ธรรมะจากพระสูตร Dhamma from Sutta
ทีฆชาณุสูตร ว่าด้วยทีฆชาณุทูลถามประโยชน์สุขปัจจุบันและภายหน้า
กลุ่มไตรปิฎกสิกขา
[๑๔๔] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่
ณ นิคมแห่งชาวโกลิยะชื่อกักกรปัตตะ แคว้นโกลิยะ
ครั้งนั้นแล โกลิยบุตรชื่อทีฆชาณุ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์เป็นคฤหัสถ์ ยังบริโภคกาม อยู่ครองเรือน
นอนเบียดเสียดบุตร ใช้จันทน์ในแคว้นกาสี
ยังทรงดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้ ยังยินดีเงินและทองอยู่
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า
โปรดแสดงธรรมที่เหมาะแก่ข้าพระองค์
อันจะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขในปัจจุบัน
เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขในภายหน้าเถิด.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พยัคฆปัชชะ ธรรม ๔ ประการนี้
ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขในปัจจุบันแก่กุลบุตร
๔ ประการเป็นไฉน คือ อุฏฐานสัมปทา ๑ อารักขาสัมปทา ๑
กัลยาณมิตตตา ๑ สมชีวิตา ๑.
พยัคฆปัชชะ ก็อุฏฐานสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้
เลี้ยงชีพด้วยการหมั่นประกอบการงาน คือ กสิกรรม พาณิชยกรรม
โครักขกรรม รับราชการฝ่ายทหาร รับราชการฝ่ายพลเรือน
หรือศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นผู้ขยันไม่เกียจคร้านในการงานนั้น
ประกอบด้วยปัญญาเครื่องสอดส่องอันเป็นอุบายในการงานนั้น
สารมารถจัดทำได้ พยัคฆปัชชะ นี้เรียกว่าอุฏฐานสัมปทา.
พยัคฆปัชชะ ก็อารักขสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้
โภคทรัพย์ที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร สั่งสมด้วยกำลังแขน
เหงื่อโทรมกาย ชอบธรรม ได้มาโดยธรรม
เขารักษาคุ้มครองโภคทรัพย์เหล่านั้นไว้พร้อมมูลด้วยทำไว้ในใจว่า
ไฉนหนอ พระราชาไม่พึงริบโภคทรัพย์เหล่านี้ของเรา โจรไม่พึงลัก
ไฟไม่พึงไหม้ น้ำไม่พึงพัดไป ทายาทผู้ไม่เป็นที่รักจะไม่พึงลักไป
พยัคฆปัชชะ นี้เรียกว่าอารักขสัมปทา.
พยัคฆปัชชะ ก็กัลยาณมิตตตาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้
อยู่อาศัยในบ้านหรือนิคมใด ย่อมดำรงตนเหมาะสม เจรจา
สนทนากับบุคคลในบ้านหรือนิคมนั้น ซึ่งเป็นคฤหบดีหรือบุตรคฤหบดี
เป็นคนหนุ่มผู้เคร่งศีลหรือคนแก่ผู้เคร่งศีล
ผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา
คอยศึกษาสัทธาสัมปทาของท่านผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธาตามสมควร
คอยศึกษาสีลสัมปทาของท่านผู้ถึงพร้อมด้วยศีลตามสมควร
คอยศึกษาจาคสัมปทาของท่านผู้ถึงพร้อมด้วยจาคะตามสมควร
และคอยศึกษาปัญญาสัมปทาของท่านผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญาตามสมควร
พยัคฆปัชชะ นี้เรียกว่ากัลยาณมิตตตา.
พยัคฆปัชชะ ก็สมชีวิตาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้
รู้ทางเจริญแห่งโภคทรัพย์และทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์แล้วเลี้ยงชีพพอเหมาะ
ไม่ให้ฟุ่มเฟือยนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนัก
ด้วยคิดว่า รายได้ของเราจักต้องเหนือรายจ่าย
และรายจ่ายของเราจักต้องไม่เหนือรายได้
พยัคฆปัชชะ เปรียบเหมือนคนชั่งตราชั่งหรือลูกมือคนชั่งตราชั่ง
ยกตราชั่งขึ้นดูก็รู้ว่า ต้องลดออกเท่านี้ หรือต้องเพิ่มเข้าเท่านี้ ฉันใด
กุลบุตรก็ฉันนั้นเหมือนกัน รู้ทางเจริญแห่งโภคทรัพย์
และทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์แล้วเลี้ยงชีพพอเหมาะ
ไม่ให้ฟุ่มเฟือยนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนัก
ด้วยคิดว่า รายได้ของเราจักต้องเหนือรายจ่าย
และรายจ่ายของเราจักต้องไม่เหนือรายได้
พยัคฆปัชชะ ถ้ากุลบุตรผู้นี้มีรายได้น้อย แต่เลี้ยงชีวิตอย่างโอ่อ่า
จะมีผู้ว่าเขาว่า กุลบุตรผู้นี้ใช้โภคทรัพย์เหมือนคนเคี้ยวกินผลมะเดื่อฉะนั้น
ก็ถ้ากุลบุตรผู้ที่มีรายได้มาก แต่เลี้ยงชีพอย่างฝืดเคือง
จะมีผู้ว่าเขาว่า กุลบุตรผู้นี้จักตายอย่างอนาถา
แต่เพราะกุลบุตรผู้นี้รู้ทางเจริญแห่งโภคทรัพย์
และทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์แล้วเลี้ยงชีพพอเหมาะ
ไม่ให้ฟุ่มเฟือยนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนัก
ด้วยคิดว่า รายได้ของเราจักต้องเหนือรายจ่าย
และรายจ่ายของเราจักต้องไม่เหนือรายได้
พยัคฆปัชชะ นี้เรียกว่าสมชีวิตา.
