ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer
จะนำปีติที่เกิดขึ้นมาเป็นประโยชน์ในการเจริญสติได้อย่างไร
ถาม- ถ้าหากว่าเราสวดมนต์ ฟังธรรม หรือระลึกถึงพระพุทธเจ้า
แล้วเกิดปีติจนน้ำตาคลอ หรือบางครั้งมีปีติรุนแรงจนน้ำตาไหล
แบบนี้จะทำให้การปฏิบัติเนิ่นช้าหรือไม่
และจะนำมาปีติใช้ประโยชน์ให้การเจริญสติของเราก้าวหน้าได้อย่างไร
ปีติที่แรงนี่นะมันก็มีดี มีข้อดีทำให้เกิดกำลังมาก
เพราะปีติ พูดง่ายๆ นะ ตัวรักษาตัวหล่อเลี้ยงสภาพของจิต
ให้มีความไม่วอกแวกไปจากอารมณ์ที่เรากำลังตั้งอยู่
ณ ขณะนั้น ที่เรากำลังโฟกัส ที่เรากำลังจดจ่ออยู่
แต่ปีติที่มากเกินไปหรือแรงเกินไป ทำให้เกินความไขว้เขว
ทำให้เกิดความกระสับกระส่ายขึ้นมาได้
อย่างพอระลึกถึงพุทธคุณ แทนที่จะเกิดปีติแบบเย็นซ่านซึ่งเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสมาธิ
เป็นปีติรุนแรงทำให้ร้องไห้สะอึกสะอื้นตัวโยกตัวโยน แล้วก็เกิดความกังวลขึ้นมา
เกิดความอับอายขายหน้าเวลาที่อยู่ต่อหน้าธารกำนัล
เขาเห็นเราร้องห่มร้องไห้ อะไรแบบนี้ ก็อาจจะเกิดความรู้สึกกังวล เสียสมาธิไปได้
หรือถ้าเราเคยได้ยินมาว่าการมีปีติมากเกินไป การเพลิดเพลินไปกับสมาธิมากเกินไป
เป็นเหตุให้การเจริญสติเนิ่นช้า สมาธิไม่ตั้งมั่น
อันนี้ก็เป็นคำกล่าวเพื่อไม่ให้เราหลงทางไปตามแรงดันของปีติมากเกินไป
แต่ถ้าเราเป็นห่วงเกินไป เป็นห่วงว่าจะไม่ได้ความก้าวหน้า
ตัวนี้มันก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะถ่วงความเจริญของสติได้เหมือนกัน
คือเพลินเกินไปกับห่วงเกินไป
มันมีผลเป็นตัวถ่วงเท่าๆ กัน ไม่ได้มีความแตกต่างกัน
เพราะว่ามันทำให้จิตใจของเรานี่ไม่เป็นปกติ
ทำให้จิตใจของเรามีความรู้สึกฟุ้งซ่านไปในเรื่องที่มันไม่ได้เป็นปัญหา
เราไปทำให้มันกลายเป็นปัญหาขึ้นมานะครับ
ตัวปีติถ้าหากว่าพิจารณาตามสภาพธรรม
พระพุทธเจ้าให้พิจารณาว่าเป็นสังขารธรรมชนิดหนึ่ง
คือมันแตกต่างจากสุขเวทนา สุขเวทนานี่เป็นความรู้สึกอันเย็น อันเบา อันสบาย
แต่ปีตินี่มันมีความเข้มความอ่อน มันมีแรงดัน
มันมีความรู้สึกทางกายที่บางทีเหมือนผิดจากธรรมดา
เย็นมากกว่าปกติหรือว่าถึงขนาดน้ำหูน้ำตาไหลอะไรแบบนี้
เขาเรียกว่าเป็นการปรุงแต่งทางจิตที่เกินไปกว่าความสุขความสบาย
เราสามารถเห็นเป็นสังขารขันธ์ได้
เมื่อเห็นเป็นขันธ์ชนิดหนึ่ง หมายถึงว่าเป็นการปรุงแต่งสภาวะทางใจชนิดหนึ่ง
เราก็จะเข้าใจละว่าจะมองมันอย่างไร
มองมันโดยความเป็นของไม่เที่ยงครับ
ปีตินี่นะไม่ว่าจะฉีดขึ้นมาแรงแค่ไหนก็ตาม
มันจะมีลักษณะที่ชัดเจนที่แสดงออกมาจากภายใน
เป็นอาการที่ผุดพลุ่งขึ้นมาของความซาบซ่าน
หรือว่าเป็นน้ำตาที่ออกมาจากเบ้าตา หรือว่าเป็นอาการขนลุกขนพองทางกาย
ไม่ว่าอาการนั้นจะแสดงชัดเด่นทางกายหรือทางใจ
ก็ขอให้พิจารณาว่า คือท่องไว้เลยนะว่าเป็นสังขารขันธ์
เมื่อเรามองว่าเป็นสังขารขันธ์แล้วเฝ้าติดตามอยู่ เฝ้าดูอยู่
ว่าระดับความรุนแรงของมันมีความเที่ยงหรือไม่เที่ยง
ต่อให้มันฉีดแรงสักห้านาที ก็ดูไปห้านาทีโดยที่ไม่กังวล
ไม่ไปมัวแต่เฝ้าคิดคำนึงว่ามันจะเป็นตัวถ่วงความเจริญของเราหรือเปล่า
เมื่อเราเล็งอยู่ เมื่อเราเฝ้าดูอยู่ ว่ามันเที่ยงหรือไม่เที่ยง
ในที่สุดเราก็จะเห็นว่าระดับอาการฉีดของปีตินี่นะมันลดระดับลง
เหมือนน้ำพุที่พุ่งขึ้นไปสิบเมตรได้ ในที่สุดมันก็ลดระดับลง
เมื่อแรงดันมันตกลง ระดับของน้ำพุก็อาจจะเหลือห้าเมตร
หรืออาจจะเหลือสองเมตร อาจจะเหลือหนึ่งเมตร
ไม่ว่ามันจะเพิ่มหรือลดแค่ไหน
เรามีสติตามรู้ตามดูเท่าที่มันกำลังปรากฏอยู่ตามจริงนั่นแหละ
นี่เป็นประโยชน์แล้ว ประโยชน์ตรงที่เราสามารถเห็นสังขารขันธ์
ซึ่งเป็นขันธ์ชนิดหนึ่งแสดงความไม่เที่ยงได้
แล้วทำให้จิตของเรานี่ถอยออกมาจากความยึดมั่นถือมั่น
ว่ามันเป็นตัวเป็นตน หรือว่ามันน่าห่วงน่ากังวลได้
อะไรก็แล้วแต่ที่เราเห็นว่ามันไม่เที่ยง
แล้วเราลดความกังวลเกี่ยวกับมัน ลดความยึดมั่นถือมั่นเกี่ยวกับมันลงได้
เป็นประโยชน์ทั้งสิ้นในการเจริญสติ
อย่าเห็นมันเป็นอุปสรรคนะครับ มันจะไม่เนิ่นช้าออกไปนะ
ตรงข้ามมันจะทำให้เราก้าวเข้าสู่ ก้าวไปเข้าที่เข้าทางได้เร็วขึ้นด้วยซ้ำ
เพราะปีตินี่เป็นของชัด เป็นของปรากฏที่ไม่ต้องพยายามเค้น ไม่ต้องพยายามเพ่ง
มันปรากฏอยู่ชัดๆ ให้รู้สึกทางกายทางใจเลย
< Prev | Next > |
---|