ธรรมะจากพระสูตร Dhamma from Sutta
อินทริยภาวนาสูตร ว่าด้วยการเจริญอินทรีย์
กลุ่มไตรปิฎกสิกขา
[๘๕๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ป่าไผ่ ในนิคมชื่อกัชชังคลา.
ครั้งนั้นแล อุตตรมาณพศิษย์พราหมณ์ปาราสิริยะ
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังที่ประทับ แล้วทักทายปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้นผ่านการทักทายปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[๘๕๔] พอนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามดังนี้ว่า
อุตตระ ปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกบ้างหรือไม่?
อุ. แสดง พระโคดมผู้เจริญ.
ภ. อุตตระ แสดงไว้อย่างไร?
อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องนี้ ท่านปาราสิริยพราหมณ์
แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า
อย่าเห็นรูปด้วยตา อย่าฟังเสียงด้วยหู.
ภ. อุตตระ เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่เจริญอินทรีย์แล้วตามคำของปาราสิริยพราหมณ์
ต้องเป็นคนตาบอด ต้องเป็นคนหูหนวก
เพราะคนตาบอดไม่เห็นรูปด้วยตา คนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงด้วยหู.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้
อุตตรมาณพศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์ นั่งนิ่ง
เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ.
[๘๕๕] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า
อุตตรมาณพศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์ นั่งนิ่ง
เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ
จึงรับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า อานนท์
ปาราสิริยพราหมณ์ย่อมแสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกทั้งหลายอย่างหนึ่ง
ส่วนการเจริญอินทรีย์อันยอดเยี่ยมในวินัยของพระอริยะเป็นอีกอย่างหนึ่ง.
ท่านพระอานนท์ทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคสุคตเจ้า เป็นเวลาสมควรแล้ว
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงแสดงการเจริญอินทรีย์อันยอดเยี่ยม ในวินัยของพระอริยะ
ภิกษุทั้งหลายฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จักทรงจำไว้.
ภ. อานนท์ ถ้าเช่นนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว.
ท่านพระอานนท์ทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ชอบแล้ว พระเจ้าข้า.
[๘๕๖] พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสดังนี้ว่า
อานนท์ ก็การเจริญอินทรีย์อันยอดเยี่ยมในวินัยของพระอริยะ เป็นอย่างไร?
อานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้น เพราะเห็นรูปด้วยตา
เธอรู้ชัดอย่างนี้ว่า เราเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้นแล้วเช่นนี้
ก็สิ่งนั้นแล เป็นสังขตะ หยาบ อาศัยกันเกิดขึ้น ยังมีสิ่งที่ละเอียด ประณีต
นั่นคืออุเบกขา เธอจึงดับความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วนั้นเสีย อุเบกขาจึงดำรงมั่น
อานนท์ ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งดับความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ได้เร็วพลันทันที
โดยไม่ลำบากเหมือนอย่างบุรุษมีตาดีกระพริบตาฉะนั้น
อุเบกขาย่อมดำรงมั่น อานนท์ นี้เรียกว่า
การเจริญอินทรีย์อันยอดเยี่ยมในรูปที่จะพึงรู้ได้ด้วยตา ในวินัยของพระอริยะ.
[๘๕๗] อานนท์ ประการอื่นยังมีอีก
ภิกษุเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้น
เพราะได้ยินเสียงด้วยหู เธอรู้ชัดอย่างนี้ว่า เราเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้นแล้วเช่นนี้
ก็สิ่งนั้นแล เป็นสังขตะ หยาบ อาศัยกันเกิดขึ้น ยังมีสิ่งที่ละเอียด ประณีต
นั่นคืออุเบกขา เธอจึงดับความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วนั้นเสีย อุเบกขาจึงดำรงมั่น
อานนท์ ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งดับความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ได้เร็วพลันทันที
โดยไม่ลำบาก เหมือนอย่างบุรุษมีกำลัง ดีดนิ้วมือโดยไม่ลำบากฉะนั้น
อุเบกขาย่อมดำรงมั่น อานนท์ นี้เรียกว่า
การเจริญอินทรีย์อันยอดเยี่ยมในเสียงที่จะพึงรู้ได้ด้วยหู ในวินัยของพระอริยะ.
