วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
ศิวาดล ๓
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
บทที่ ๒
พุทธศักราช ๒๕๐๐
สายฝนโปรยปรายใต้ม่านฟ้าสีเทาทะมึน ลมกรรโชกแรง ยอดไม้เอนลู่ เม็ดฝนซัดสาดกระจายลงมายังเรือนไม้สีน้ำตาลสองชั้น ตั้งตระหง่านท่ามกลางแมกไม้แน่นครึ้ม
ถนนโรยกรวดด้านหน้าเรือน ปรากฏชายหนุ่มร่างสูงสองคนยืนเด่น ร่างหนึ่งบึกบึนผิวสองสี นัยน์ตาโต ใบหน้าคร้ามคมอย่างชายไทยแท้ อีกร่างมีส่วนสูงไล่เลี่ย ไม่บึกบึนเท่า มีความประเปรียวมากกว่า ผิวขาวอย่างคนจีน ดวงตาเรียวรี ทอประกายเจิดจ้า
ทั้งสองก้าวเท้าช้า ๆ คนหนึ่งเดินแยกทางซ้าย อีกคนแยกทางขวา เดินเป็นวงโค้งเพื่อโอบขนาบเรือนหลังใหญ่ไว้ตรงกลาง
เสียงสวดสาธยายมนตร์ดังเป็นจังหวะ ผสานกับสายฝนที่หนาเม็ดลงเรื่อย ๆ คลื่นความมืดมน มุ่งร้าย ก่อตัวหนาแน่นภายในเรือนไม้โบราณ กระแสบาดคม รุนแรง แผ่ออกมาหยั่งเชิง เตรียมพร้อมจู่โจมทุกขณะ
สองหนุ่มหยุดยืนนิ่ง ปักเท้ามั่น มือกำทรายเสกแน่น สติ สมาธิรวมตัวมั่นคง สองร่างยืนคนละฟากฝั่ง ขนาบเรือนไม้ บังเกิดพลังปราณเชื่อมโยง ครอบคลุมพลังมืดในนั้นอย่างเหนียวแน่น
กระแสเสียงขาดหาย บทสวดจบสิ้นเหลือเพียงสายฝนกระหน่ำเป็นสายธารฟากฟ้า สองฝ่ายเฝ้ารอคอยจังหวะเตรียมปะทะกันขั้นรุนแรงแตกหัก เวลาเคลื่อนผ่านอย่างสงบงัน ใจเย็น...กระทั่ง
เปรี้ยง! สายฟ้าฟาด แสงสีเงินยวงบาดตาฉายขึ้นวูบหนึ่ง ดังเป็นสัญญาณเริ่มต้น
พลังสองฝ่ายปะทุขึ้นสูงสุด...
พลังมืดอันเกรี้ยวกราดรุนแรง ขยายตัวออกฟาดฟันพลังปราณไสยขาวจากสองหนุ่มเต็มกำลัง สายฝนกระจายซัดซ่าเป็นละอองฟุ้งมองเห็นเป็นเหมือนหมอกสีเทาเข้มปกคลุมเรือนโบราณโดยรอบ
ทรายเสกในมือสองหนุ่มถูกซัดออกไปพร้อมกัน ก่อเป็นพลังแหลมคมเข้าฟาดฟันหมอกสีเทาให้แตกกระจาย เผยให้เห็นตัวเรือนขึ้นมาชัดตาอีกครั้ง
ครืนนน...ฟ้าคำรามลากยาว พร้อมกับฝนห่าใหญ่ตกลงมาไม่ลืมหูลืมตา
ณ ที่นั้น พวกมันกำลังปรากฏตัวขึ้นมายืนเรียงรายรอบตัวเรือน ร่างดำทะมึนแน่นขนัด กลายเป็นกองทัพปิศาจอันน่าสะพรึง รอเวลาจู่โจมผู้มาเยือนอย่างไม่ปราณี
ม่านฝนตกลงมาหนาตา ขณะท้องฟ้ามืดครึ้มลงเรื่อย ๆ ทำให้ร่างสองหนุ่ม กับเหล่าปิศาจร้ายถูกปิดบัง ซ่อนเร้นใต้ปีกของพิรุณและมนตรา
ไม่มีใครมองเห็น รับรู้การต่อสู้ระหว่างสองหนุ่มผู้ทรงเวท กับเหล่าอสุรกาย ปิศาจร้ายในคืนนั้นได้เลย
ทุกคนได้รับรู้เพียง...ผลการต่อสู้ขั้นสุดท้าย...
