ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer
จุดเริ่มต้นของสังสารวัฏอยู่ที่ไหน
ถาม - ก่อนที่เราจะมาวนเวียนในวัฏสงสารนี้
ก่อนที่จะมีพระพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก
ปฐมบทของจิตก่อนที่จะถูกปรุงแต่งให้มีเรารูปร่างขึ้นมาอยู่ที่ไหนคะ
สมมติว่าเราพยายามที่จะทำจิตให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏได้แล้วในชาตินี้
ณ เวลาหนึ่ง เราจะต้องถูกผลักกลับมาอยู่ในวัฏสงสารอีกหรือไม่
คำถามนี้นะเป็นคำถามที่เกิดขึ้นในใจหลายต่อหลายคนเลย
เพราะเราอยู่ในโลกที่มันจะต้องมีจุดเริ่มต้น มันจะต้องมีจุดสิ้นสุดให้เห็นด้วยตา
แต่ในความเป็นจริงนี่นะ ในระดับของสังสารวัฏ
ในระดับของจักรวาล อนันตจักรวาลนี่นะ มันเป็นอะไรที่ลึกลับกว่านั้น
เอาง่ายๆ คิดง่ายๆ นะ ไม่มีใครหรอกที่สามารถจะเห็นจักรวาลได้ด้วยตาเปล่า
อย่างที่เราเห็นกันด้วยกล้องโทรทรรศน์
จะด้วยกล้องแรงสูงขนาดฮับเบิล (Hubble) หรืออะไรก็แล้วแต่
มันเป็นการเห็นแค่มุมมองหนึ่ง
ทุกวันนี้นี่ นักวิทยาศาสตร์บอกว่ามวลจักรวาลหายไปเก้าสิบหกเปอร์เซ็นต์
เก้าสิบหกเปอร์เซ็นต์นั้น เรียกไปพลางๆ ว่าเป็นดาร์กแมตเทอร์ (Dark matter)
เป็นมวลสารที่เป็นสสารมืด ไม่สามารถที่จะทราบได้ด้วยตาว่ามันมีอยู่
รู้แต่ว่าถ้าคำนวณด้วยหลักของฟิสิกส์ระดับจักรวาลแล้ว สามารถรู้ได้ว่ามันมีอยู่
แล้วในจักรวาลที่เราเห็นว่ามืดๆ อยู่ มีแต่กาแล็กซี มีแต่ดวงดาว
จริงๆ แล้วมีอะไรซ้อนอยู่ในนั้นเยอะแยะไปหมด
ถ้ามองนะว่าจุดเริ่มต้นของจักรวาลอยู่ตรงไหน แค่นี้ก็เถียงกันไม่รู้จบแล้วนะ
ก็ทฤษฎีที่คนยอมรับกันมากที่สุดก็บิ๊กแบง (Big Bang)
แต่ก็ยังมีการพยายามหาข้อค้านนะ บอกว่าจักรวาลนี้มีอยู่อย่างนี้มานานแล้ว
ก็จะมีอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ นั่นแหละ
มีการขยายตัวหรือว่ามีการยุบตัวอะไร ก็เถียงกันไป
แต่เรื่องของสังสารวัฏมันซับซ้อนยิ่งกว่าจักรวาลที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าเสียอีก
อย่างปัจจุบันนี่ที่เริ่มเป็นสิ่งที่ในระดับของนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกเขามองกัน
ก่อนที่จะมีกาลเวลากับอากาศ เหมือนอย่างกับปัจจุบันนี้
มีแต่แรงดึงดูด มีแต่แรงโน้มถ่วงนะ
พูดง่ายๆ ว่าที่เราจะเคลื่อนไหวจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง มันไม่ได้
เพราะไม่มีอวกาศ เพราะไม่มีอากาศ มีแต่แรงโน้มถ่วง มีแต่แรงดึงดูด
ซึ่งคนทั่วไปแค่นั้นก็จินตนาการกันไม่ออกแล้ว ว่าหน้าตามันเป็นอย่างไร
ก่อนเกิดจักรวาลมีแต่แรงโน้มถ่วง
แล้วนักวิทยาศาสตร์ อย่างสตีเฟน ฮอว์กิง (Stephen Hawking)
เขาก็เป็นพวกที่ไม่เชื่อการเวียนว่ายตายเกิดนะ
ก็บอกว่าจักรวาลนี่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องมีอะไรมาก็ได้
นอกจากแรงโน้มถ่วงหรือว่าแรงดึงดูดที่เป็นขั้นปฐม
พูดง่ายๆ ว่านักวิทยาศาสตร์ที่เก่งที่สุดในโลก
เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากความบังเอิญ บังเอิญมี บังเอิญเป็น
นี่เก่งที่สุดในโลกนะ คิดได้มากที่สุดแล้ว
แต่ถ้าหากว่าเราไม่มีพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับเรื่องของรูปธรรมอะไรเลย
แล้วเราคิดเอาว่าสังสารวัฏมันเริ่มต้นขึ้นที่ไหน ภพชาติเริ่มต้นขึ้นที่ไหน
จะเถียงกันไม่รู้จบเลย เพราะว่าในที่สุดเราก็จะต้องบอกว่า
ถ้าหากเชื่อว่ามีอดีตชาติ ก็แปลว่าจะต้องมีชาติเริ่มต้น
มันไม่มีทางหรอกที่อยู่ๆ อะไรมันจะเกิดขึ้น
วนเวียนไปวนเวียนมาอยู่แบบนี้โดยไม่มีจุดเริ่มต้น
ความฟุ้งซ่านจะพาเราไปติดที่จุดนั้น
เวลาที่มีคนทูลถามคำถามนี้กับพระพุทธเจ้า
ท่านเลยตรัสว่าอย่าไปคิด ชาติแรกในแบบนั้นมันไม่มีหรอก
คิดให้ตายอย่างไร คิดให้หัวแตกอย่างไร ก็ไม่มีทางได้คำตอบ
เพราะแม้แต่พระสัพพัญญุตญาณ คือ ญาณที่หยั่งรู้ทุกสิ่ง
ซึ่งมีได้เป็นอภิสิทธิ์โดยเฉพาะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์
ท่านยังบอกเลยว่าส่องไปแค่ไหนๆ ก็ไม่เห็นจุดเริ่มต้นของสังสารวัฏ
มีแต่ว่าส่องไปนี่นะ มันก็เข้าวงจรปฏิจจสมุปบาทเดิมนั่นแหละ
คือมีความหลงผิด มีความไม่รู้
แล้วก็มีพฤติกรรมการสั่งสมบุญ การสั่งสมบาปในแต่ละชาตินะ
พอสิ้นชาติสิ้นภพ กองบุญกองบาปที่สั่งสมมานั้นก็วัดดวงกัน วัดน้ำหนักกัน งัดข้อกัน
ว่าใครจะชิงตัวไปสุคติ ใครจะชิงตัวไปทุคติได้ วนเวียนอยู่อย่างนี้
คือถ้าหากว่ามีชาติแรกขึ้นมาแล้วนะ แปลว่าวงจรปฏิจจสมุปบาทนี่ไม่ใช่ของจริง
จุดเริ่มต้นไม่ต้องมีการสั่งสมบุญ ไม่ต้องมีการสั่งสมบาปก็ได้ อยู่ๆ เกิดขึ้นเลย จิตเกิดขึ้นเลย
แต่นี่จิต จิตนะอันเป็นปฐมจิตของแต่ละชาติ เกิดขึ้นมาจากการบันดาลของกรรมในอดีต
คือถ้าหากว่าเราสั่งสมกองบุญไว้มาก มีน้ำหนักมากกว่ากองบาปในชาติที่แล้วนี่นะ
กองบุญนั้นก็จะเนรมิตจิตขึ้นมา จิตใหม่ซึ่งเป็นจิตของมนุษย์ มีสำนึกแบบมนุษย์
มีความสามารถคิดอ่านแบบมนุษย์ ประกอบพร้อมทั้งร่างกายแบบมนุษย์
ที่สามารถจะมารับรู้อะไรๆ มีประสบการณ์ตรงแบบมนุษย์ได้
