ยวเก็บเล็บของตนไว้ พยายามสำรวม รักษาศีล รักษาพระวินัยไม่ให้บกพร่อง

            ยิ่งเป็นพระใหม่ทั้งคู่ มีข้อวัตรกิจกรรมต้องทำร่วมกันหลายอย่าง สองนักเลงจึงถูกพระธรรมวินัยกล่อมเกลา เรียนรู้ถึงนิสัยแท้จริงของกันและกันมากขึ้น จนกลายเป็นสนิทสนม รู้ใจกันราวกับเป็นเพื่อนมานับสิบปี

            ถึงบุคลิก รูปร่างหน้าตาของสองพระหนุ่มจะแตกต่างกัน นิสัย เนื้อใจ ความคิดโลดโผนผิดจากพระรูปอื่นกลับคล้ายคลึง ลงรอยเดียวกันได้

            ท้ายวัด มีหลวงตาชรารอยสักพร้อยอยู่รูปหนึ่ง ท่านพักจำพรรษาอยู่ในกุฏิเก่า ๆ ทำตัวเงียบ ๆ ไม่สุงสิงกับใคร พวกชาววัดเล่าว่าท่านเคยเป็นนักเลงชื่อดัง กลับใจมาบวชในวัยกลางคน ท่านมีวิชาอาคมแกร่งกล้า อาจารย์ไหนที่ว่าดัง ท่านเคยไปกราบขอเป็นศิษย์มาหมดแล้ว
  
            พอหันมาหาธรรมะท่านก็เลิกหมดทุกอย่าง สำรวมตนในพระธรรมวินัย ไม่สุงสิงวุ่นวายกับใคร



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP