วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

กรงไฟ ๓๘


 
cover_krongfire

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
 

ชลนิล

 

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

 

 

บทที่ ๒๙

 

 

ลักษณ์ขับรถกลับจากรุงเทพฯ ด้วยความระมัดระวัง สายตาสอดส่ายมองรถราที่แล่นตามมาอย่างหวาดระแวง ช่วงเวลาเย็นเช่นนี้ ฟ้ายังไม่มืด บรรยากาศโพล้เพล้ รถบางคันอาจยังไม่เปิดไฟยิ่งทำให้ท้องถนนเป็นสถานที่เสี่ยงอันตรายแห่งหนึ่งบนโลก

เขาเพิ่งกลับจากเยี่ยมน้องชายที่โรงพยาบาล สภาพของสมุทร “เบา” กว่าที่คิด อุบัติเหตุเกิดจากเบรกไม่ทำงาน รถแล่นหลุดโค้งชนเสาไฟฟ้าอย่างแรง ยังดีที่คาดเข็มขัดนิรภัยและถุงลมนิรภัยทำงาน จึงรอดตาย แต่ขาหักต้องนอนเข้าเฝือก

เหตุการณ์แทบไม่ต่างจากตอนที่โดนเปลี่ยนยางรถจนมันระเบิดกลางถนน คราวนี้หนักกว่าเดิมตรงที่เข้าโรงพยาบาล 

“เป็นยังไงบ้าง” ลักษณ์ถามเป็นคำแรกที่พบน้องชาย 

“อือ” สมุทรตอบเพลียๆ หันไปบอกภรรยาให้พาลูกกลับบ้านก่อน 

สมุทรรอจนห้องผู้ป่วยเหลือกันสองคนพี่น้องจึงเอ่ยปากพูดตรงๆ

“มันไม่ใช่อุบัติเหตุแน่เฮีย” โดนกับตัวเป็นครั้งที่สอง สมุทรยิ่งมั่นใจ

“คิดว่าเป็นฝีมือใครล่ะ” ลักษณ์หยั่งใจ

“เฮียคิดว่าเป็นฝีมือใคร” สมุทรย้อนถามแทนการตอบ เขายอมรับมันสมองพี่ชาย

“แกมีปัญหากับใครบ้าง” ลักษณ์ถามนำ

สมุทรนิ่งเงียบครู่ใหญ่ ขมวดคิ้วครุ่นคิด เรียงลำดับบุคคลที่ตนเคยกระทบกระทั่งจากน้อยไปหามาก พิจารณาดูว่าใครอาฆาตเขามากพอ ขนาดหวังเอาชีวิต

แรกๆ ยังคิดไม่ออก สมุทรอาจไม่ใช่คนดีมีศีลธรรมนัก แต่ไม่นับเป็นคนเลวที่ถูกประณามสร้างศัตรูทั่วเมือง เขาทำงานสุจริต แม้จะเบียดเบียนกันบ้างก็เป็นกลไกการเงิน เขาไม่ใช่คนมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ บริษัทเงินทุนไม่ใช่มูลนิธิที่ใครมากู้เงินแล้วไม่คิดดอกเบี้ย ศัตรูทางการค้าไม่น่าถึงขนาดฆ่าแกง กับพวกลูกค้ารายใหญ่ที่เป็นหนี้เน่าก็แค่ฟ้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ไม่เคยเล่นนอกเกมเพื่อเอาเงินคืน ดังนั้นจึงมองไม่เห็นใครเป็นศัตรูร้ายกาจ

พอคิดทบทวนอีกมุมหนึ่ง หากเขาตาย ใครจะได้ประโยชน์...รายชื่อออกมาสามราย...เกตุ...ลักษณ์ และสุขศจี...

“อย่าบอกนะว่าเฮียสั่งเก็บผม” สมุทรพูดทีเล่นทีจริง

ลักษณ์ยังหน้าเคร่ง สมุทรฉุกใจคิด เวลานี้เขากำลังมีปัญหากับคนคนหนึ่ง ถ้าเขาตายคนนั้นได้ประโยชน์แน่นอน

“ไอ้จี...” ชื่อนี้หลุดออกมาอย่างลังเล คล้ายเป็นชื่อเอ่ยแบบเผื่อเลือก “อย่าบอกนะเฮียว่า...เป็นฝีมือไอ้จี...มันทำอย่างนี้ไม่ได้หรอก”