ก่อกรรมแบบมนุษย์ได้ อย่างที่พวกเรากำลังเป็นอยู่
แต่ถ้าอยู่ๆ มีชาติแรก ไม่ได้มีบุญ ไม่ได้มีบาปเป็นตัวนำมาเลย
จะตัดสินอย่างไรล่ะว่าจะให้ไปเป็นสัตว์ เป็นเปรต เป็นสัตว์นรก
เป็นมนุษย์ เป็นเทวดาหรือเป็นพรหม มันตัดสินกันไม่ได้
พระพุทธเจ้าเลยตรัสตอบว่าจุดเริ่มต้นของภพชาตินะ
ก็คือความไม่รู้ หรือที่เรียกว่า อวิชชา
เพราะว่ามีอวิชชา มันถึงมีการสั่งสมกองบุญ กองบาปกันได้
และเมื่อมีการสั่งสมกองบุญ กองบาปแล้ว สิ้นภพสิ้นชาติแต่ละครั้ง
ก็จะมีการตัดสินกัน พิพากษากันว่าใครจะได้ไปดี ใครจะได้ไปร้าย
เรื่องมันวนเวียนอยู่แบบนี้ เป็นวงกลม
เหมือนกับที่เราไม่สามารถเห็นได้ว่า จุดเริ่มต้นของวงกลมมันเริ่มจากตรงไหน
ถ้าจะมองเป็นวิทยาศาสตร์ จะมองเป็นปรัชญา
หรือว่าจะมองเป็นด้วยวิธีคิดฟุ้งซ่านก็ตามนะ
ในที่สุดเราจะมาติดอยู่ตรงความไม่รู้จริงนั่นแหละ
พระพุทธเจ้าที่ท่านรู้จริง จะแจ้งแทงตลอดแล้ว
ท่านตรัสว่าเบื้องต้นอันเป็นเค้าเงื่อนของสังสารวัฏไม่มี ไม่มีให้เห็น ไม่ปรากฏให้เห็น
ด้วยพระสัพพัญญุตญาณที่รู้ดีที่สุดแล้วนะ
ไม่มีใครสามารถบำเพ็ญบารมีให้รู้ได้ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าอีกแล้ว
พระพุทธเจ้าท่านยังตรัสนะว่าไม่มีให้รู้ คือไม่ใช่ว่าท่านไม่รู้นะ แต่ไม่มีให้รู้
เหมือนกับเงื่อนปลายของสังสารวัฏ
สัตว์ทั้งหลายก็เวียนว่ายตายเกิดกันไปเรื่อยๆ นั่นแหละไม่มีที่สิ้นสุดหรอก
หรือเหมือนกับที่สิ้นสุดของสังฆทาน
มีอยู่สองอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าไม่ปรากฏให้รู้
ก็คือเงื่อนต้นกับเงื่อนปลายของสังสารวัฏ เบื้องต้นกับเบื้องปลายของสังสารวัฏ
แล้วก็ผลของสังฆทาน มันไม่มีที่สิ้นสุด มันไปเรื่อยๆ เลย
คือทำสังฆทาน ถ้าทำด้วยความประกอบพร้อมนะ ด้วยจิตที่เป็นกุศล
ได้ทรัพย์ที่เอาทำสังฆทาน ได้มาโดยชอบธรรม เป็นของตัวเองโดยบริสุทธิ์นะ
แล้วผู้รับเป็นผู้บริสุทธิ์ ถ้าทำแล้วนี่ก็ไม่มีที่สิ้นสุด
ผลนี่ก็พูดง่ายๆ ว่าจะเอาที่ชัดที่สุด ก็คือเหนี่ยวนำให้เราอยู่บนเส้นทาง
ที่จะได้ถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาอีก
คือไม่ใช่พระพุทธเจ้ามีพระองค์เดียว มีพระพุทธเจ้าหลายพระองค์นะ
นับได้เท่าเม็ดทรายในท้องสมุทร ท่านตรัสไว้อย่างนั้น พระพุทธเจ้ามีมากขนาดนั้น
แต่ขนาดว่ามีพระพุทธเจ้ามากขนาดนั้นนะ มีพระพุทธเจ้ามากขนาดนั้น
แต่ละพระองค์นี่ก็เกิดห่างกันเป็นกัปนะ เป็นกัปเป็นกัลป์นะ
ไม่ใช่จะมาเกิดกันบ่อยๆ ไม่ใช่อุบัติกันบ่อยๆ นะครับ
< Prev | Next > |
---|