[๘๕๘] อานนท์ ประการอื่นยังมีอีก
ภิกษุเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้น
เพราะดมกลิ่นด้วยจมูก เธอรู้ชัดอย่างนี้ว่า เราเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้นแล้วเช่นนี้
ก็สิ่งนั้นแล เป็นสังขตะ หยาบ อาศัยกันเกิดขึ้น ยังมีสิ่งที่ละเอียด ประณีต
นั่นคืออุเบกขา เธอจึงดับความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วนั้นเสีย อุเบกขาจึงดำรงมั่น
อานนท์ ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งดับความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ได้เร็วพลันทันที
โดยไม่ลำบาก เหมือนอย่างหยาดน้ำกลิ้งไปบนใบบัวที่เอียงนิดหน่อย
ย่อมไม่ติดในที่ที่กลิ้งไปสักน้อยหนึ่งฉะนั้น
อุเบกขาย่อมดำรงมั่น อานนท์ นี้เรียกว่า
การเจริญอินทรีย์อันยอดเยี่ยมในกลิ่นที่จะพึงรู้ได้ด้วยจมูก ในวินัยของพระอริยะ.
[๘๕๙] อานนท์ ประการอื่นยังมีอีก
ภิกษุเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้น
เพราะลิ้มรสด้วยลิ้น เธอรู้ชัดอย่างนี้ว่า เราเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้นแล้วเช่นนี้
ก็สิ่งนั้นแล เป็นสังขตะ หยาบ อาศัยกันเกิดขึ้น ยังมีสิ่งที่ละเอียด ประณีต
นั่นคืออุเบกขา เธอจึงดับความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วนั้นเสีย อุเบกขาจึงดำรงมั่น
อานนท์ ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งดับความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ได้เร็วพลันทันที
โดยไม่ลำบาก เหมือนอย่างบุรุษมีกำลังตะล่อมก้อนเขฬะไว้ตรงปลายลิ้น
แล้วถ่มไปโดยไม่ลำบากฉะนั้น อุเบกขาย่อมดำรงมั่น อานนท์ เรียกว่า
การเจริญอินทรีย์อันยอดเยี่ยมในรสที่จะพึงรู้ได้ด้วยลิ้น ในวินัยของพระอริยะ.
[๘๖๐] อานนท์ ประการอื่นยังมีอีก
ภิกษุเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้น
เพราะถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย เธอรู้ชัดอย่างนี้ว่า เราเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้นแล้วเช่นนี้
ก็สิ่งนั้นแล เป็นสังขตะ หยาบ อาศัยกันเกิดขึ้น ยังมีสิ่งที่ละเอียด ประณีต
นั่นคืออุเบกขา เธอจึงดับความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วนั้นเสีย อุเบกขาจึงดำรงมั่น
อานนท์ ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งดับความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ได้เร็วพลันทันที
โดยไม่ลำบาก เหมือนอย่างบุรุษมีกำลังเหยียดแขนที่คู้ออกไป
หรือคู้แขนที่เหยียดเข้ามาฉะนั้น อุเบกขาย่อมดำรงมั่น อานนท์ นี้เรียกว่า
การเจริญอินทรีย์อันยอดเยี่ยมในโผฏฐัพพะที่จะพึงรู้ได้ด้วยกาย ในวินัยของพระอริยะ.
[๘๖๑] อานนท์ ประการอื่นยังมีอีก
ภิกษุเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้น
เพราะรู้ธัมมารมณ์ด้วยใจ เธอรู้ชัดอย่างนี้ว่า เราเกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้นแล้วเช่นนี้
ก็สิ่งนั้นแล เป็นสังขตะ หยาบ อาศัยกันเกิดขึ้น ยังมีสิ่งที่ละเอียด ประณีต
นั่นคืออุเบกขา เธอจึงดับความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วนั้นเสีย อุเบกขาจึงดำรงมั่น
อานนท์ ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งดับความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ได้เร็วพลันทันที
โดยไม่ลำบาก เหมือนอย่างบุรุษมีกำลังหยดหยาดน้ำสองหรือสามหยด
ลงบนกระทะเหล็กที่ร้อนจัดตลอดวัน ความหยดลงแห่งหยาดน้ำยังช้า
ทันทีนั้นหยาดน้ำนั้นจะถึงความสิ้นไปแห้งไปอย่างรวดเร็วทีเดียวฉะนั้น
อุเบกขาย่อมดำรงมั่น อานนท์ นี้เราเรียกว่า
การเจริญอินทรีย์อันยอดเยี่ยมในธัมมารมณ์ที่จะพึงรู้ได้ด้วยใจ
ในวินัยของพระอริยะเป็นอย่างนี้แล.
อานนท์ การเจริญอินทรีย์อันยอดเยี่ยมในวินัยของพระอริยะ.
[๘๖๒] อานนท์ ก็พระเสขะผู้ยังปฏิบัติอยู่เป็นอย่างไร?
อานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยตาแล้ว เกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้น เพราะความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วนั้น
เธอจึงอึดอัด เบื่อหน่าย เกลียดชัง.
ฟังเสียงด้วยหูแล้ว เกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้น เพราะความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วนั้น
เธอจึงอึดอัด เบื่อหน่าย เกลียดชัง.
ดมกลิ่นด้วยจมูกแล้ว เกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้น เพราะความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วนั้น
เธอจึงอึดอัด เบื่อหน่าย เกลียดชัง.
ลิ้มรสด้วยลิ้นแล้ว เกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้น เพราะความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วนั้น
เธอจึงอึดอัด เบื่อหน่าย เกลียดชัง.
ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว เกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้น เพราะความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วนั้น
เธอจึงอึดอัด เบื่อหน่าย เกลียดชัง.
รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว เกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้น เพราะความชอบใจ ความไม่ชอบใจ
ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจ อันเกิดขึ้นแล้วนั้น
เธอจึงอึดอัด เบื่อหน่าย เกลียดชัง.
อานนท์ อย่างนี้แล ชื่อว่าพระเสขะผู้ยังปฏิบัติอยู่.
[๘๖๓] อานนท์ ก็พระอริยะผู้เจริญอินทรีย์แล้ว เป็นอย่างไร?
อานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยตาแล้ว เกิดความชอบใจ
ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้น
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เรามีความสำคัญในสิ่งปฏิกูลว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่
เธอก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งปฏิกูลนั้นว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ได้
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เรามีความสำคัญในสิ่งไม่ปฏิกูลว่าเป็นของปฏิกูลอยู่
เธอก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งไม่ปฏิกูลนั้นว่าเป็นของปฏิกูลอยู่ได้
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เรามีความสำคัญในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่
เธอก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ได้
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เรามีความสำคัญในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลว่าเป็นของปฏิกูลอยู่
เธอก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลว่าเป็นของปฏิกูลอยู่ได้
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เราหลีกเลี่ยงสิ่งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลทั้งสองนั้น
แล้ววางเฉยเสีย อยู่อย่างมีสติสัมปชัญญะ
เธอก็ย่อมเป็นผู้วางเฉยในสิ่งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลทั้งสองนั้น อยู่อย่างมีสติสัมปชัญญะได้.
[๘๖๔] อานนท์ ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุฟังเสียงด้วยหูแล้ว
เกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้น
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เรามีความสำคัญในสิ่งปฏิกูลว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่
เธอก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งปฏิกูลนั้นว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ได้
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เรามีความสำคัญในสิ่งไม่ปฏิกูลว่าเป็นของปฏิกูลอยู่
เธอก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งไม่ปฏิกูลนั้นว่าเป็นของปฏิกูลอยู่ได้
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เรามีความสำคัญในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่
เธอก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ได้
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เรามีความสำคัญในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลว่าเป็นของปฏิกูลอยู่
เธอก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลว่าเป็นของปฏิกูลอยู่ได้
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เราหลีกเลี่ยงสิ่งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลทั้งสองนั้น
แล้ววางเฉยเสีย อยู่อย่างมีสติสัมปชัญญะ
เธอก็ย่อมเป็นผู้วางเฉยในสิ่งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลทั้งสองนั้น อยู่อย่างมีสติสัมปชัญญะได้.
อานนท์ ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุดมกลิ่นด้วยจมูกแล้ว
เกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้น
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เรามีความสำคัญในสิ่งปฏิกูลว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่
เธอก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งปฏิกูลนั้นว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ได้
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เรามีความสำคัญในสิ่งไม่ปฏิกูลว่าเป็นของปฏิกูลอยู่
เธอก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งไม่ปฏิกูลนั้นว่าเป็นของปฏิกูลอยู่ได้
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เรามีความสำคัญในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่
เธอก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ได้
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เรามีความสำคัญในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลว่าเป็นของปฏิกูลอยู่
เธอก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลว่าเป็นของปฏิกูลอยู่ได้
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เราหลีกเลี่ยงสิ่งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลทั้งสองนั้น
แล้ววางเฉยเสีย อยู่อย่างมีสติสัมปชัญญะ
เธอก็ย่อมเป็นผู้วางเฉยในสิ่งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลทั้งสองนั้น อยู่อย่างมีสติสัมปชัญญะได้.
อานนท์ ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุลิ้มรสด้วยลิ้นแล้ว
เกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้น
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เรามีความสำคัญในสิ่งปฏิกูลว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่
เธอก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งปฏิกูลนั้นว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ได้
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เรามีความสำคัญในสิ่งไม่ปฏิกูลว่าเป็นของปฏิกูลอยู่
เธอก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งไม่ปฏิกูลนั้นว่าเป็นของปฏิกูลอยู่ได้
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เรามีความสำคัญในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่
เธอก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ได้
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เรามีความสำคัญในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลว่าเป็นของปฏิกูลอยู่
เธอก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลว่าเป็นของปฏิกูลอยู่ได้
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เราหลีกเลี่ยงสิ่งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลทั้งสองนั้น
แล้ววางเฉยเสีย อยู่อย่างมีสติสัมปชัญญะ
เธอก็ย่อมเป็นผู้วางเฉยในสิ่งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลทั้งสองนั้น อยู่อย่างมีสติสัมปชัญญะได้.
อานนท์ ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว
เกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้น
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เรามีความสำคัญในสิ่งปฏิกูลว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่
เธอก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งปฏิกูลนั้นว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ได้
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เรามีความสำคัญในสิ่งไม่ปฏิกูลว่าเป็นของปฏิกูลอยู่
เธอก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งไม่ปฏิกูลนั้นว่าเป็นของปฏิกูลอยู่ได้
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เรามีความสำคัญในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่
เธอก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ได้
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เรามีความสำคัญในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลว่าเป็นของปฏิกูลอยู่
เธอก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลว่าเป็นของปฏิกูลอยู่ได้
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เราหลีกเลี่ยงสิ่งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลทั้งสองนั้น
แล้ววางเฉยเสีย อยู่อย่างมีสติสัมปชัญญะ
เธอก็ย่อมเป็นผู้วางเฉยในสิ่งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลทั้งสองนั้น อยู่อย่างมีสติสัมปชัญญะได้.
อานนท์ ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุรู้ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว
เกิดความชอบใจ ความไม่ชอบใจ ทั้งความชอบใจและไม่ชอบใจขึ้น
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เรามีความสำคัญในสิ่งปฏิกูลว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่
เธอก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งปฏิกูลนั้นว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ได้
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เรามีความสำคัญในสิ่งไม่ปฏิกูลว่าเป็นของปฏิกูลอยู่
เธอก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งไม่ปฏิกูลนั้นว่าเป็นของปฏิกูลอยู่ได้
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เรามีความสำคัญในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่
เธอก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลว่าเป็นของไม่ปฏิกูลอยู่ได้
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เรามีความสำคัญในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลว่าเป็นของปฏิกูลอยู่
เธอก็ย่อมเป็นผู้มีความสำคัญในสิ่งทั้งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลว่าเป็นของปฏิกูลอยู่ได้
ถ้าเธอหวังอยู่ว่า เราหลีกเลี่ยงสิ่งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลทั้งสองนั้น
แล้ววางเฉยเสีย อยู่อย่างมีสติสัมปชัญญะ
เธอก็ย่อมเป็นผู้วางเฉยในสิ่งปฏิกูลและไม่ปฏิกูลทั้งสองนั้น อยู่อย่างมีสติสัมปชัญญะได้
อานนท์ อย่างนี้แล ชื่อว่าพระอริยะผู้เจริญอินทรีย์แล้ว.
[๘๖๕] อานนท์ เราแสดงการเจริญอินทรีย์อันยอดเยี่ยม ในวินัยของพระอริยะไว้แล้ว
แสดงพระเสขะผู้ยังปฏิบัติอยู่ไว้แล้ว แสดงพระอริยะผู้เจริญอินทรีย์ไว้แล้ว
ด้วยประการฉะนี้ อานนท์ ศาสดาผู้แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล ผู้อนุเคราะห์
อาศัยความอนุเคราะห์ พึงทำกิจใดแก่สาวกทั้งหลาย กิจนั้นเราได้ทำแล้วแก่เธอทั้งหลาย
อานนท์ นั่นโคนไม้ นั่นเรือนว่าง เธอทั้งหลายจงเข้าสมาธิ อย่าประมาท
อย่าได้เสียใจในภายหลัง นี้เป็นคำพร่ำสอนของเราแก่เธอทั้งหลาย.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว
ท่านพระอานนท์ชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วแล.
อินทริยภาวนาสูตร จบ
(อินทริยภาวนาสูตร พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๒๓)
< Prev | Next > |
---|