ลักษณ์ถอนใจ มองน้องชายบนเตียงคนป่วย ชั่งใจชั่วครู่ เขาควรเล่าเรื่องให้สมุทรฟังหรือไม่ เล่าแล้วจะเกิดประโยชน์หรือโทษมากกว่ากัน 

นิ่งครู่หนึ่งจึงตัดสินใจได้

“ทำได้สิ ถ้าแฟนของมันเป็นถึงมาเฟียฮ่องกง”

“อะไรนะเฮีย” สมุทรย้อนถามอย่างไม่เชื่อหู หน้าเผือด ความมั่นใจถูกสั่นคลอน

“ฉันมีเรื่องจะเล่าให้แกฟัง”

 

 

...ในที่สุดเรื่องราวก็ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างไม่ปิดบัง ยิ่งลักษณ์เล่ารายละเอียดมากขึ้นเท่าไหร่ ใบหน้าสมุทรยิ่งเผือดซีดลงเท่านั้น แววตาแตกตื่น แปลกใจกลับกลายเป็นหวั่นเกรง

“ไม่จริง...ไอ้จีมันจะทำอย่างนั้นกับเฮียรามได้ยังไง” สมุทรพึมพำ แววตาสับสน

“จีมันอาจไม่ใช่คนสั่ง...แต่มันก็ไม่ห้ามผัวมัน” ลักษณ์พูดย้ำหนักแน่นให้ฟังปักใจ

“เฮียมีหลักฐานอะไรมายืนยัน” สมุทรพยายามเหนี่ยวฟางความเชื่อเส้นสุดท้าย

“หลักฐานแบบที่ตำรวจใช้ในศาลน่ะไม่มีหรอก มือปืนมันก็คงกลับฮ่องกงไปแล้ว...มีแต่หลักฐานตัวเป็นๆ น่ะ เจอแล้ว...หลิง...ผัวมาเฟียของมันมาเมืองไทยพร้อมลูกน้อง เพิ่งแนะนำตัวกับฉันไม่กี่วันนี้เอง ถ้าอยากเจอฉันจะพาไปให้รู้จัก”

คำพูดของลักษณ์เหมือนค้อนปอนด์ใหญ่ ทุบความเชื่อเดิมของสมุทรจนพังทลาย เขามองพี่ชายด้วยดวงตาเคว้งคว้าง ความมั่นใจสูญสลาย ไม่รู้จะทำอย่างไรดี

“มิน่า...เฮียถึงยอมเซ็นให้มันง่ายนัก” สมุทรพึมพำ

“ถ้าไม่ยอมเซ็นแล้วเป็นอย่างเฮียราม อย่างซ้อน่ะ เอามั้ย”

ลักษณ์ย้อน

“ทำไมเราไม่ปรึกษาตำรวจ เฮียก็รู้จักนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายคน ผมก็ซี้กับผู้กำกับท้องที่นั้นด้วย” สมุทรพยายามหาทางต่อสู้

ลักษณ์ยิ้มอ่อนใจ แววตาบอกความไม่เชื่อถือ

“ตอนนี้พวกมันจับตามองเราตลอด ทุกคนรวมถึงลูกเมีย แกจะกล้าเอาตัวเอง เอาลูกเมียไปเสี่ยงมั้ยล่ะ ตำรวจมาคุ้มครองเรายี่สิบสี่ชั่วโมงไม่ได้หรอก คิดดูขนาดเฮียแกอยู่วงการนักเลงมาขนาดไหน ถึงเวลายังตายง่ายๆ แบบนั้น”

สมุทรหนาวเยือกเมื่อคิดว่าลูกเมียกำลังตกอยู่ในอันตราย

“แล้วเราจะปล่อยมันไว้อย่างนี้เหรอ ถึงยังไงผมว่า มันต้องไม่ปล่อยเราอยู่แล้วละ”

“ก็ใช่...แต่ตอนนี้มันยังไม่กล้าทำอะไรเราโดยไม่จำเป็นหรอก อย่างของแกนี่มันแค่การเตือน เราถึงต้องถอยก่อนไง อย่าทำอะไรขวางทางพวกมัน ให้มันตายใจอีกสักพักค่อยคิดแผนกันอีกที”

“ตอนนี้เฮียคิดแผนอะไรได้บ้าง” สมุทรถาม

“คิดแค่จะหลบยังไงให้ปลอดภัยเท่านั้น” ลักษณ์ตอบตรงไปตรงมา “ส่วนเรื่องอื่นต้องว่ากันตอนหลัง”

“ถ้าผมยอมพวกมันตอนนี้ บริษัทเงินทุนเจ๊งแน่”

“ก็ลองตั้งใจบริหารให้มันดีๆ ก่อน หาข้อผิดพลาดให้เจอแล้วค่อยแก้ไขกันไป” ลักษณ์แนะนำ

“แล้วถ้ามันยังไม่ไหวอยู่ล่ะเฮีย” สมุทรเสียงอ่อนอ่อย

“งั้นก็เลือกสิว่าจะเอาเงินหรือเอาชีวิต” ลักษณ์บอกง่ายๆ ตัดรำคาญ

ได้ยินอย่างนี้สมุทรก็ไม่อาจตัดใจได้ง่ายๆ...ความโลภห่วงหวง...ความเสียดาย การต้องแบกภาระหน้าตาสังคมครอบครัว ความกลัวลำบาก กลัวเสียหน้า กลัวไม่มีใช้จ่ายเหมือนเดิม ทำให้เขาไม่อาจปล่อยวางอะไรง่ายดาย

“บริษัทมันชื่อเมียแกไม่ใช่เหรอ...ถ้าพยายามสู้จริงๆ แล้วไม่ไหวก็ปล่อยให้มันโดนปิดไปเถอะ เอาชีวิตรอดไว้ก่อน...ยังไงฉันก็ไม่ทิ้งแกหรอก” ลักษณ์พูดอย่างอดไม่ได้

สมุทรค่อยใจชื้นเมื่อได้ยินพี่ชายบอกจะไม่ทิ้ง ลักษณ์ฉลาด ทำงานหนัก มีเงินเก็บส่วนตัวนอกบัญชีกงสีมากกว่าพี่น้องทุกคน พอให้เขาอาศัยพึ่งพาได้

“งั้นก็แล้วแต่เฮีย...แต่เฮียไม่ทิ้งพวกผมจริงๆ นะ” สมุทรขอคำยืนยัน

ลักษณ์พยักหน้า เหน็ดเหนื่อยใจบอกไม่ถูก ลึกลงในใจเขาก็เสียดายเงินทองส่วนตัวเหมือนกัน กว่าจะสะสมจนมันเพิ่มพูนขนาดนี้ ไม่ใช่แค่วันสองวัน ถ้าเอามาช่วยอุดหนุนน้องชายและครอบครัวที่มีนิสัยจมไม่ลงแบบนี้ มันคงเป็นภาระใหญ่เกินกว่าที่คิด 

 

 

ถึงบ้านตอนค่ำ...ไฟห้องรุ่งรตีเปิด ลักษณ์คิดว่าควรพูดจากับหล่อนให้รู้เรื่องเสียที จะได้เตรียมตัวเดินทางกัน...ไม่แน่ อาจขอเลื่อนตั๋วให้เร็วกว่ากำหนดสองสัปดาห์ก็ได้ สถานการณ์ตอนนี้ไม่ค่อยน่าไว้วางใจเอาเสียเลย

“รุ้ง...อยู่หรือเปล่า ขอพ่อเข้าไปคุยหน่อย” ลักษณ์เคาะประตูเรียก

ไม่นาน...เจ้าของห้องเดินมาเปิดประตู มองลังเลไม่แน่ใจ ระยะหลังพ่อลูกไม่ค่อยพูดจากันดีนัก เนื่องด้วยการที่เขาต้องการให้หล่อนไปเรียนต่างประเทศนั่นเอง

ลักษณ์เข้าห้องลูกสาว เพิ่งสังเกตความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ปกติห้องนี้จะตกแต่งประดับประดาด้วยข้าวของสีสันฉูดฉาดตัดกัน แม้จะดูสวยงามแต่ก็บอกถึงความเป็นคนเจ้าอารมณ์ของหญิงสาว มาครั้งนี้ห้องดูโปร่งตา กว้างขวาง ราบเรียบในบางมุม ดูแล้วสบายตากว่าเดิม

“ช่วงนี้ยังไปบ้านป้าเขาอยู่หรือเปล่า” ลักษณ์เลือกเรื่องคุยเบาๆ ก่อนเข้าสู่ประเด็นหลัก

“ก็ไปทุกวัน” หญิงสาวตอบ ไม่แน่ใจบิดาจะมาไม้ไหน

“ลุงป้าเขาเป็นยังไงบ้างล่ะ”

“สบายดี” รุ่งรตีตอบ คุณจิตใส นายพลทางธรรมมีความสุขกายสบายใจกว่ามหาเศรษฐีอย่างพ่อหลายเท่านัก

“เจ้าเชนล่ะ”

พอลักษณ์ไล่ถามถึงตรงนี้ รุ่งรตีชักรำคาญใจ ถึงน้ำเสียงฟังเรียบๆ เรื่อยๆ แต่ไม่อาจซ่อนจุดประสงค์บางอย่างไว้ได้

“พ่อจะบอกอะไรรุ้งก็บอกมาเถอะ ไม่ต้องอ้อมค้อม” หญิงสาวพูดตรงไปตรงมา

ลักษณ์นิ่งอึดใจ ก่อนทำตามความประสงค์ลูกสาว

“พ่อซื้อตั๋วเครื่องบินไว้แล้ว อีกสองอาทิตย์เราจะไปอเมริกากัน รุ้งเตรียมตัวให้ทันนะ”

“พ่อ” รุ่งรตีร้องเสียงสูง เบิกตาโต ขุ่นใจเกินระงับ “รุ้งบอกแล้วไงว่าไม่ไป ทำไมต้องมาบังคับกันด้วย”

ความใจเย็นที่รักษาตลอดตั้งแต่เข้าห้องลูกสาวก็ระเบิดในเวลาไล่เลี่ยกัน

“แล้วแกจะเอายังไง ทำตัวลอยไปลอยมาอยู่อย่างนี้ พ่ออายคนเขานะ...”

สงครามระหว่างพ่อลูกระเบิดขึ้น รุ่งรตีเหมือนหมาที่ไม่เคยใส่ปลอกคอ พอมีสายโซ่มารั้งบังคับก็ดิ้นรนสุดแรง ไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจ การบังคับตรงๆ ย่อมมีผลให้เกิดแรงต้านพอกัน...ส่วนลักษณ์กำลังเหน็ดเหนื่อยทั้งกาย ทั้งใจกับทุกปัญหา ทุกเรื่องที่กำลังเผชิญหน้า เขาไม่สามารถใจเย็นค่อยๆ อธิบาย เกลี้ยกล่อมลูกสาวให้เดินทางไปต่างประเทศได้ง่ายๆ และยิ่งไม่อาจบอกเหตุผลที่แท้จริงที่สองพ่อลูกจำเป็นต้อง “หนี” ภัยเฉพาะหน้าได้เช่นกัน

ความอึดอัดน้ำท่วมปากของลักษณ์ ก่อให้เกิดโทสะต่อลูกสาวแรงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งรุ่งรตีโต้เถียง ความกดดันในใจยิ่งเพิ่มพูน กระทั่งถึงที่สุดมันก็ระเบิดออกมา

...เพียะ...

ฝ่ามือเขากระทบใบหน้ารุ่งรตีเต็มแรง ความอึดอัดใจที่ไม่อาจบอกความจริง ความกดดันกับสภาพรอบตัว ความหวาดกลัวที่ซ่อนเร้นในใจ อยู่ในแรงตบครั้งนี้ทั้งหมด

รุ่งรตีปลิวตามแรง ล้มลงบนเตียง เลือดไหลย้อยจากมุมปาก สัมผัสรสเค็มปร่า น้ำตาไหลพรากเต็มหน้า ข่มใจลุกขึ้นยืน มองบิดาด้วยน้ำตานองหน้า ดวงตาฉายแววปวดร้าวเจ็บช้ำ

...ไม่มีคำพูดใดหลุดจากปาก...ไม่มีคำต่อว่าต่อขาน...ไม่มีเสียงกรีดร้องโวยวาย... 

รุ่งรตีเดินช้าๆ ออกจากห้อง เดินไปเรื่อยๆ หาทางออกจากบ้านหลังใหญ่นี้...ออกไปให้ไกล...ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้

ลักษณ์ยืนอึ้ง นิ่งขึงทำอะไรไม่ถูก ไม่มีแรงเรียกลูกสาว ฝ่ามือกำลังเจ็บจากการตบสุดแรง ความเจ็บนั้นมันไม่ถึงครึ่งของใจที่เจ็บปวด ยิ่งเห็นเลือดไหลจากปากลูก หัวใจยิ่งร้าวราน ลูกเจ็บเขายิ่งเจ็บกว่าหลายเท่า อยากเข้าไปปลอบขอโทษ ซับเลือด ซับน้ำตาให้ลูก ทว่าหัวใจมันเจ็บจนทำอะไรไม่ถูก ดวงตาที่ปวดร้าวของรุ่งรตีเหมือนมีดโกนอาบน้ำกรดบาดใจเขา กลายเป็นคนไม่มีวิญญาณ ยืนทื่อเสมือนหุ่นตายซาก มีแต่ดวงตาที่ฉายแววร้าวราน เจ็บปวดไม่น้อยกว่ารุ่งรตี 

