วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
เถ้าน้ำค้าง ๕๔ (จบ)
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
“คุณยาย...มาได้ยังไงคะนี่” เสียงใสแจ้ว ๆ ดังมาจากเด็กสาวแก้มใส ตาโต สวยจัด
คุณกาญจนาหันไปมอง ทันรับไหว้ชายหนุ่มที่เดินเคียงคู่มากับแม่สาวน้อย
“คุณเลียบเมือง ปันปัน มากับเขาเหมือนกันเหรอ” ผู้สูงวัยทักทาย
“ไม่มาได้ยังไงคะ...นี่แหละสปอนเซอร์ใหญ่ตัวจริงของงาน” ปันปันคุยโว หันไปเห็นคุณหมอทั้งสองยืนแจกหนังสือธรรมะอยู่ในบูธก็รีบร้องทักทาย
“สวัสดีค่ะพี่หมอ...แหม เจ้าของงานนี้เก่งจัง กล่อมคุณหมอสุดหล่อ สุดสวยสองคนมาที่นี่ได้”
“มาช่วยกันน่ะปันปัน” หมอน้ำทิพย์ตอบยิ้ม ๆ
“มาช่วยก็ไม่ต้องยืนใกล้กันขนาดนี้ก็ด๊าย” เด็กสาวแซว
สองคุณหมอมองหน้ากันอย่างขัน ๆ บอกไปไม่มีใครเชื่อ สิบปีผ่านไป ความสัมพันธ์ทั้งคู่ยังอยู่แค่เพื่อนเหมือนเดิม
คุณกาญจนายิ้มเอ็นดู...ถ้าใครมาบอกเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนว่า เธอจะมีหลานสาวที่สดใส น่ารักขนาดนี้ คุณกาญจนาคงไม่เชื่อ แถมยังหาว่าคนพูดหลอกเล่นให้ช้ำใจ เพราะความเป็นจริง บุตรสาวของเธอเกือบจะทำลายเด็กคนนี้ทิ้งตั้งแต่อยู่ในครรภ์
ดีที่คุณหญิงรัดเกล้าช่วยไว้ ดีที่เลียบเมืองรัก เลี้ยงดู อบรมสั่งสอนน้องสาวต่างสายเลือดคนนี้อย่างเอาใจใส่ และดีที่เด็กคนนี้มีจิตใจอ่อนโยน ดีงาม จึงค่อยซึมซับ ยอมรับความจริงของชีวิตตนเองได้ โดยไม่พลิกผันกลายเป็นเด็กมีปัญหา
“นี่เพื่อนยาย ไปวัดด้วยกันบ่อย ๆ” คุณกาญจนาแนะนำเพื่อนรุ่นน้องของตนแก่ทั้งคู่
เลียบเมือง ปันปันยกมือไหว้ด้วยความเคารพ ปันปันจึงเปลี่ยนมาแซวคนแก่แทน
“งานนี้ไม่มีพระเทศน์นะคะคุณยาย มากันผิดฮอลล์หรือเปล่า”
“ปันปัน!” เลียบเมืองหันมาดุน้องสาว
คุณกาญจนาหัวเราะ ไม่ถือสา
“แม่คนนี้เขาเป็นแฟนเพลงของโดม...ที่จริงเป็นแฟนเพลงตั้งแต่รุ่นมาตา แม่ของโดมโน้นแน่ะ เขากลัวมาคนเดียวจะเก้อ เป็นยายแก่โดดเดี่ยว เลยชวนยายมาเป็นเพื่อน”
“แหมดีจัง ไปวัดก็ยังไปด้วยกันได้...มากรี๊ดนักร้องด้วยกันแค่นี้ ก็น่าจะได้เหมือนกันเนอะ”
แม่สาวน้อยแซวคนแก่จนน่าโดนตีสักผัวะ คุณกาญจนาคร้านจะสนใจ จึงหันไปคุยกับเลียบเมืองแทน
“คุณเป็นสปอนเซอร์งานนี้จริงหรือ”
“ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้า ถ่อมตัว “เจ้าโดมมันก็เหมือนน้องชายผม แล้วโครงการนี้ก็มีประโยชน์จริง ๆ เลยอยากช่วย”
“อ้าว...ที่ช่วยนี่ไม่ใช่เพราะปันปันอ้อนพี่ปอนเช้าเย็นหรือคะ...แหมอุตสาห์คุยอวดพี่โดมตั้งนาน” เด็กสาวหน้าเหลอ
“ใครเขาจะไปฟังเราล่ะ” เลียบเมืองจิ้มหน้าผากน้องสาวเบา ๆ
ระหว่างคุยกันก็มีร่างสาวใหญ่ ผิวคล้ำ ร่างท้วมคนหนึ่งเดินเข้ามาหา
“สวัสดีค่ะคุณเลียบเมือง” ฝ่ายนั้นทักทายก่อน
