ดับเพลิง Calm Down
นิทานโทสะ ตอน หลานปู่กับเด็กข้างบ้าน
โดย ชลนิล
รูปภาพประกอบโดย เซมเบ้
“ต้นข้าว สวัสดีปู่น้อยสิ!”
หา...นี่ผมเป็นปู่ไปแล้วเหรอ?
รุ่นพี่ที่เออร์ลี่รีไทร์แวะมาเยี่ยมที่ทำงาน พร้อมกับหลานสาวตัวอ้วน กลมป๊อก แก้มเป็นพวง ยกมือไหว้อย่างเด็กได้รับการอบรมมาดี
ผมยอมรับสภาพตัวเองอย่างปลง ๆ ในเมื่อปู่ของเด็กเป็นรุ่นพี่ผม...พ่อแม่หนูนี่ก็เรียกผมว่าอา แล้วจะไม่ให้เจ้าตัวกลมเรียกผมเป็น “ปู่น้อย” ได้ยังไง...เฮ้อ เครียด...
แม่หนูต้นข้าวอายุได้ขวบเศษ ๆ ยังพูดไม่ได้ แต่เดินคล่อง ยิ้มเก่ง หน้าแป้นแล้น ไม่มีอาการตื่นกลัวอย่างเด็กแปลกที่ หนำซ้ำยังซุกซนเดินเล่นโน้น เล่นนี่แบบเด็กอยากรู้อยากเห็น จนผู้ใหญ่ต่างเอ็นดู
ต้นข้าวนั่งเล่นหน้าคอมพ์ของที่ทำงาน พยายามจะกดปุ่มบนแป้น คุณปู่ก็ร้องเตือนเสียงเอ็นดู
“อย่าเล่นนะลูก เดี๋ยวของเขาเสีย...”
เชื่อเหอะ...ไม่มีเด็กคนไหนยอมทำตามหรอก
เจ้าตัวซนนั่งกดแป้นเล่นตามประสา ผมก็นึกเสียวว่าแกจะทำข้อมูลในเครื่องหาย หาทางเบี่ยงเบนความสนใจ พอดีมีกล้องดิจิตอลในมือ เลยเรียกให้ต้นข้าวหันมาแล้วถ่ายรูป เปิดภาพให้แม่หนูดูรูปตัวเอง
ได้ผลเกินคาด เจ้าตัวกลมเห็นรูปตัวเองก็ลงจากเก้าอี้ เดินเข้ามาหากล้องของผม ซึ่งตอนนั้นผมเพิ่งนึกได้ว่ากล้องตัวนี้มันราคาแพงกว่าคอมพิวเตอร์เสียอีก ไม่สมควรให้ถึงมือเด็กด้วยประการทั้งปวง
“เอ๊ย...เล่นไม่ได้ กล้องมันแพง” ผมรีบบอก แล้วเอากล้องหลบจากมือเจ้าต้นข้าวทันที
แม่หนูเห็นอย่างนั้นก็หน้าบึ้ง วิ่งไปกอดปู่ แล้วทุบขาปู่ตัวเองดังอั้กอั้ก ระบายอารมณ์ที่ถูกขัดใจ
ผมก็เหวอรับประทาน...อะไรกันวะเนี่ย ตะกี้ยังยิ้มเล่นอยู่ดี ๆ แค่ขัดใจนิดเดียว แม่คุณเกิดโทสะไปลงที่ปู่เสียแล้ว
คุณปู่ก็ไม่ถือสา ปลอบหลานสาวอย่างใจเย็น ส่วนผมรีบเอากล้องไปซ่อนไม่ให้เจ้าตัวร้ายเห็น...แค่แป๊บเดียว ต้นข้าวก็หายโกรธ กลับไปหาของเล่นอื่นอย่างกับไม่เคยมีความขัดใจมาก่อน
เห็นอย่างนี้แล้วก็แว้บนึกถึงคำสอนของครูบาอาจารย์
“ให้ดูจิต เหมือนดูเด็กข้างบ้าน ที่เราไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียนะ”
ดูเฉย ๆ อย่างไม่มีส่วนได้ ส่วนเสีย ไม่ต้องเข้าไปแทรกแซง ดัดแปลง ควบคุม ปล่อยให้จิตแสดงธรรมชาติของมัน เหมือนเด็กไร้เดียงสาที่แสดงธรรมชาติของตัวเองโดยไม่เสแสร้ง
แม่หนูต้นข้าวโกรธ เมื่อมีเหตุมาขัดใจ พอเจ้ากล้องตัวต้นเหตุหายไป เธอก็ลืมโกรธ ไม่เก็บมันมาโกรธซ้ำ หันไปสนใจของอย่างอื่นมาเล่นแทน
จิตของเราก็เหมือนเด็ก มีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาไม่เคยอยู่นิ่ง มีกิเลสสารพัด แวะเวียนผ่านราวกับมันเป็นแค่ป้ายรถเมล์
“โทสะ” ก็เป็นกิเลสอย่างหนึ่งที่จิตเข้าไปรู้...มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ตามเหตุ ปัจจัย...
ดูโทสะให้เหมือนดูเด็กข้างบ้าน ไม่ใช่ดูแบบเป็นหลานปู่...
เราดูเด็กข้างบ้านแบบไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย ปล่อยให้เขาทำทุกอย่างตามธรรมชาติตัวเองได้
แต่ถ้าเป็นหลานปู่ของเรา...ก็คงอดไม่ได้ที่อยากจะให้เขาดี ต้องคอยควบคุม บังคับให้เขาอยู่ในกรอบ
ดูโทสะเหมือนเป็นเด็กข้างบ้าน ไม่ใช่หลานรักของปู่
เมื่อโทสะเกิดให้รู้ แค่คอยตามดู
ไม่ต้องไปอยากให้มันหายโกรธ ไม่จำเป็นต้องไปบังคับให้มันหยุดโกรธ
รู้อย่างที่มันเป็น...ดูธรรมชาติของมันด้วยใจที่เป็นกลาง
แล้วจะเห็นมันเกิด – ดับเอง โดยที่เราไม่ได้ไปทำอะไรกับมันเลย
มันเกิดเพราะมีเหตุ...หมดเหตุ มันก็ดับ...แค่นั้นเอง
ตามรู้ ตามดูไปเรื่อย ๆ จนเห็นว่าไม่มีความเป็นเราในโทสะเหล่านั้น
“ความโกรธ” มันไม่น่ากลัวเท่าไหร่...แต่เมื่อไรที่ “เราโกรธ” นี่สิ...ค่อยน่ากลัวจริง ๆ
-----๐๐๐-----
< Prev | Next > |
---|