 

 

ค่ำแล้ว...เชนเพิ่งจะดูแลปิดร้านทั้งสามเสร็จ วันนี้วันพระ พ่อแม่ไปถือศีลที่วัด เขากลายเป็นเจ้าของร้านต้นไม้ ร้านของชำโดยปริยาย ยังดีที่สองร้านมีลูกจ้างไว้ใจได้จัดการแทนทุกอย่าง โดยที่เขาไม่ต้องวุ่นวาย แค่มาเคลียร์บัญชีเก็บเงินแต่ละร้านก็พอ

ปิดร้านของชำเสร็จเป็นอันดับสุดท้าย ลูกจ้างกลับกันหมดแล้ว เชนก็เตรียมตัวเข้าบ้านเหมือนกัน จังหวะนั้นมีรถรับจ้างมาจอดหน้าร้าน เขามองอย่างแปลกใจ คุ้นตากับผู้โดยสารด้านหลัง

“รุ้ง”

เขาอุทานกึ่งแปลกใจเมื่อหล่อนลงจากรถ ไม่คิดว่าลูกสาวเศรษฐีจะมานั่งรถรับจ้างเก่าๆ อย่างนี้

“มีอะไรหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามเมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติ

“พี่เชน” รุ่งรตีพูดเสียงเบา แหบปร่า “ช่วยจ่ายค่ารถให้รุ้งก่อนได้มั้ย...รุ้งไม่มีตังค์เลย”

ถ้าเป็นสถานการณ์อื่นเขาคงหัวเราะนึกขัน แต่สีหน้าแววตารุ่งรตีขณะนี้ เขาไม่มีทางทำอะไรดีไปกว่าปฏิบัติตามคำพูดหล่อน 

สองหนุ่มสาวเดินเข้าบ้านอย่างเงียบงัน เชนไม่กล้าเอ่ยถามอะไร รุ่งรตีราวถูกกักขังอยู่ในกรงความคิดตนเอง รอบกายทั้งสองดังมีม่านบางๆ กางกั้น ความมืดรอบตัวไม่ต่างจากอสูรร้ายซุ่มคอยโอกาสยามพลั้งเผลอ เส้นทางไม่ไกลนัก แต่มันดูยืดยาว เดินไม่ถึงจุดหมายสักที

เข้ามาถึงบ้าน แสงไฟสว่างพอให้เชนสังเกตสภาพการแต่งตัวและใบหน้าหญิงสาว เห็นแล้วต้องกัดริมฝีปาก ข่มใจไม่ทักถามอะไรทั้งสิ้น

รุ่งรตีอยู่ในชุดนอนที่ดูมิดชิด ใส่รองเท้าแตะเก่าๆ ที่ไม่เจาะจง สักแต่ใส่มารีบๆ ลวกๆ ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีอะไรมากกว่านี้ ไม่มีกระทั่งเงินจ่ายค่ารถรับจ้าง

ใบหน้าหญิงสาวมีรอยปื้นมือ นัยน์ตาแดงบวมช้ำ ผ่านการร้องไห้อย่างหนัก คราบน้ำตาเลอะเปื้อน น่าสมเพชเวทนา

เชนพาหล่อนไปนั่งในห้องรับแขก รุ่งรตีทำตามเป็นหุ่นยนต์ไร้ความรู้สึก ไร้ความคิด ขยับซ้ายขวาตามสั่ง นั่งกอดเข่าซุกตัวเงียบๆ อยู่มุมโซฟา กัดริมฝีปากแน่น ไม่ยอมพูดจา นัยน์ตาเหม่อไร้จุดหมาย

เชนไม่อยากพูดอะไร ไม่คิดถามเหตุผลที่มาที่ไป เขาเดินเข้าครัว หยิบผ้าชุบน้ำอุ่นหยิบครีมแก้ช้ำออกมาจากตู้ยา แล้วถอนใจเบาๆ

เขาทรุดตัวข้างๆ บนโซฟาเดียวกัน นัยน์ตาอ่อนโยนมองหล่อนด้วยรอยยิ้มบริสุทธิ์ใจ

“พี่ขอเช็ดหน้ารุ้งหน่อยนะ เดี๋ยวจะทายาให้” น้ำเสียงเขาอบอุ่นพอให้หญิงสาวหันมามอง แววตาแสดงอาการรับรู้