พยัคฆปัชชะ โภคทรัพย์ที่เกิดโดยชอบแล้วอย่างนี้
ย่อมมีทางเสื่อม ๔ ประการ คือ เป็นนักเลงหญิง ๑ เป็นนักเลงสุรา ๑
เป็นนักเลงการพนัน ๑ มีมิตรชั่ว สหายชั่ว เพื่อนชั่ว ๑
พยัคฆปัชชะ เปรียบเหมือนสระน้ำใหญ่ มีทางไหลเข้า ๔ ทาง
ทางไหลออก ๔ ทาง บุรุษพึงปิดทางไหลเข้า
เปิดทางไหลออกของสระนั้น ฝนก็มิตกต้องตามฤดูกาล
เมื่อเป็นเช่นนั้น สระน้ำใหญ่นั้นพึงหวังความเสื่อมอย่างเดียว
ไม่มีความเจริญเลย ฉันใด โภคทรัพย์ที่เกิดโดยชอบแล้วอย่างนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ย่อมมีทางเสื่อม ๔ ประการ คือ เป็นนักเลงหญิง ๑ เป็นนักเลงสุรา ๑
เป็นนักเลงการพนัน ๑ มีมิตรชั่ว สหายชั่ว เพื่อนชั่ว ๑.
พยัคฆปัชชะ โภคทรัพย์ที่เกิดโดยชอบแล้วอย่างนี้ ย่อมมีทางเจริญ ๔ ประการ
คือ ไม่เป็นนักเลงหญิง ๑ ไม่เป็นนักเลงสุรา ๑
ไม่เป็นนักเลงการพนัน ๑ มีมิตรดี สหายดี เพื่อนดี ๑
พยัคฆปัชชะ เปรียบเหมือนสระน้ำใหญ่ มีทางไหลเข้า ๔ ทาง
ทางไหลออก ๔ ทาง บุรุษพึงเปิดทางไหลเข้า
ปิดทางไหลออกของสระนั้น ทั้งฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล
เมื่อเป็นเช่นนั้น สระน้ำใหญ่นั้นพึงหวังความเจริญอย่างเดียว
ไม่มีความเสื่อมเลย ฉันใด โภคทรัพย์ที่เกิดขึ้นโดยชอบแล้วอย่างนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ย่อมมีทางเจริญ ๔ ประการ คือ ไม่เป็นนักเลงหญิง ๑ ไม่เป็นนักเลงสุรา ๑
ไม่เป็นนักเลงการพนัน ๑ มีมิตรดี สหายดี เพื่อนดี ๑
พยัคฆปัชชะ ธรรม ๔ ประการนี้แล
ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขในปัจจุบันแก่กุลบุตร.
พยัคฆปัชชะ ธรรม ๔ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์
เพื่อความสุขในภายหน้าแก่กุลบุตร
๔ ประการเป็นไฉน คือ สัทธาสัมปทา ๑ สีลสัมปทา ๑
จาคสัมปทา ๑ ปัญญาสัมปทา ๑.
พยัคฆปัชชะ ก็สัทธาสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้เป็นผู้มีศรัทธา
เชื่อพระปัญญาเครื่องตรัสรู้ของพระตถาคตว่า แม้เพราะเหตุนี้ ๆ
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ
ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก
เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า
เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม
พยัคฆปัชชะ นี้เรียกว่าสัทธาสัมปทา.
พยัคฆปัชชะ ก็สีลสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้
เป็นผู้งดเว้นจากปาณาติบาต เป็นผู้งดเว้นจากอทินนาทาน
เป็นผู้งดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร เป็นผู้งดเว้นจากมุสาวาท
เป็นผู้งดเว้นจาการดื่มน้ำเมา
คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
พยัคฆปัชชะ นี้เรียกว่าสีลสัมปทา.
พยัคฆปัชชะ ก็จาคสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้
มีจิตปราศจากมลทินคือความตระหนี่ อยู่ครองเรือน มีจาคะอันปล่อยแล้ว
มีฝ่ามืออันชุ่ม ยินดีในการสละ ควรแก่การขอ ยินดีในการจำแนกทาน
พยัคฆปัชชะ นี้เรียกว่าจาคสัมปทา.
พยัคฆปัชชะ ก็ปัญญาสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ เป็นผู้มีปัญญา
ประกอบด้วยปัญญาที่เห็นความเกิดและความดับ
เป็นอริยะ ชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ
พยัคฆปัชชะ นี้เรียกว่าปัญญาสัมปทา
พยัคฆปัชชะ ธรรม ๔ ประการนี้แล
ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขในภายหน้าแก่กุลบุตร.
คนหมั่นในการทำงาน ไม่ประมาท จัดการงานเหมาะสม
เลี้ยงชีพพอเหมาะ รักษาทรัพย์ที่หามาได้ มีศรัทธา ถึงพร้อมด้วยศีล
รู้ความประสงค์ของผู้อื่น ปราศจากความตระหนี่
ชำระทางสัมปรายิกประโยชน์อันสวัสดีเป็นนิตย์
ธรรม ๘ ประการดังกล่าวนี้ของผู้ครองเรือน ผู้มีศรัทธา
อันพระพุทธเจ้าผู้มีพระนามอันแท้จริงตรัสว่า
นำสุขมาให้ในโลกทั้งสอง คือ
ประโยชน์เกื้อกูลในปัจจุบันนี้และความสุขในภายหน้า
จาคะและบุญนี้ย่อมเจริญแก่คฤหัสถ์ ด้วยประการฉะนี้.
ทีฆชาณุสูตร จบ
(ทีฆชาณุสูตร พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๓๗)
< Prev | Next > |
---|