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
ปู่เผด็จเล่าเรื่องราวการต่อสู้ในปี ๒๕๐๐ ให้พิจิกฟังก่อนมาศิวาดล โดยบอกเพียงเล็กน้อยแค่ที่มาที่ไปก่อนการเผชิญหน้า และบทสรุปผลการต่อสู้เท่านั้น
เรือนไม้โบราณหลังนั้น เดิมเป็นของพระยาคงเวท ขุนนางผู้เลิศล้ำในวิชาอาคมมีชื่อเสียงตั้งแต่สมัยต้นรัชกาลที่ ๕ ท่านเป็นขุนนางใหญ่ ทำคุณให้แผ่นดินหลายอย่าง ถวายงานจนเกษียณอายุจึงได้มาปลูกเรือนอยู่นอกเมืองเช่นนี้
ท่านเป็นคนโอบอ้อมอารี เมตตาช่วยเหลือชาวบ้านแถบนี้หลายต่อหลายเรื่อง
เรื่องที่โดดเด่นสุดคงไม่พ้นการปราบผี กำราบวิญญาณร้าย เกเร ไม่ให้รบกวนชาวบ้านทั่วไป ซึ่งภูตผีเหล่านั้นท่านจะนำมาขัง เลี้ยงไว้ที่เรือน ไม่ให้เพ่นพ่านก่อเรื่องเดือดร้อนอีก
ไม่มีใครรู้ว่าท่านเลี้ยงผี กักขังพวกวิญญาณร้ายไว้ในเรือนมากมายเพียงใด พวกลูกหลาน บ่าวไพร่ที่อาศัยอยู่ด้วยถึงจะรับรู้ว่ามีพวกนั้นอยู่ ก็ไม่เคยคิดเกรงกลัวอะไร เพราะบารมีพระยาคงเวทได้ปกป้อง คุ้มครองคนในบ้านให้ปลอดภัย ร่มเย็น
จนกระทั่งท่านพระยาเสียชีวิต พวกลูกหลาน ลูกศิษย์ที่เรียนอาคมไม่มีความสามารถเทียบเท่าท่านอาจารย์ ทำให้เวลาผ่านไปไม่กี่ปี ก็ไม่มีใครสามารถควบคุมพวกวิญญาณร้าย ปิศาจอสุรกายที่ท่านกำราบไว้ได้
ยังดีที่ท่านพระยาได้วางกำแพงมนตราไว้รอบเรือน ทำให้พวกมันไม่อาจหนีออกไปสร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านภายนอก ส่วนพวกลูกหลานในเรือนกลับอยู่ไม่เป็นสุข โดนพวกผีกลั่นแกล้ง หยอกล้อ ล่อหลอกให้ถอนกำแพงมนตราจนทนไม่ไหว ต้องย้ายเรือน หนีไปอยู่ที่อื่นเกือบหมด
หลังท่านพระยาเสียชีวิตหลายสิบปี กำแพงมนตราเริ่มอ่อนกำลังลง ภูตผีบางตนสามารถเล็ดรอดออกไปสร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านโดยรอบได้
ลูกหลานท่านพระยา พยายามเสาะหาอาจารย์ดี มีฝีมือจากทั่วสารทิศมาปราบ กำราบพวกมัน แต่ไม่สำเร็จ
จนกระทั่งมีสองหนุ่มวิชาดีเสนอตัวมาช่วยเหลือ...นั่นคือเผด็จ กับเล้ง หรือชื่อไทย ‘คงคา’ ปู่ของพิจิก เมษา...
การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด เร้นลับ ใช้เวลาตั้งแต่เย็นย่ำจนถึงรุ่งเช้าอีกวัน ผลคือสองผู้มีวิชาสามารถกำราบภูตผี วิญญาณร้ายสำเร็จ ปิดผนึกกักขังพวกมันไว้ด้วยอาคมชั้นสูง ยากหลุดรอดมาได้ง่าย ๆ
ทั้งสองแนะนำลูกหลานท่านพระยาให้รื้อเรือนทั้งหมดทิ้ง นำไม้ไปปลูกศาลาถวายวัดหลายแห่ง และทำพิธีบูชาเพลิง เผาเศษซาก ไม่เหลือเชื้อให้พวกภูตผีหลบเร้นออกมาได้อีก
ตำนานการต่อสู้ เรื่องราวภูตผี วิญญาณร้ายที่เคยอาละวาดก็ค่อยถูกลืมเลือนตามกาลเวลา
บ้านเมืองเจริญขึ้น ถนนสายหลักถูกตัดผ่าน ที่ดินเริ่มมีราคา เหล่านายทุนตระเวนกว้านซื้อที่ดินทั่วบริเวณนั้นกันอย่างหนัก ทายาทรุ่นหลังของพระยาคงเวทยอมขายที่ดินบรรพบุรุษด้วยเห็นแก่เงินก้อนใหญ่
เมื่อรวมกันแล้วกลายเป็นที่ดินแปลงใหญ่นับร้อยกว่าไร่ ถูกเกรดไถ ปรับปรุงภูมิทัศน์เพื่อพัฒนา สร้างเป็นหมู่บ้านจัดสรร และสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ เพื่อรองรับความเจริญที่กำลังมาถึง
เรือนพระยาคงเวทได้คลายจากความทรงจำคนรุ่นเก่า และไม่อยู่ในความทรงจำเด็กรุ่นใหม่อีกเลย
แล้ว...เรือนพระยาคงเวท เกี่ยวข้องอะไรกับคฤหาสน์ศิวาดล?
พิจิกละสายตาจากแสงวับแวมในคฤหาสน์นอกหน้าต่าง กลับไปนั่งบนเตียง หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดค้นหาบันทึกประวัติ ที่มาของศิวาดล ซึ่งตนเก็บข้อมูลเอาไว้
คฤหาสน์ศิวาดลถูกสร้างเมื่อราวสิบกว่าปีที่แล้ว โดยนายศิวา นักธุรกิจเกี่ยวกับการสื่อสารรายใหญ่ และนางดลดารา ภรรยาผู้เป็นศิลปินคนดัง ออกแบบงานสร้าง รายละเอียดปลีกย่อยทั้งหมดของที่นี่
เดิมที่ดินแปลงใหญ่แห่งนี้ เป็นของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ ที่กว้านซื้อที่ดินจากชาวบ้านเพื่อนำมาพัฒนา แต่แล้วเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ประเทศไทยเกิดวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนัก ตลาดอสังหาริมทรัพย์ดิ่งลงเหว เจ้าของบริษัทแห่งนี้ต้องรีบขายที่ดินแปลงใหญ่ในราคาแสนถูก เพื่อความอยู่รอดของบริษัทตน
นายศิวา เป็นนักธุรกิจรายแรก ๆ ที่ได้รับการติดต่อให้มาซื้อที่ดินแปลงนี้ ตัวเขาเองไม่สนใจเรื่องธุรกิจที่ดิน กำลังจะปฏิเสธไป แต่ดลดารา ภรรยาที่เพิ่งแต่งงานได้มาเห็นที่ดินแปลงนี้แล้วเกิดหลงรัก ถูกใจขึ้นมามากมาย เขาจึงซื้อมันให้เธอเพื่อเป็นของขวัญแต่งงาน