ผ้าอุ่นแตะซับสัมผัสใบหน้า เช็ดคราบน้ำตา ซับรอยช้ำช่วยให้บรรเทาเบาบาง รุ่งรตีไม่รู้สึกเจ็บ อาการชามันซ่านอยู่ภายในใจ จ่อมจมทะเลทุกข์จนไม่รู้สึกรู้สากับแรงตบบิดา กระทั่งสัมผัสมืออ่อนโยนผ่านผ้านุ่ม ความอบอุ่นจากชายหนุ่มรินไหลช้าๆ กิริยานุ่มนวล เอื้ออาทร มีน้ำใสใจจริง

ความจริงใจสัมผัสได้ด้วยใจ รุ่งรตีสัมผัสความอบอุ่นอ่อนโยนจากเชนแจ่มชัด ทำให้น้ำตาไหลพรากอีกครั้ง น้ำตายิ่งไหล มืออุ่นที่คอยซับมิได้ชะงักถอย ไม่มีวาจาไถ่ถาม เร่งเร้า มีแต่เมตตา ปรานีที่รินไหลลงไปโดยมิสิ้นสุด

น้ำตาหยุดไหล ผ้านุ่มที่คอยตามซับหยุดตาม ปลายนิ้วเรียวแตะครีมทาตรงรอยช้ำบนใบหน้าแผ่วเบา ราวกับเป็นแก้วเจียระไนควรทะนุถนอม ตอนนี้เชนก็ยังไม่เอ่ยปากถามสักคำ...หล่อนโดนอะไรมา...มีปัญหาใดถึงร้องไห้ รอยช้ำติดหน้าเช่นนี้

เชนกำลังรอ...รอคอยให้อีกฝ่ายพร้อม คนที่มีความทุกข์มักอยากระบายทุกข์ ขอเพียงเวลาที่พร้อมจะพูด เมื่อนั้นมันจะไหลดุจน้ำที่ไม่มีทำนบกั้น

“เรียบร้อยแล้ว” เชนยิ้ม หยิบครีมและผ้าลุกขึ้นจะเอาไปเก็บ

“เดี๋ยวก่อนพี่เชน” รุ่งรตีดึงแขนเสื้อเขาไว้ แววตาคล้ายเด็กหลงทาง รอยอบอุ่นอ่อนโยนที่ได้รับทำให้ไม่อยากไกลจากเขา

เชนวางของลงบนโต๊ะ สบตอบดวงตากลมโตว้าเหว่นั้นด้วยนัยน์ตาสีเข้ม มั่นคงดุจพี่ชายใหญ่ คอยปลอบโยนน้องน้อย

“ว่ายังไงจ๊ะ” เขาเริ่มต้นเปิดทำนบความทุกข์ในใจหล่อน

“อยากให้นั่งอยู่ด้วย” หล่อนพูดแบบเด็กน้อยเอาแต่ใจ

“ได้สิจ๊ะ” เชนยิ้มใสใส่ดวงตาคู่นั้น “พี่จะนั่งเป็นเพื่อนจนกว่ารุ้งจะเบื่อเลยดีมั้ย”

ความอบอุ่นของเขากระทบใจหล่อน มีผลให้หยาดน้ำใสๆ รินไหลมาอีก เชนใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเบาๆ สัมผัสแทนความห่วงใยจากใจ

“เจ็บมั้ย” เขาพูดเบาๆ ขยับสู่ทำนบใจหล่อนเข้าไปอีก

“พ่อตบรุ้ง” รุ่งรตีเปิดถุงผ้าแห่งความทุกข์ด้วยประโยคนี้...จากนั้น น้ำตา...วาจาที่รินไหลไม่ผิดกับเขื่อนกั้นคลื่นใจภินท์พัง

“พ่อบังคับจะให้รุ้งไปอเมริกา...คราวนี้พ่อจะไปด้วย ไปคอยคุม ไม่ยอมให้กระดิกตัวได้...รุ้งขอต่อรองเรียนในกรุงเทพฯ พ่อก็ไม่ยอม...ไม่มีเหตุผลเลย เอะอะก็เอาแต่ใจตัวเอง สั่งคนอื่นไปหมด รุ้งไม่ใช่ตุ๊กตานะ จะสั่งให้เป็นยังไงก็ได้ รุ้งมีความคิด มีหัวใจ แต่ทำอะไรก็ไม่ดีไปหมดในสายตาของพ่อ”

เสียงสะอื้นไห้หนักขึ้น เชนนั่งฟังไม่ซักถาม ไม่ออกความเห็น ภายในใจกำลังร่วมความรู้สึกเดียวกับหล่อนทีละน้อย