“สวัสดีครับคุณแหม่ม” เลียบเมืองรีบยกมือไหว้แทบไม่ทัน คุณแหม่มอายุมากกว่าเขาหลายปี ทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้โดม ทั้งที่บอกอยากลาออกหลายครั้ง แต่ก็ด้วยความระลึกถึงมาตา จึงยังคอยดูแลชายหนุ่มแทนมารดาที่เสียชีวิต
“มากับน้องปันปันหรือคะ แล้วคุณน้องไม่มาด้วยเหรอ” คุณแหม่มถามถึงภรรยาของเขาด้วยนัยน์ตายิ้มล้อเลียน
“พี่น้องติดงานค่ะ งานยุ่งมากเลย เป็นพิธีกรคนดังก็อย่างงี้แหละ ปันปันเลยอาสารับหน้าที่เป็นบอดี้การ์ด คุ้มกันพี่ปอนจากสาว ๆ ทั้งหลาย” แม่สาวน้อยคุยอวด จนพี่ชายต้องเขกศีรษะเบา ๆ
“จริงค่ะน้องปันปัน คุณเลียบเมืองรูปหล่อเสน่ห์แรง ขนาดแต่งงานแล้ว สาว ๆ ยังไม่เว้นเลย” คุณแหม่มเห็นด้วย
“นี่แหละ พี่น้องเขาเลยต้องคอยฝากพี่ปอนกับคนโน้นคนนี้ อยู่ที่ทำงานก็ฝากให้พี่มุกดูให้ ส่วนที่บ้านกับตอนออกงานก็ให้ปันปันรับช่วง” ปันปันพูดราวกับพี่ชายตนเป็นขนมหวานที่ใคร ๆ ก็อยากคว้าไปกิน
“เอ่อ...เข้าไปรอที่ห้องพักข้างในก่อนดีมั้ยคะ โดมกำลังให้ช่างแต่งหน้า ทำผมอยู่” คุณแหม่มถาม
“ไปค่ะ ไปด้วย” ปันปันรีบปล่อยมือพี่ชายไปหาคุณแหม่มทันที
“ไหนว่าจะเป็นบอดี้การ์ดให้พี่ พอรู้ว่าจะไปหาเจ้าโดมก็รีบปล่อยเชียว” เลียบเมืองบ่นแกมฉุน
“เดี๋ยวปันปันโทรตามพี่มุก เลขาพี่พี่ปอนให้มาเป็นบอดี้การ์ดแทนก็ได้” เด็กสาวย่นจมูกใส่ ไม่สนใจ
ชายหนุ่มส่ายหน้าระอาใจก่อนหันไปชวนคุณกาญจนาและเพื่อน
“เข้าไปนั่งรอข้างในด้วยกันมั้ยครับ”
“ไม่ล่ะ เชิญคุณตามสบายเถอะ” คุณกาญจนาบอกอย่างเกรงใจ ทั้งที่มีมือสะกิดยิก ๆ ที่สีข้าง
“แล้วคุณหมอจะเข้าไปตอนไหนครับ” เลียบเมืองถามสองคุณหมอ
“ยังไม่แน่เลย แต่ไม่เป็นไรหรอก เห็นหน้าเจ้าโดมบ่อยจนเบื่อมันแล้วล่ะ” หมอน่านพูดแกมขัน โรงพยาบาลที่เขาทำงานอยู่นั้น พ่อของโดมเป็นเจ้าของ จึงเจอหน้ากันประจำ
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” เลียบเมืองยิ้ม บอกลา ส่วนเจ้าปันปันยกมือไหว้เรียบร้อย
สองพี่น้องคล้อยหลังไม่ทันไร เพื่อนรุ่นน้องคุณกาญจนาก็อดบ่นตามไม่ได้
“แหม...คุณพี่นี่ ไม่เปิดโอกาสให้กันบ้างเลย”
“ดูเขาที่หน้าเวทีดีกว่าน่า ถ้ามีแฟนคลับตามไปหลังเวทีเขาจะไม่สะดวกใจ” คุณกาญจนาพูดกลาง ๆ
“เอ่อ...คุณเลียบเมืองนี่เพิ่งแต่งงานหรือคะ แหมเจ้าสาวคงโชคดีน่าดู ได้แฟนทั้งหล่อทั้งรวยอย่างนี้”
“จ้ะ” คุณกาญจนารับคำสั้น ๆ ไม่อธิบายเพิ่มเติม
เลียบเมืองแต่งงานได้ราวสามสี่ปีแล้วกับคุณน้อง พิธีกรข่าวชื่อดัง เป็นคู่แต่งงานที่ฮือฮาสำหรับคนทั่วไป ผู้ชายทั้งหล่อ เก่ง ฐานะดี ส่วนผู้หญิงก็สวย น่ารัก จิตใจดี คล่องแคล่ว เป็นสาวทำงานยุคใหม่ที่มีทั้งสมองและความถ่อมตัว
หมอน่านกับหมอน้ำทิพย์ได้ยินอย่างนั้นก็อมยิ้ม บางทีถ้าเลียบเมืองได้แต่งงานกับผู้หญิงอีกคน จะนับเป็นเรื่องน่ายินดีกว่านี้ไหม...
น่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสนั้น...
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
บนเวทีคอนเสิร์ตตั้งเปียโนตัวใหญ่ โดมกำลังบรรเลงบทเพลงพลิ้วหวาน ปลายนิ้วพร่างพรมบนคีย์ฟังราวเม็ดฝนกระทบพื้น ทุกหยาดหยดสร้างความชุ่มชื่น เย็นฉ่ำแก่แผ่นดิน สายฝนที่แทรกผสานอยู่ในท่วงทำนองเพลงชวนให้รู้สึกอบอุ่น มีความสุข
เพลง ‘กว่าจะรู้ว่ารัก’ ถูกขับขานอีกครั้งบนเวทีคอนเสิร์ตแห่งนี้ น้ำเสียงที่ขับร้องไม่แฝงความเศร้า หดหู่ กระชากใจอย่างที่เคยได้ยินเมื่อสิบปีที่แล้ว มันมีความอบอุ่น รื่นหู และเต็มอิ่มกับความรู้สึก ‘รัก’ อย่างไม่เคยมีมาก่อน
...กว่าจะรู้ว่ารัก กว่าจะมีวันนี้ ฉันรู้ดีเพราะมีเธอ...เสมอมา...
...จะรักเธอให้มาก มากกว่าเคยรักใคร มากกว่าเธอรักฉัน...สัญญา...
ท้ายเพลงทอดเสียงอ่อนหวาน จบเพลงด้วยรอยยิ้ม เสียงปรบมือดังกระหึ่มกึกก้อง โดมลุกขึ้นยืน โค้งรับกำลังใจจากผู้ฟัง ใบหน้าแช่มชื่นมีความสุข ดวงตามั่นคง มีความเป็นผู้ใหญ่กว่าเก่าก่อน
“ขอบคุณครับ” โดมตอบรับแรงใจด้วยคำขอบคุณ...รอจนเสียงปรบมือซาลงจึงพูดต่อ “ไม่รู้ว่าจะมีใครจำเพลงนี้ได้หรือเปล่า...ชื่อเพลง กว่าจะรู้ว่ารัก นะครับ”
สิ้นคำพูดก็มีเสียงตะโกนจากผู้ชมว่า “จำได้...จำได้...อยากฟังอีก”
โดมยิ้มรับ พูดต่อ...
“ผมไม่เคยคิดว่าจะสามารถร้องเพลงนี้ได้อีก...จนมาถึงตอนนี้” ชายหนุ่มทอดสายตาไปไกล อดีตถูกทบทวนขึ้นในใจ แสงไฟที่สาดใส่ใบหน้าทำให้เห็นผู้ชมเป็นเงาดำ ๆ ป้ายไฟที่ยกเชียร์แลดูวิบวับกลางทะเล ผู้ชม
เพลงกว่าจะรู้ว่ารัก...เคยเป็นเพลงที่แสลงใจ ได้ยินคราวใดใจจะเจ็บปวด เคยคิดว่าไม่สามารถร้องมันได้ อีกแล้ว...ใครจะคาด...สิบปีผ่านไป เขากลับบรรเลงขับขานมันบนเวทีคอนเสิร์ต ด้วยใจที่เป็นสุข...
“...กว่าจะรู้ว่ารัก...เป็นเพลงที่ผมได้แรงบันดาลใจมาจากแม่...อยากให้แม่หายป่วย อยากให้แม่ฟื้นขึ้นมารับคำขอโทษจากลูกชายอย่างผม”
ภายในฮอลล์เงียบงัน ร่วมรับรู้ความรู้สึกเดียวกับชายหนุ่มบนเวที
“มีผู้หญิงคนหนึ่ง บอกผมว่า...กว่าผมจะรู้ว่ารักแม่แค่ไหน ตอนนั้นผมก็เสียแม่ไปแล้ว...แต่เวลานี้พ่อผมยังอยู่...ผมยังมีโอกาสที่จะรักเขา มีโอกาสที่จะรู้ว่าเขารักผมมากแค่ไหน...” โดมหยุดคำพูดทิ้งจังหวะสั้น ๆ ก่อนปิดท้าย...
“...และสิบปีที่ผ่านมานี้ ผมได้ใช้โอกาสนั้นอย่างเต็มที่แล้ว...ขอเสียงปรบมือให้กับคุณหมอนภัทร...พ่อของผมด้วยครับ”
สปอตไลท์ส่องจับร่างคุณหมอที่นั่งอยู่แถวหน้า...เสียงปรบมือดังกราวเรียกให้หมอนภัทรลุกขึ้นโค้งรับ ขอบคุณ
“คุณพ่อผมเป็นหมอที่เชี่ยวชาญเรื่องการรักษาโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาว...เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจให้เกิดคอนเสิร์ตวันนี้...และ....ขอบคุณครับพ่อ ที่เยอมให้โอกาส จนผมมีวันนี้ได้”
โดมพูดจากหัวใจจริง เวลานี้ไม่จำเป็นต้องพูดคำว่า ‘รัก’ ให้พร่ำเพรื่อ เวลาที่ผ่านมาหลายปีล้วนสอนให้สองพ่อลูกรู้จัก และเข้าใจกันกว่าเดิม
“นอกจากพ่อกับแม่แล้ว ยังมีผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ที่เป็นแรงบันดาลใจสำคัญของผม...เป็นแรงบันดาลใจ ให้ผมอยากช่วยผู้ป่วยโรคมะเร็ง...”
เสียงฮือฮาดังกราวจากเหล่าแฟนคลับ
“ตลอดสิบปีที่อยู่ในวงการบันเทิง ผมมักจะมีข่าวกับสาวคนนั้นคนนี้เสมอ จริงบ้างไม่จริงบ้าง แล้วแต่จะเขียนกันไป...ผมอยากจะบอกตรงนี้เลยว่า...ตั้งแต่โตมาจนถึงวันนี้ มีผู้หญิงคนเดียวที่ผมอยากแต่งงานด้วย...คือเธอคนนั้นครับ!”
ผู้ชมเป่าปาก ปรบมือ เสียงฮือฮา สาว ๆ กรี๊ดชอบใจสนั่นฮอลล์
โดมรอจนเสียงเหล่านั้นซาลงจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ช้า ๆ
“น่าเสียดาย...ที่ผมไม่มีโอกาสนั้นแล้ว”
ทั้งฮอลล์เงียบกริบ ชายหนุ่มมองป้ายไฟที่วับแวมท่ามกลางหมู่คน มองนิ่งคล้ายค้นหาใครบางคน กล้องจับใบหน้าเขาเต็ม ๆ เห็นแววตามีความหวาน อบอุ่นอย่างไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยนัก
“เธอคนนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้ผมมากมาย...เป็นผู้หญิงที่อยู่ใกล้เวลาผมลำบาก คอยเป็นแรงสนับสนุนเวลาผมลังเล ท้อใจ และเป็นแรงผลักดันให้ผมลุกขึ้นสู้ ในวันที่ล้มอย่างแรง หมดท่า ไม่อยากมีชีวิตอยู่”
ความเงียบยังดำเนินต่อเพื่อรอคอยฟังเรื่องราวจากคนบนเวที
“เธอเป็นผู้หญิงมหัศจรรย์ที่สุดเท่าที่ผมเคยพบ...ทั้งที่รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็ง ไม่สบายขนาดนั้น เธอยังเที่ยวให้กำลังใจคนอื่น คอยช่วยเหลือใคร ๆ โดยไม่ห่วงสุขภาพตัวเอง”
“เธอทำคีโมบำบัดอยู่เกือบปีก็ไม่หาย...ผมโกรธหมอที่รักษา จะไปโวยวาย เอาเรื่อง...เธอกลับบอกผมว่า...หมอคนนั้นทำดีที่สุดแล้ว...ให้ผมไปขอบคุณเขา...คุณหมอนภัทร พ่อของผมเอง...”
“เธอบอกว่า...พ่อรักผมมาก...รักมากจนสามารถเผื่อแผ่ความรัก ความเมตตามาถึงเธอได้...”
โดมเริ่มพูดไม่ออก ลำคอจุกตัน มือกดไมค์แน่นเพื่อเรียกสติกลับมา
“ยังดีที่เธอมีโอกาสเปลี่ยนถ่ายไขกระดูก ทุกคนมีความหวังว่าเธอจะหาย...แต่มันก็เหมือนโดนโรคร้ายกลั่นแกล้ง...มันไร้ผล...เซลล์มะเร็งยังอยู่”
ความวังเวงแผ่ซ่านไปทั่วฮอลล์ ราวกับทุกคนร่วมรับรู้ เห็นใจ “ผู้หญิงคนนั้น”
“ทุกคนเสียใจ ท้อถอย ทำอะไรไม่ถูก แต่เธอกลับสดใส ยิ้มให้กำลังใจทุกคน...แล้วเที่ยวบอกใคร ๆ ว่าจะเศร้าไปทำไม...วันนี้เธอยังมีชีวิตอยู่นะ ให้ทุกคนมีความสุขอยู่กับปัจจุบันสิ อย่ากลัวอนาคตที่ยังมาไม่ถึงเลย”
ทุกคนในฮอลล์ปรบมือ ชื่นชมน้ำใจของเธอ
โดมก้มศีรษะรับ แววตามีรำลึกอันงดงาม
“เธอใช้เวลาช่วงนั้นไปปฏิบัติธรรมกับคุณย่ามาลัย...บันทึกทุกคำสอนของท่านเอาไว้ จนท่านเสียชีวิตเธอก็ถอดเทปของคุณย่าออกมาพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ ‘ก่อนตาย’ ซึ่งทุกคนคงได้รับแจกจากบูธหน้างานนี้แล้ว...ผมอยากจะบอกว่า...นี่เป็นหนังสือที่ทุกคนควรอ่านก่อนตายจริง ๆ”
ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ โดมเดินไปที่หน้าเวที
“เธอและหนังสือเล่มนั้นทำให้เกิดคอนเสิร์ตวันนี้ครับ”
“ผมเขียนเพลงใหม่ขึ้นมาเพลงนึง โดยใช้แรงบันดาลใจจากเธอ ก็เลยขอใช้ชื่อของเธอเป็นชื่อเพลงด้วย...”
เสียงดนตรีแบคอัพดังคลอขึ้นช้า ๆ
“เพลงนี้ชื่อ...ลานน้ำค้าง”
จบคำพูด เสียงปรบมือดังต้อนรับแทบถล่มฮอลล์...ดนตรีขึ้น บทเพลงถูกขับขาน...
...วะวิบ ระยิบยับ จับตา...หยาดน้ำบนยอดหญ้า...ยามเช้า...
...พราว พราว ใส ใส งดงาม ทอดตัวกลางทะเลหญ้า..ชื่นบาน...
ลานน้ำค้าง บนปลายหญ้า สวยนักหนา อยากเก็บไว้ ให้เนิ่นนาน
ขอร้อง อยู่อย่างนั้น อย่าไปไหน อย่าเปลี่ยนไป...ได้ไหม
พอโดมร้องมาถึงท่อนนี้ก็ปล่อยให้ดนตรีบรรเลงคั่นยาว แสงไฟจากสปอตไลท์ส่องจับยังด้านข้างเวที มีชายหนุ่มคนหนึ่งเข็นรถหญิงสาวใบหน้าผ่องใส ร่างผอม บอบบางออกมา
แดดมาแล้ว...ฟ้าใส...สว่างแล้วหนอ จะรออะไร...
หยาดน้ำค้าง เกาะปลายหญ้า ล้วนลับระเหยหาย...ธรรมดา
เสียงหวานใสจับใจผู้ฟังนี้ มาจากหญิงสาวบนรถเข็น ชายหนุ่มผู้อยู่ด้านหลัง คอยประคองรถ ระวังเธออย่างทะนุถนอม เป็นภาพงดงามน่าชื่นชม...
“ขอเสียงปรบมือให้กับคุณลานน้ำค้าง ผู้หญิงที่เป็นแรงบันดาลใจ และพี่บู...บูรพา พี่ชายที่แสนดีของผมครับ” โดมตะโกนแนะนำ ผู้ชมปรบมือต้อนรับเกรียวกราว ลานน้ำค้างกับบูรพาต่างยิ้มรับ เสียงเพลงยังขับขานต่ออีกท่อน
ลานน้ำค้างจางหาย แปรเป็นเถ้า ลอยลับ อยู่นานที่ไหน
ความงดงามที่เห็น...แค่มายา ชั่วคราว มาแล้วก็ไป...
บูรพาเข็นรถลานน้ำค้างมายังข้างเปียโน โดมเดินกลับจากหน้าเวที มาที่สองหนุ่มสาว คุกเข่าลงกุมมือลานน้ำค้างแล้วพูดขอบคุณเบา ๆ พอได้ยินสองคน
“ขอบคุณครับที่ขึ้นมาช่วยร้องเพลงนี้...ถ้าคุณไม่ขึ้นมา คอนเสิร์ตนี้ต้องไม่สมบูรณ์แน่ ๆ”
สาวกแฟนคลับกรี๊ดกันฮอลล์แทบถล่ม โดมยิ้มสวยลุกขึ้นนั่งหน้าเปียโน พลิ้วปลายนิ้ว บรรเลงดนตรีช่วงกลาง ก่อนเข้าสู่เนื้อเพลงท่อนสุดท้าย...
คุณดาริกามองภาพบนเวทีด้วยแววตาชื่นชม...คิดไม่ถึง เวลาจะผ่านมานานถึงสิบปี...
ช่วงเวลาสิบปีนี้ลานน้ำค้างจวนเจียนจะเสียชีวิตหลายครั้ง แต่เธอก็รอดมาได้...
เลียบเมืองขอลานน้ำค้างแต่งงานตั้งแต่รู้ว่าไม่อาจรักษาหาย แต่หญิงสาวตอบปฏิเสธ ไม่ต้องการเป็นภาระให้เขา และเพื่อจะได้ภาวนา เรียนธรรมะกับคุณย่ามาลัยเต็มที่
ชายหนุ่มไม่ท้อถอย พยายามหว่านล้อม แสดงน้ำใสใจจริงให้เห็น ยอมกระทั่งตามไปปฏิบัติธรรมด้วย ก็ยังไม่สำเร็จ
ช่วงเวลานั้นบูรพาเพิ่งเรียนจบ เริ่มต้นทำงาน เขาจึงยอมนิ่ง และเฝ้ามองเงียบ ๆ ไม่แสดงท่าทีใด ๆ แค่พาลานน้ำค้างไปหาคุณย่ามาลัยตามปกติ เฝ้าศึกษา ปฏิบัติธรรมตามโดยไม่คาดหมายอะไร ปล่อยให้ทุกสิ่งดำเนินไปตามครรลองของมัน
ผ่านไปเป็นปี ๆ เลียบเมืองมีภาระงานมากยิ่งขึ้น ปันปันเริ่มโต เขาต้องดูแลเอาใจและค่อย ๆ เปิดเผยความจริงแก่แม่หนูทีละน้อย ซึ่งนับเป็นงานที่ยากยิ่ง แต่ก็สำเร็จในที่สุด
ช่วงเวลานั้นเขาห่างจากลานน้ำค้าง และมองเห็นบางอย่างในหัวใจ...ว่าความรักของตนนั้นไม่ได้หนักแน่นมั่นคงเท่ากับผู้ชายอีกคนหนึ่ง...
หลังจากคุณย่ามาลัยเสียชีวิตได้สาม - สี่ปี บูรพาพอจะมีความพร้อม มั่นคงทางด้านการงานอาชีพ อีกทั้งเลียบเมืองก็ยอมถอย หลังจากเห็นว่าไม่มีทางทำให้หญิงสาวยอมแต่งงานได้
บูรพาจึงใช้โอกาสนี้พูดจาบางอย่างกับลานน้ำค้าง
“ทำไมเธอไม่รับปากแต่งงานกับคุณเลียบเมือง” เขาถามอย่างจริงจัง
“แกก็รู้ว่าฉันจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ จะมาเสียเวลากับเรื่องแต่งงานทำไม” หญิงสาวบอกเหตุผลที่ใช้ปฏิเสธเลียบเมืองโดยไม่เห็นเป็นความลับ
“แล้วใครที่ชอบบอกให้คนอื่นเขาอยู่กับปัจจุบัน” บูรพาแย้ง หญิงสาวพูดไม่ออก
ครู่หนึ่ง ลานน้ำค้างจึงพยายามเรียบเรียงคำพูด คำอธิบายเพื่อบอกแก่บูรพาให้ชัดเจน
“เวลานี้ การแต่งงานมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ มากเกินไปกว่าได้เจริญภาวนา ตามที่คุณย่ามาลัยสอน”
“หรือว่าเธอไม่ได้รักคุณเลียบเมืองจริงอย่างที่เคยบอก” บูรพาถามต่อ
หญิงสาวนิ่งชั่วครู่ ก่อนให้คำตอบตรงไปตรงมา
“การที่ฉันปฏิเสธการแต่งงานไม่ได้หมายความว่าปฏิเสธความรัก”
บูรพานิ่งฟัง...เข้าใจ ลานน้ำค้างเคยเปิดเผยหัวใจตนมาแล้วครั้งหนึ่ง และไม่จำเป็นต้องมาพูดซ้ำอีก
คำบอก ‘รัก’ ย่อมไม่ใช่วาจาพร่ำเพรื่อ
ทว่าความรัก ก็ส่วนความรัก การแต่งงานก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง กับคนที่มองเห็นความตายอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก ต่อให้มีความรักเต็มหัวใจ ก็ไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะสร้างภาระแก่ผู้อื่นด้วยการแต่งงาน
“ถ้าอย่างนั้น เราจะไม่ขอเธอแต่งงานอย่างคุณเลียบเมือง” บูรพาพูดช้า ๆ ลานน้ำค้างมองตาเขา รอคำพูดที่จะติดตามมา...
“แต่ขอโอกาส...ให้เราได้ดูแลเธอ...ได้มั้ย”
หญิงสาวระบายลมหายใจแผ่วเบา สัมผัสชัดถึงกระแสความแห่งความจริงใจ
“ดูแลยังไง...แบบไหน?” คำถามจี้เอาจริง
“ดูแลก็คือดูแล...พาเธอไปหาหมอตอนป่วย พาเธอไปวัดตอนอยากทำบุญ อยู่เป็นเพื่อนตอนนั่งฟังเทศน์ พาเธอไปปฏิบัติธรรมตอนที่แข็งแรง...และอยู่ใกล้ ๆ ทุกครั้งที่เธอต้องการ”
บูรพาพูดยืดยาว หากในดวงตาเขามันบอกความหมายลึกซึ้งยิ่งกว่าวาจา
หัวใจลานน้ำค้างเกิดอาการสะท้าน หวั่นไหว ส่วนลึกภายใน สัมผัสถึงจิตใจของอีกฝ่ายที่แสดงความพร้อมร่วมเดินไปบนเส้นทางเดียวกัน
“แล้ว...จะขอโอกาสนี้นานแค่ไหน” คำถามจากลานน้ำค้าง เกือบจะเหมือนการตอบรับ
“จนกว่า...เธอจะไม่ต้องการ ไม่จำเป็นต้องใช้เราอีก” บูรพาตอบ หญิงสาวยิ้มละไม เข้าใจความนัยที่ซ่อนไว้อย่างสวยงาม...
จนกว่าเธอจะไม่ต้องการ...ย่อมหมายถึง จนกว่าจะไม่มีเธออีกต่อไป
“มันเลื่อนลอยไปหน่อย...” นัยน์ตาลานน้ำค้างทอประกายสุกใส “ขอแบบมีกำหนดเวลาดีมั้ย”
บูรพาหัวเราะเบา ๆ
“งั้นขอโอกาสแรกอยู่ที่สิบปีก่อน จากนั้นค่อยต่อสัญญา...”
สองหนุ่มสาวยิ้มให้กัน สัญญาจากใจ ย่อมมีหัวใจของกันและกันรับรอง
หลังจากนั้นไม่ทราบว่าเรื่องที่พูดคุย ตกลงกันนี้รู้ไปถึงหูคุณดาริกา และคนอื่น ๆ ได้อย่างไร
ทุกคนที่รับรู้ล้วนยินดี ยิ้มแย้ม เบิกบาน แทบไม่ต่างจากได้รับข่าวการแต่งงาน
เลียบเมืองยกนิ้วให้ ยอมรับในตัวบูรพา นึกแปลกใจที่ตนเองไม่เคยคิดจะพูดแบบนี้มาก่อน
โดมยอมรับในตัวบูรพาอยู่แล้ว และเมื่อลานน้ำค้างให้โอกาสแก่บูรพา ก็เหมือนกับเขาได้โอกาสนั้นด้วย
คนที่ร้องห่มร้องไห้อย่างผิดคาด คือลุงคงเดช ที่หวังจะเห็นงานแต่งงาน เห็นตนได้เป็นพ่อเจ้าบ่าว...เมื่อทั้งสองตกลงกันอย่างนี้ ตัวแกก็พยายามเข้าใจ และยินดี
บูรพากับลานน้ำค้างเห็นปฏิกิริยาจากคนรอบข้างแล้วก็นึกขัน ในใจรับรู้กันสองคนว่า...เวลาที่เหลืออยู่ ควรเป็นเวลาแห่งการสนับสนุน ส่งเสริมกันให้ร่วมเดินบนเส้นทางธรรม
เพราะการร่วมเจริญสติ ภาวนา บนเส้นทางสายธรรมะนี้ ทำให้ใจทั้งสองสามารถผสานกันทางจิตวิญญาณ ซึ่งมั่นคง งดงามเหนือกว่าพิธีวิวาห์ใด ๆ
มันยิ่งใหญ่ กว้างขวางกว่าความรักแบบโลก ๆ ที่เปลี่ยนแปร และพาให้แยกจากกันทุกขณะจิตใจ...
ยิ่งนานเลียบเมืองกับโดมก็มองเห็นลานน้ำค้างยิ่งผุดผ่อง อิ่มเอิบ ทั้งที่ร่างกายทรุดโทรมเต็มที่ ทำให้พวกเขารู้สึกถึงระยะห่างทางจิตใจของพวกตนกับหญิงสาวชัดเจน
ส่วนบูรพาเหมือนจะไม่มีอะไร แต่บางครั้งจะสังเกตเห็นดวงตาเขามีความอ่อนโยน สงบเย็นอย่างเลียบเมือง โดมไม่เคยเป็น ทำให้สองหนุ่มยอมรับว่า...มีแต่ผู้ชายคนนี้ที่เหมาะสมสำหรับลานน้ำค้าง
หลังจากนั้นปีเศษ ลานน้ำค้างอาการกำเริบต้องเข้าโรงพยาบาล ทุกคนเป็นห่วงกังวล กระสับกระส่าย โดมแทบคลั่ง เลียบเมืองทำงานไม่ได้ มีแต่บูรพาที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องด้วยอาการปกติ โดมเข้าไปถามว่าทำไมเขาถึงยังเยือกเย็นอยู่ได้...คำตอบคือ...
“พี่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอ...ถ้าลานเขาต้องไปจริง ๆ พี่ก็เชื่อว่าเขาปลอดภัยแล้ว ย่อมไปดีแน่นอน แต่ถ้ารอด เขาก็จะได้มีโอกาสภาวนาต่อเพื่อบูชาคุณครูบาอาจารย์ และพระพุทธองค์จนถึงที่สุด”
โดมฟังไม่เข้าใจ แต่คุณดาริกาที่นั่งข้าง ๆ เข้าใจดี...พอวางใจได้เช่นนั้นเธอก็รู้สึกโปร่งเบา มีความสุข...
สิบปีหลังจากเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกไม่สำเร็จ...ลานน้ำค้างยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็เหลือแสงเทียนอายุขัยริบหรี่เต็มทน
โดมพูดถึงเรื่องทางบริษัทจะทำคอนเสิร์ตครบรอบสิบปีให้ตนเอง ลานน้ำค้างได้ยินจึงเสนอว่าทำเป็นคอนเสิร์ตการกุศลดีไหม ได้ประโยชน์และเป็นการให้โดมทำบุญด้วย
โดมสนใจอยากทำ แต่มีข้อแม้...ขอให้ลานน้ำค้างขึ้นเวทีกับเขา เพื่อเป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้ป่วยโรคมะเร็งอีกจำนวนมาก จะได้มีกำลังใจต่อสู้กับโรคร้ายเช่นเธอ
ลานน้ำค้างมองเห็นประโยชน์จริงตามนั้นจึงยินยอม
นั่นคือที่มาของภาพบนเวทีขณะนี้...
คุณดาริกามองภาพหนุ่มสาวบนเวทีรู้สึกราวกับเป็นภาพที่เหมาะสม ลงตัว งดงามด้วยจิตวิญญาณในรอยทางเดียวกัน ความอบอุ่น อ่อนโยน สงบเย็นแผ่กระจายออกมาจนคนดูล้วนสัมผัสได้
ปันปันนั่งด้านข้างกำลังร้องไห้...ร้องไห้กับภาพที่เห็น
“ร้องไห้ทำไมลูก” คุณดาริกากระซิบถาม
“พี่ลานสวย...สวยจังเลย” แม่สาวน้อยพูดกลั้นสะอื้น “ทั้งพี่ลานกับพี่หมูก็สว่างมาก สวยสมกัน...แต่...”
พูดถึงตอนนี้เด็กสาวไม่กล้าพูดต่อ...คุณดาริกาเข้าใจ บีบมือปันปันเบา ๆ
“อีกไม่นานใช่มั้ยลูก” ผู้สูงวัยไม่สงสัยสัมผัสบางอย่างจากเด็กสาวคนนี้ ตั้งแต่เธอบอกว่าได้พบ...กลางนภา สามีของเธอ
“ค่ะ...ไม่นาน” ปันปันสะอื้นฮัก...สัมผัสรู้ในใจบอกชัดเจน
เมื่อก่อนไม่ว่าพี่ลานจะเข้าโรงพยาบาลกี่ครั้ง เธอมักรู้สึกว่าไม่เป็นไร...ยังไม่ถึงเวลา...
ทว่ายามนี้ ยามเห็นพี่ลานกำลังร้องเพลงด้วยความสวย สว่างใส ใจของเธอก็กระตุกวาบ บอกกับตัวเองว่า จะไม่มีโอกาสได้เห็นอย่างนี้อีกแล้ว
“จ้ะ...ไม่เป็นไร...พี่เขาไม่เสียชาติที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วล่ะ” คุณดาริกาตอบอย่างเชื่อมั่น
ปันปันพยักหน้า ป้ายน้ำตา ยอมรับ...พี่ลานมีความใส สว่างยิ่งกว่าใคร จนเธอรู้ว่าพี่ปอนของเธอไม่คู่ควรด้วย...มีแต่พี่หมูเท่านั้นที่มีความใสใกล้เคียง เป็นคู่ที่เหมาะสม ลงตัว
เพลง ‘ลานน้ำค้าง’ ร้องมาถึงท่อนสุดท้าย โดมร้องคู่กับลานน้ำค้าง พร้อมกับบรรเลงเปียโนตาม...
ขอแค่รู้...รู้ให้ทัน...ยอมรับมัน ตามเป็นจริง
อัปลักษณ์ หรือสวยงาม แค่ชั่วคราว ลอยลับ ไม่มีตัวตน
...ทุกสิ่งในโลก...ไม่ผิดจากนี้ ทั่วแห่งหน...
...ใจรู้ได้ ยอมรับมัน หมดยึดมั่น วางลง ย่อมสู่อิสระ ทุกผู้คน...
บทเพลงจบลงทิ้งท้าย จับใจ เสียงปรบมือดังกระหึ่มก้อง...ยาวนาน...นานกว่าทุกเพลงในคอนเสิร์ตนี้...
เสียงดนตรีทอดแผ่วเบาลงจนเงียบหาย เสียงปรบมือค่อยซา ลานน้ำค้างพยายามลุกจากเก้าอี้เข็น บูรพายื่นแขนให้เกาะ คอยโอบไหล่ประคองไม่ให้ล้ม พอยืนได้ที่หญิงสาวก็ยกมือไหว้ ขอบคุณผู้ชม
เจ้าของเวทีอย่างโดมเป็นฝ่ายเริ่มปรบมือให้แก่ทั้งสองอีกครั้ง คราวนี้เสียงปรบมือจากรอบฮอลล์ดังยาวนาน เสมือนเป็นการขานรับ ชื่นชมกำลังใจในการยืนหยัดต่อโรคร้ายของหญิงสาวผู้นี้
ภาพความอบอุ่น มีความสุขเช่นนี้ ปรากฏแก่สายตา และความรู้สึกของทุกคน...
ทว่า มันคงอยู่ได้ไม่นานนัก สุดท้ายก็ย่อมลาลับหายไป
สุข – ทุกข์ เรื่องดี - เรื่องร้ายก็ล้วนเป็นของชั่วคราว
ชีวิตเกิดมาต้องตายไม่มีทางเลี่ยง
แต่ในชั่วชีวิตหนึ่ง หากมีโอกาสได้เรียนรู้ความจริงแห่งธรรมะ
ความจริงที่ปรากฏในกาย ปรากฏในใจอย่างถ่องแท้
อย่างนั้น...
เชื่อเถอะว่า คุณไม่มีทางเสีย “ชาติ” ที่ได้เกิดมาแน่นอน
- - - - - - - - - - - - อวสาน - - - - - - - - - - - -
< Prev | Next > |
---|