ช่วงเวลานั้นเขายังไม่มีความคิดจะพัฒนาที่ดินแปลงนี้ เงินลงทุนถูกนำไปใช้เกี่ยวกับธุรกิจสื่อสารเกือบหมด เพื่อต้องการครอบครองเป็นเจ้าตลาดการสื่อสารรายใหญ่ให้ได้
คนที่ตั้งใจอยากสร้างสรรค์ เนรมิตที่ดินแปลงนี้ให้มีชีวิตคือดลดารา...ภรรยาของเขาเอง
เธอต้องการสร้าง ‘บ้าน’ ที่ตนเองสามารถรังสรรค์พื้นที่ทุกส่วนให้ออกมาเป็นงานศิลปะอันยืนยง มีอายุขัยตราบชั่วลูกชั่วหลาน
‘ศิวาดล’ ใช้เวลาร่างแบบ วางผัง จัดสัดส่วนพื้นที่ จนถึงขั้นตอนการก่อสร้างกระทั่งแล้วเสร็จ เป็นคฤหาสน์สวยงาม สมบูรณ์ ก็ใช้เวลาร่วม ๗-๘ ปี
งานทำบุญ จัดเลี้ยงเปิดคฤหาสน์ เป็นงานใหญ่โต ร่ำลือสมกับฐานะมหาเศรษฐีลำดับต้น ๆ ของประเทศอย่างคุณศิวา ส่วนรายละเอียดการตกแต่ง รูปแบบงานก็สวยงาม ละเอียดลออ สมกับได้ศิลปินอย่างคุณดลดาราเป็นแม่งาน
น่าเสียดายที่เจ้าของผู้ร่ำรวยมหาศาล และศิลปินผู้รังสรรค์สิ่งก่อสร้างอันงดงาม มีโอกาสเสพสุขร่วมกันในคฤหาสน์ศิวาดลเพียงแค่ปีเดียว
ดลดาราเสียชีวิต...ศิวาดลถูกปิดตาย ไม่ต้อนรับใครอีก
สามปีหลังจากดลดาราเสียชีวิต คุณศิวาแต่งงานใหม่ กับสตรีสาวนักธุรกิจแวดวงเดียวกัน
‘รายา’ คือผู้กลับมาเปิด ‘บ้าน’ ศิวาดลอีกครั้ง ทำให้นักธุรกิจใหญ่กลับมามีรอยยิ้ม...แต่...ความสุขนี้มีอายุแค่หกเดือน เพราะนายหญิงคนใหม่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุที่ใครก็คาดไม่ถึง
หลังจากเสียภรรยาคนที่สอง คุณศิวาแทบไม่เหลือบแลใคร มุ่งมั่นขยายธุรกิจของตนจนกลายเป็นหนึ่งในธุรกิจที่เข้มแข็ง มั่นคงที่สุดหลังจากประเทศฟื้นตัว
หลายคนคิดว่าคงไม่มีใครสามารถละลายหัวใจนักธุรกิจท่านนี้ได้อีก...
จนสาวน้อยคนหนึ่งก้าวเข้ามา
‘พรนรี’ สาวน้อยสวยสดใส เหมือนดอกไม้แรกแย้ม ช่วยปลุกหัวใจเหน็บหนาวของนักธุรกิจใหญ่ให้อบอุ่น สว่างไสวขึ้นมาอีกครั้ง
นายหญิงคนที่สามมีโอกาสชื่นชม ดูแลศิวาดลได้แค่สามเดือน ก็ป่วยหนัก เกิดอาการจิตหลอน พร่ำเพ้อร่ำร้องหวาดกลัวภูตผีด้วยเสียงดังลั่น อาละวาดหนักจนถูกส่งตัวไปรักษาในโรงพยาบาล...
...แล้ว...เธอก็ผูกคอตายที่นั่นตั้งแต่คืนแรกที่ไปถึง
เมื่อสูญเสียภรรยาถึงสามคนเช่นนี้ คุณศิวาจึงหมดอาลัยตายอยากกับชีวิตรัก การมีคู่ครอง เขาใช้ชีวิตอย่างหนุ่มโสดเนื้อหอม มีผู้หญิงวนเวียนเข้ามาในชีวิตหลายคน แต่ไม่มีใครก้าวมาเป็นนายหญิงของศิวาดลอีกเลย...
จนกระทั่ง ‘แพรพลอย’ ปรากฏตัว
แพรพลอยเป็นดาราสาวนิสัยดี มีสัมมาคารวะ ขึ้นชื่อเรื่องความโอบอ้อมอารี มีวินัย คนทั้งวงการรักใคร่ เธอไม่ใช่นางเอกแถวหน้า ไม่ใช่นางร้ายมือวางอันดับหนึ่ง ไม่มีแฟนคลับติดตามมากมาย แต่เธอเป็นนักแสดงหญิงขึ้นชื่อเรื่องความสามารถ แสดงได้ทุกบทบาท สร้างเสน่ห์ให้กับตัวละครอย่างยอดเยี่ยม
เธอคือนายหญิงคนที่สี่...เจ้าของศิวาดลคนล่าสุด ก้าวเข้ามาในชายคาคฤหาสน์หลังนี้เกือบปี ยังไม่มีเหตุร้ายใดมาแผ่วพาน ยกเว้นอาการป่วยจากโรคประจำตัวที่กำเริบขึ้น ทำให้ต้องพักงานการแสดงระยะยาว ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขที่ ‘ศิวาดล’ จนถึงปัจจุบัน
จากประวัติ รายละเอียดที่พิจิกค้นหามาได้ ทำให้เกิดข้อสังเกตหลายประการ
หนึ่งในนั้นคือ ‘ศิวาดล’ มีอาถรรพณ์บางอย่าง นายหญิงสามคนแรกไม่มีใครตายดีสักคน!
อาถรรพณ์ศิวาดลคืออะไร มีที่มาจากไหน...คนทั่วไปคงยากจะตอบ
พิจิกกลับคิดว่า...ตนเองรู้ดี!
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
บนที่ดินร้อยกว่าไร่ของศิวาดลนั้น มีส่วนหนึ่งเคยเป็นเรือนพระยาคงเวท...เรือนที่ถูกรื้อถอน บูชาเพลิง และทำพิธีปิดผนึก กักขังเหล่าภูตผี วิญญาณร้ายเอาไว้ ไม่ให้เพ่นพ่าน ทำความเดือดร้อนแก่ใคร
จะเกิดอะไรขึ้น หากสถานที่ซึ่งถูกอาคมปิดผนึก ร่ายมนตร์สยบภูตผีเอาไว้ จะถูกรื้อถอนด้วยความไม่ตั้งใจ จากการเกรดไถ พัฒนาปรับปรุงที่ดินให้กลายเป็นพื้นที่โล่งกว้าง และกลายเป็นคฤหาสน์หลังอลังการในปัจจุบัน
เมษารับรู้เรื่องราวทั้งหมดจากปู่คงคา พร้อมได้รับภาระหน้าที่สำคัญ...
...เข้ามาสืบหาที่ตั้งเรือนพระยาคงเวทให้เจอ แล้วปิดผนึกภูตผี ดวงวิญญาณร้ายให้กลับไปอยู่อย่างเดิม!...
ฟังแล้วต้องถอนหายใจ พูดอะไรไม่ออก
ปู่ทั้งสองทำพิธีปิดผนึกผีร้ายที่นี่ เมื่อหกสิบปีก่อน...เวลาเปลี่ยน คนรุ่นเก่าแยกย้ายหนีหาย สถานที่ถูกปรับปรุง เปลี่ยนแปลงมากมาย...หาอย่างไร ถึงจะเจอที่ตั้งเดิมของเรือนพระยาทรงเวท?
“ทำไมปู่ไม่ไปปิดผนึกมันเองตั้งแต่แรก” เมษาถาม
ศิวาดลถูกสร้างมาสิบกว่าปีแล้ว ปู่เธอควรไปจัดการตั้งแต่ต้น ตอนที่ดินส่วนใหญ่เพิ่งถูกปรับปรุง เกรดไถ ซึ่งยังไม่เปลี่ยนแปลงมากขนาดนี้
“ปู่กับไอ้เผด็จไปตั้งแต่ ตอนที่พวกนั้นกำลังปรับที่ดิน เริ่มสร้างคฤหาสน์นั่นแหละ แต่พลาด เลยต้องรอมาสิบกว่าปีจนแกพร้อมจะไปสานงานแทนปู่ได้นี่ไง”
ปู่คงคาไม่ยอมเล่าว่า ‘พลาด’ อย่างไร ถึงต้องรอเวลามาถึงสิบกว่าปีแบบนี้ และเหตุใด ความพลาดพลั้งครั้งนั้น ถึงทำให้เพื่อนรักเพื่อนแท้ ร่วมเป็นร่วมตายกันมากว่าครึ่งศตวรรษ ถึงได้โกรธขึ้ง ไม่ยอมมองหน้า...ทั้งที่บ้านอยู่ติดกันมาจนถึงทุกวันนี้
“แกจะทำงานแทนปู่ได้มั้ย” ปู่คงคาถาม
เมษานิ่งอั้นชั่วครู่ก่อนตอบรับ
“ได้ค่ะ” ความที่หล่อนเป็นลูกปู่ มากกว่าลูกพ่อแม่ ทำให้ไม่อยากขัดใจชายชรา
“ดีแล้ว...แต่แกต้องเข้าไปทำงานนี้ให้สำเร็จก่อนหลานชายไอ้เผด็จมันด้วยนะ” ปู่เสริมขึ้นอีก
“อ้าว” เมษาร้องลั่น “ทำไมล่ะปู่”
แค่ไปทำงานตามคำสั่งอย่างเดียวก็นับว่าหินมากแล้ว นี่ยังต้องไปแข่งกับชายหนุ่มที่ ‘ฝีมือ’ พอกับตนเองอีก มันยิ่งน่าหนักใจ
ปู่คงคาไม่ตอบ เสพูดไปอีกเรื่อง
“ได้ข่าวว่าแกลาออกจากงานอีกแล้วเรอะ”
“ค่ะ” เมษาตอบหน้ามุ่ย ตามอารมณ์ปู่ไม่ทัน
“แล้วแกจะทำอะไรต่อ” ปู่ถามเรื่อย ๆ
เมษาอึ้งตอบไม่ถูก...จะบอกว่า ‘หางานใหม่’ ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะหล่อนเปลี่ยนงานสี่แห่งภายในเวลาไม่ถึงสองปีอย่างนี้ คงโดนปู่ย้อนกลับมาว่า... ‘แล้วจะลาออกอีกเมื่อไหร่’
ฟังแล้วเจ็บพิลึก
“ษาว่าจะขอตังค์แม่ไปเรียนปริญญาโทที่ต่างประเทศ” นี่เป็นแผนการในใจหล่อนมาระยะหนึ่งแล้ว
“เขาจะให้มั้ยล่ะ” ปู่ยิ้มเยาะ รู้ทัน
เมษาหน้าแหย บ้านหล่อนมีฐานะการเงินที่ดีก็จริง แต่แม่เป็นคนคุมบัญชีเบ็ดเสร็จ รับรองไม่มีทางยอมเสียเงินให้ไปเรียนต่อต่างประเทศแน่...แค่ขอเรียนม.อินเตอร์แถวนี้ยังยากเลย
“ถ้าแกทำงานนี้สำเร็จก่อนหลานชายไอ้เผด็จ...ปู่จะออกทุนให้แกไปเรียนเมืองนอกเอง”
“จริงอ้ะปู่” หญิงสาวกระโดดพรวด เกาะแขนประจบปู่
“ปู่เคยโกหกแกมั้ยล่ะ” พูดเช่นนี้เป็นยิ่งกว่าคำมั่นสัญญา
“ได้เลยค่ะปู่” หญิงสาวหอมแก้มชายชราฟอดใหญ่ “ษาต้องทำงานนี้สำเร็จก่อนไอ้หมาจิกแน่นอน...รับรองได้!”
ชายชราอมยิ้ม...หญิงสาวลืมไปแล้วว่า...ปู่ยังไม่บอกเหตุผลเลยว่า ทำไมต้องทำงานชิ้นนี้ให้เสร็จก่อนพิจิก หลานปู่เผด็จ
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
...ปิดผนึก กักขังผีร้ายที่เรือนพระยาคงเวทให้ได้...
นี่คือภารกิจที่พิจิกได้รับ หนำซ้ำยังมีบทสำทับตามมา
“ต้องทำให้สำเร็จก่อนหลานสาวไอ้เล้งมันด้วย”
“ทำไมล่ะปู่” เขาไม่เข้าใจ
“ไม่ต้องถาม...เอ็งอยากได้อะไร บอกมาเลย” ปู่ใช้ของรางวัลปิดปากหลานชาย
พิจิกยิ้มกริ่ม นัยน์ตาเจ้าเล่ห์ คนเป็นปู่รู้ทัน จึงเสนอออกมาเอง
“เออ...ปู่จะยกที่ดินติดถนนใหญ่ที่เป็นตึกแถวเก่านั่น ให้เอ็งรื้อสร้างคลินิกหมอฟันได้เลย”
ชายหนุ่มเข้าไปนวดต้นขาปู่ ยิ้มประจบ
“ผมเพิ่งเรียนจบ ต้องไปทำงานโรงพยาบาลฝึกฝีมือให้เก่งกว่านี้ก่อน แล้วค่อยมาเปิดคลินิกทำฟันของตัวเองได้นะปู่”
“รู้แล้ว” ปู่มองหลานชาย...รู้ทัน “เอ็งทำงานนี้สำเร็จเมื่อไหร่ ปู่จะโอนที่ดินให้ก่อนเลย แล้วถ้าเอ็งอยากเปิดคลินิกตอนไหน ปู่จะออกเงินสร้างให้ทีหลัง”
“โอเคครับ” เขาตอบรับแบบไม่ลังเล “ผมรักปู่จังเลย”
ชายชราหัวเราะชอบใจ มือตบศีรษะหลานชายเบา ๆ รอยเมตตาฉายชัด และยามที่ดวงตาคู่นี้มองข้ามแนวรั้วต้นไม้ ไปยังหลังคาบ้านหลังใหญ่ติดกัน ก็บังเกิดรอยประหลาดยากตีความเข้าใจ
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
เช้ามืด ฝนขาดเม็ดนานแล้ว หยาดน้ำเกาะพราวตามยอดหญ้า พื้นดินฉ่ำชุ่มเกินกว่าจะเดินเหยียบโดยไม่ให้เห็นรอยเท้า
พิจิกอาศัยลัดเลาะตามแนวถนนเพื่อสำรวจบริเวณโดยรอบศิวาดล แผนผังโครงสร้างการจัดวางพื้นที่แต่ละส่วนของสถานที่นี้ถูกบันทึกแม่นยำในสมอง พอลงมาเดินพื้นที่จริงยังต้องอาศัยการเทียบเคียงครู่หนึ่งจึงกำหนดทิศทางแน่นอนได้
อาณาเขตร้อยกว่าไร่นี้ ชายหนุ่มมั่นใจว่าไม่มีทางสำรวจหมดภายในเวลาอันสั้น
เขาจึงแบ่งพื้นที่หลักเป็นห้าส่วน ลองเทียบเคียงกับแผนผัง ทิศที่ตั้งเรือนพระยาคงเวท ที่ปู่เผด็จเขียนแผนที่คร่าว ๆ ให้จากความทรงจำที่พอหลงเหลือ
จากนั้นจึงเริ่มมาสำรวจยังจุดที่คาดว่าน่าจะใกล้เคียงกับที่ตั้งเดิมของเรือนโบราณก่อน ซึ่งปัจจุบันนั้นกลายเป็นเขตสวนป่าอนุรักษ์ มีพันธุ์ไม้หายากปลูกเป็นทิวแถว ร่มครึ้ม
ท้องฟ้าสลัวราง รอบกายมองเห็นเป็นเงาตะคุ่ม แสงไฟจากต้นเสาใกล้สุดไม่สามารถสาดส่องเข้ามาถึงภายในบริเวณสวนป่าที่หนาแน่นด้วยต้นไม้ได้
พิจิกอาศัยดวงตาที่ชินกับความมืด เดินวนเวียนภายในสวนป่า สายตากวาดมองโดยไม่โฟกัสจุดใดเป็นพิเศษ ใช้แค่จิตสัมผัสของตนสำรวจ เสาะหาด้วยใจตั้งมั่น ไม่วอกแวก
ซากเรือน ชิ้นส่วนของการปิดผนึกอาคมเมื่อหกสิบปีที่แล้ว ไม่หลงเหลือเป็นหลักฐานให้มองเห็น มีเพียงกระแสคลื่นมนตราบางเบาที่ยังครอบคลุมบริเวณนั้น ด้วยจิตสัมผัสระดับเขา จะสามารถรับรู้ได้เมื่อเข้าใกล้ในระยะสองสามเมตร
ชายหนุ่มซอกซอน เดินผ่านระหว่างต้นไม้แต่ละต้น ระวังไม่ให้เหยียบดินอ่อนจนทิ้งรอยเท้าเป็นหลักฐาน จิตสัมผัสค้นหาอยู่ราวสิบห้านาที ท้องฟ้าเริ่มสว่างมองเห็นรอบกายชัดขึ้น นัยน์ตาเขาค่อยปะทะกับร่างตะคุ่มเป็นเงาดำอยู่ในป่าห่างออกไปราวสามสิบเมตร
หากไม่ใช่สายตาคุ้นกับการแยกแยะเงาไม้กับสิ่งแปลกปลอมมาครู่หนึ่ง ก็คงยากสังเกต เอะใจกับบุคคลไม่ได้รับเชิญรายนี้
ร่างนั้นกำลังสำรวจค้นหา จิตจดจ่อกับสิ่งต้องการพบ จนเกือบตัดการรับรู้ภายนอกจนหมด พิจิกนึกอยากเข้าไปหยอกล้อ กลั่นแกล้งให้ตกใจ แต่ชะงัก เมื่อสายตามองเห็นร่างสูง ผอมบางเดินตัวตรง เห็นชัดจากเสาไฟบนถนนใกล้สุด
ผู้มาใหม่ยังอยู่ห่างไกลพอสมควร ไม่สามารถแลเห็นสองร่างที่หลบอยู่ในสวนป่าอนุรักษ์ได้ ถึงกระนั้นพิจิกก็ไม่ประมาท รีบจรดฝีเท้าเบากริบ เข้าไปหาร่างหญิงสาวที่อยู่ในสวนป่า ซึ่งกำลังใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับการหาที่ตั้งเรือนพระยาคงเวทเช่นเดียวกับเขา
เข้าใกล้เพียงห้าเมตร หญิงสาวก็รู้สึกตัว หันขวับมาทางพิจิก ขยับปากจะเอ่ยวาจาขับไล่ ชายหนุ่มรีบเอามือจุ๊ปาก แล้วชี้ไปทางร่างที่แลเห็นไกล ๆ บนถนน
เมษาชะงัก เหลียวตามมือชี้ จากนั้นรีบเร้นกาย หลบหลังต้นไม้ใหญ่ ไม่จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายเอ่ยเตือน
สองหนุ่มสาวไม่พูดจา รู้สภาพการณ์ตนเองชัด เวลานี้ไม่ควรให้ใครก็ตามในศิวาดล เห็นคนงานใหม่แอบมาด้อม ๆ มอง ๆ เดินเกะกะทั่วอาณาเขตในเวลาไม่สมควรเช่นนี้
ร่างสูงผอมบางเดินใกล้เข้ามา มองเห็นชัดว่าเป็นผู้หญิง จากชุดกระโปรงยาวสีขาวดูเรียบร้อย เป็นระเบียบ ท่าเดินคล่องแคล่ว แฝงความสง่าไว้ตัว บอกถึงบุคลิกความมีอำนาจอย่างเป็นธรรมชาติ
ร่างนั้นเดินใกล้เข้ามาแล้วเลี้ยวโค้งตามถนน แยกไปทางเรือนครัว ทำให้มองใบหน้าไม่ชัดเจนนัก เห็นแค่ลำคอตั้งตรง ศีรษะเชิดแลไปข้างหน้าชนิดไม่เหลือบซ้ายแลขวา
ฟ้าเริ่มสว่าง แต่ยังไม่สว่างพอจะเห็นรายละเอียดรอบกายมากมาย สองหนุ่มสาวค่อยขยับตัว กำลังจะละสายตาจากผู้มาใหม่ ฉับพลันทั้งคู่ก็เห็น ‘บางสิ่ง’
สิ่งนั้นเป็นเงาราง ๆ สีเข้ม...เข้มกว่าความสลัวรางโดยรอบ ไม่แสดงรูปร่างชัดเจน เป็นเหมือนกลุ่มก้อนควันหนา สีเทาแกมดำ กำลังเคลื่อนตัวติดตามหญิงในชุดขาวนั้นไปโดยไม่ห่าง
เมษา พิจิกหันมาสบตากัน ไม่จำเป็นต้องมีคำถามว่า...เห็นเหมือนกันหรือไม่?
เพราะความสามารถพิเศษนี้ ทั้งคู่มีตั้งแต่เป็นเด็กตัวน้อย...
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
< Prev | Next > |
---|