“ทีเมื่อก่อนรุ้งอยากอยู่กับพ่อ...พ่อก็ไม่ยอม ขับไล่ไสส่งให้ไปอยู่โรงเรียนประจำ โทรมาหาก็บอกว่างานยุ่ง...วันเกิดของรุ้งก็ลืม ไม่เคยอวยพรให้ของขวัญตรงวันสักที...ก็ทำไมล่ะ ตอนนั้นเวลารุ้งอยากอยู่ใกล้พ่อ อยากกอดพ่อแต่พ่อไม่เคยอยู่กับรุ้ง...ทีตอนนี้รุ้งอยากเป็นอิสระ ทำอะไรอย่างที่พอใจ พ่อจะมาบังคับ มาบงการชีวิตรุ้งทำไม”

ยิ่งพูดตะกอนในใจยิ่งไหลทะลัก ความเจ็บปวด กดดันที่สะสมเนิ่นนานนับปี ถูกระบายออกมาในคราวเดียว ปมทุกข์ ว้าเหว่ ปวดร้าวที่เกาะอยู่ในใจ เคยคิดว่ามันจางหายไปกับกาลเวลา ทว่ายามนี้มันกลับแสดงตัวให้เห็นราวจะบอก...มันไม่เคยไปไหนไกลเลย

คลื่นเจ็บปวด ว้าเหว่ของรุ่งรตีกระทบถูกเชนอย่างจัง ตลอดเวลาที่ฟังหล่อนระบายความในใจคล้ายมองเห็นตัวเขาเองแฝงอยู่ในนั้น

ครั้งหนึ่งเขาเคยว้าเหว่เช่นนี้ เคยหวาดกลัวไม่ผิดกัน มองโลกเป็นโรงละครมัวซัว ไม่เคยมีแสงตะวัน ถนนที่เดิน คืนวันที่ล่วงผ่านล้วนย้ำอยู่บนเลนโคลนความทุกข์

อาการเหล่านี้ คิดว่ามันถูกลบเลือนจากใจเรียบร้อยแล้วด้วยความรักความปรานีจากคุณจิตใส ตอนนี้เพิ่งรู้ มันแอบซ่อนอยู่ในซอกใจ หลบเร้นไม่เคยหนีหายไปไหน วันใดมีสิ่งกระทบจนใจอ่อนแอมันก็จะเผยโฉมอย่างอหังการ ยินดี

เชนพบแล้ว เขากับรุ่งรตีมีอะไรเหมือนกัน ทั้งคู่เป็นเด็กขาดความรัก ความอบอุ่น เป็นคนเคยเหงา เคยว้าเหว่มาอย่างแสนสาหัส 

คนพันธุ์เดียวกัน...มองตาก็เข้าใจ

ชายหนุ่มไม่รู้ว่าโอบหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนตั้งแต่เมื่อไหร่ กระทั่งสัมผัสแรงสะอื้น สะเทือนของร่างในอ้อมแขน มันทำให้เขารู้สึกชัด...หัวใจสองดวงเต้นจังหวะเดียวกัน...คนเดินทางไกลสองคนมาพบกันบนโลกอันเปลี่ยวร้าง...มองหาส่วนเติมเต็มให้แก่กันและกัน... 

รุ่งรตีคลายอาการสะอื้น เงยหน้าบอกเชนด้วยคำพูดที่ทำให้เขาสะดุดอีก

“รุ้งอยากเป็นอย่างพี่เชน มีพ่อแม่ที่รักและเข้าใจอย่างนี้”

ก้อนสะดุดจุกตันที่ลำคอ อดีตที่ล่วงผ่านไหลย้อนกลับมาจนเขาไม่อาจหยุดยั้งมัน

“พี่ไม่ได้เป็นอย่างที่รุ้งเห็นหรอกนะ” น้ำเสียงเขาแปร่งปร่า “พี่ไม่ใช่ลูกจริงๆ ของพ่อแม่”

คำพูดนี้ไม่เคยหลุดจากปากเขามาก่อน ทั้งที่มันเป็นสิ่งที่รู้อยู่แก่ใจ

“บ้านพี่ถูกไฟไหม้...พ่อแม่ตายหมด...พี่ต้องไปอยู่บ้านเด็กกำพร้า...วันทั้งวันไม่พูดจากับใคร กลัวทุกอย่างรอบตัวไปหมด ขังตัวเองอยู่ในโลกของความทุกข์ ความสูญเสีย คิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อแม่ที่ตายไป กลัวโลก ต่อไปข้างหน้า ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ยังไง ตอนนั้นพี่ไม่เห็นใครเลย ไม่มีใครเลย ยิ่งกว่าอยู่ตัวคนเดียวในโลก...เพราะมันเหมือนกับโลกก็ไม่มี...ตัวพี่ลอยเคว้งคว้างในอวกาศ ไม่มีแม้กระทั่งที่เหยียบยืน”

เชนมองความว่างเปล่าเบื้องหน้า ภาพในอดีตไหลย้อนไม่มีผ่อนพัก ภาพทุกอย่างชัดเจนราวกับเป็นเมื่อวาน

“พอได้มาอยู่ที่นี่...พ่อแม่ดีกับพี่เหลือเกิน ให้ความรักเมตตาเต็มที่ แต่พี่ก็กลัวอีก...กลัวจะสูญเสียพ่อแม่คนดีนี้ไปเหมือนอย่างที่เคยสูญเสียมาแล้ว...กลัวว่าวันนึงถ้าพี่เป็นเด็กไม่ดี ไม่น่ารัก พ่อกับแม่ก็จะไม่เลี้ยงพี่...เอาพี่ไปทิ้งไว้ที่บ้านเด็กกำพร้าตามเดิม...แล้วพี่ก็จะอยู่ในโลกมืดอย่างเก่าอีก...ยิ่งแม่บอกว่ารักพี่มากเท่าไหร่ พี่ก็ยิ่งกลัวสูญเสียมันไปเท่านั้น...กลัวว่าตัวเองจะทนไม่ได้ถ้าต้องกลับไปอยู่บ้านเด็กกำพร้าอีกครั้ง”

รุ่งรตีนิ่งอั้น นึกไม่ถึงจะได้เห็นภาพอีกมุมของเชน...ชายหนุ่มอบอุ่นที่ดูสมบูรณ์แบบ เพียบพร้อม หล่อนไม่เคยรู้...หัวใจเขาซ่อนเร้นความทุกข์ความหวาดกลัวไว้เช่นกัน...ยิ่งฟังเขามากเท่าไหร่ ยิ่งเห็นเรื่องของตนเองไม่ลำบากหนักหนาอย่างที่คิดเลย

เชนหยุดพูดตอนไหนยากจะบอก เขาไม่รู้พูดอะไรไปบ้าง นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เติบโตมาที่แสดงความอ่อนแอให้คนอื่นเห็น

นัยน์ตาสองคู่สบกัน เข้าใจลึกซึ้ง ไม่มีคำพูดใดหลุดลอดออกมาอีก เชนกระชับร่างเล็กแน่นขึ้น อยากถ่ายทอดความอบอุ่นทั้งมวลลงสู่หัวใจที่เปลี่ยวเหงาดวงนี้ ไม่อยากให้หัวใจดวงนี้เคว้งคว้างอย่างที่เขาเคยเป็น ขณะคิดในใจบังเกิดความอบอุ่นขึ้นมา ความทุกข์จากภาพอดีตละลายหายในพริบตา เกิดความสุขจนล้นอก หนักแน่น พร้อมจะรินไหลให้กับทุกคนที่อยู่รอบตัวโดยไม่มีเหือดแห้ง...เพิ่งรู้ชัดเดี๋ยวนี้เองว่า...ความคิดอยากจะให้...มีพลังเช่นนี้เอง...มันช่วยเติมส่วนที่ขาดให้เต็ม และพร้อมจะรินไหลให้ผู้คนได้โดยไม่มีเงื่อนไข

“รุ้งขอโทษนะคะที่ทำให้พี่เชนต้องคิดถึงเรื่องเก่าๆ อีก” หญิงสาวกระซิบแผ่วในอ้อมอกอุ่น

“ไม่เป็นไรจ้ะ” เชนยิ้มสดใส นัยน์ตาแทบไม่มีร่องรอยหม่นเศร้า “รุ้งช่วยทำให้พี่รู้จักตัวเองมากขึ้นต่างหาก”

นอกจากเชนจะรู้จักตัวเอง การเผชิญหน้ากับความเศร้าในวัยเยาว์ครั้งนี้ ทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะลบเลือนมันด้วยความรัก เมตตา ด้วยใจปรารถนาดีต่อผู้อื่น ไม่มีจำกัด อย่างน้อยก็ให้กับหญิงสาวในอ้อมแขนคนนี้ 

 

 

(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)




แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP