วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

กรงไฟ ๓๖


 
cover_krongfire

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ชลนิล

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

 

ดึกสงัด บ้านทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลเงียบงัน ความใหญ่โตของมันทำให้คนที่อาศัยเกิดความวังเวงเดียวดาย เสียงแมลงราตรีกรีดปีกแว่วมาไกลๆ กลิ่นดอกไม้หอมโชยชาย ความมืด ความเงียบท่ามกลางบ้านหลังใหญ่ที่เกือบไร้ผู้คน ทำให้ลักษณ์ใกล้เสียสติเต็มที

ออกมายืนนอกระเบียง สูดลมหายใจยาวลึก มองความมืดที่แสนไกล เห็นตนเองเล็กกระจิดริด ขณะที่ความมืดแห่งรัตติกาลช่างยิ่งใหญ่ไพศาล จิตใจเกิดหวั่นเกรงแปลกๆ สังหรณ์ร้ายเดินทางมากระตุ้นเตือน

ตื้ด...ตื้ด...เสียงโทรศัพท์มือถือสั่นกังวานในความเงียบ ลักษณ์หันขวับ เกิดไม่อยากรับขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจก้าวยาวๆ หยิบเครื่องมาดูเบอร์

“ฮัลโหล” กดรับ...กรอกเสียงเบา ไม่แน่ใจ

“คุณลักษณ์” เสียงอ่อนเปลี้ย แหบโหยของบุญส่ง

“ว่าไงบุญส่ง” ลักษณ์จำเสียงมือขวาพี่ชายได้แม่น

“ช่วยผมด้วย” คำพูดราวจะขาดรอนได้ทุกวินาที

“แกอยู่ที่ไหน จะให้ช่วยอะไร” สังหรณ์บอกว่ามันเกิดเรื่องไม่ดี

“ผมอยู่ที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ...” บุญส่งบอกสถานที่จบ เสียงก็ขาดหาย หมดเรี่ยวแรง

“ส่ง...ส่ง...บุญส่ง”

ลักษณ์เรียกสองสามคำ จนแน่ใจว่าอีกฝ่ายยากจะตอบตนเองแล้ว จึงรีบตัดสินใจทันที

ต้องไปดูให้รู้แน่...เกิดอะไรขึ้น 

 

 

ขณะขับรถออกจากบ้าน ลักษณ์อดคิดไม่ได้ ตนเองทำเช่นนี้เพื่ออะไร เขาอาจพบเพียงศพของบุญส่งนอนตายคาตู้โทรศัพท์สาธารณะก็ได้ เขาก็อาจกลายเป็นผู้ต้องสงสัยอีกคดี...ตามเคย

เกิดอะไรขึ้นกับบุญส่ง...บุญส่งพบอะไรเข้า จึงต้องเกิดปัญหาเช่นนี้ 

ความอยากรู้ สงสัย และความกลัวในใจผลักดันให้เขาออกจากบ้านกลางดึก...มาเพื่อตอบคำถามตน...ยิ่งไปกว่านั้น เขามั่นใจ...สิ่งที่เกี่ยวกับบุญส่ง ต้องไม่พ้นเงาตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล

กลางดึกเช่นนี้ ถนนว่างไม่ค่อยมีรถ ลักษณ์ใช้เวลาไม่นานขับรถถึงจุดหมาย ตู้โทรศัพท์สาธารณะที่บุญส่งใช้นั้นอยู่ริมถนนร้าง ไม่ค่อยมีรถราผ่าน ตึกแถวบ้านช่องบริเวณนั้นปิดเงียบ

จากแสงไฟหน้ารถ เขาเห็นบุญส่งนอนกองอยู่ในตู้โทรศัพท์ โชคดีที่หลอดไฟในตู้เสีย ไม่เช่นนั้นมันคงเป็นจุดสนใจแก่คนทั่วไปแน่

ลักษณ์จอดรถรีบลงไปดู นึกหวั่นกลัว...หากที่เห็นเป็นศพของบุญส่ง...เขาจะทำเช่นไร

...คนตายก็ส่งข้อความได้...ลักษณ์เชื่อเช่นนั้น...ต่อให้บุญส่งตายก็คงต้องมีวิธีส่งข่าวบอกให้เขารู้จนได้ว่าเกิดอะไรขึ้น...ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือใคร...

ก้าวมาถึงหน้าตู้โทรศัพท์...บุคคลที่เป็นเป้าหมายยังนอนกองเหมือนเศษผ้าขี้ริ้วไร้ค่า...เลือดไหลโซมกาย ลักษณ์ก้มตัวลงมอง

...ใช่บุญส่งจริงๆ...และที่สำคัญ...คนนี้ยังไม่ตาย... 

 

 

ที่โรงพยาบาล...หน้าห้องฉุกเฉิน

บุญส่งถูกส่งตัวรักษาอาการบาดเจ็บ บาดแผลจากกระสุนปืนและคมมีด ตลอดทางที่นั่งรถมา เขาอยู่ในอาการสะลึมสะลือ กึ่งเคลิ้มกึ่งมีสติ ไม่ถึงกับสลบเสียทีเดียว

ลักษณ์ฟังเรื่องราวจากบุญส่งแบบขาดๆ วิ่นๆ ปะติดปะต่อเอาเองเป็นภาพคร่าวได้ว่า...เขาได้รับบาดเจ็บจากการเข้าไปช่วยศรีนวลและลูก... 

ศรีนวลกับลูกถูกลักพาตัวโดยกลุ่มคนแปลกหน้า บุญส่งกับลูกน้องสองสามคนเห็นเหตุการณ์เข้าไปช่วยเหลือแต่ไม่สามารถต้านทานได้ เสียชีวิตเกือบหมด เหลือแค่บุญส่งที่หลบหนีเอาตัวรอดมาด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส รวบรวมเรี่ยวแรงโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากลักษณ์ก่อนจะนอนรอความตาย โชคดีที่เขามาทันเวลา

ก่อนบุญส่งจะเข้าห้องฉุกเฉิน ยังรวบรวมกำลังครั้งสุดท้ายบอกต่อลักษณ์ด้วยความหวังริบหรี่

“ช่วยคุณศรีนวลกับลูกๆ แทนผมด้วย”

ลักษณ์ยืนเคว้ง ตัดสินใจไม่ถูก สมองตีบตัน เขาควรทำอย่างไรดี ...สถานการณ์เช่นนี้ใช่ว่าจะเคยเกิดกับทุกคน...ศรีนวลกับลูกถูกใครจับไป แล้วจับไปเพื่อประโยชน์อะไร...

สารพัดปัญหาประดังขึ้นมาจนทำอะไรไม่ถูก ถ้าจะให้ช่วยศรีนวลควรจะช่วยอย่างไร 

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ กว่าลักษณ์จะสงบสติอารมณ์ได้ พอมีสติ เขาจึงระลึกได้ว่า สิ่งที่ควรทำเป็นอันดับแรกคือโทรศัพท์แจ้งตำรวจ

คิดได้ หยิบโทรศัพท์เตรียมกดเบอร์สถานีตำรวจ...แต่...

“โทรหาใครหรือเฮีย” เสียงเรียบเบาของสุขศจีทำให้เขาสะดุ้ง

ลักษณ์หันหลังกลับไปมองต้นเสียง พบน้องสาวตนเองเดินมาพร้อมกับชายอีกคน ซึ่งมีบุคลิกท่วงทีน่าขยาด ยามทั้งคู่ยืนเคียงกัน สร้างความกดดันตะครั่นตะครอแก่คนพบเห็นไม่น้อย

“จี...” ลักษณ์หลุดเสียงไม่แน่ใจ “มาทำอะไรที่นี่”

“แล้วเฮียล่ะ มาทำอะไรที่นี่” คำย้อนถามมีน้ำหนัก...หนักแน่นกว่าจนเห็นชัด

ลักษณ์ไม่ตอบ สายตาแลเลื่อนไปยังชายที่ยืนเคียงข้างสุขศจี

“ลืมแนะนำไป” สุขศจีเพิ่งนึกได้ “นี่ หลิง แฟนของจี”

สุขศจีกล้าแนะนำเช่นนี้ หมายความว่าหล่อนพร้อมจะเปิดเผยตัวมาเฟียต่างแดนคนนี้ต่อคนทั่วไปแล้ว

“สวัสดีครับ” หลิงทักทายด้วยภาษาไทยชัดเจน

ลักษณ์พยักหน้ารับ นับว่าคนที่ให้ข่าว บรรยายภาพหลิงได้ไม่ผิดความจริงนัก ชายคนนี้ไม่ใช่คนหนุ่ม เป็นชายวัยเฉียดสี่สิบที่ยังดูดีมากๆ คนหนึ่ง ทั้งรูปร่าง หน้าตา แววตาของคนผู้นี้มีรังสีอำมหิตที่ปิดไม่มิด

“สวัสดี” ลักษณ์ตอบเป็นคำพูด พร้อมลองถามหยั่งเชิง “ผมไม่รู้เลยว่าจีมีแฟน คุณทำงานอะไรหรือ”

อีกฝ่ายยิ้มเย็น ตอบสั้น

“ผมทำงานอยู่ที่ฮ่องกง”

“อ้อ...ไม่ใช่คนไทย...นึกได้แล้ว ที่จีไปฮ่องกงบ่อยๆ คงไปหาคุณนั่นเอง”

ลักษณ์พูดเหมือนเพิ่งนึกได้ ทั้งที่แววตาทอประกายเท่าทัน

“เฮียยังไม่ตอบจีเลยว่าจะโทรหาใคร” สุขศจีย้อนกลับมายังคำถามเดิม

ลักษณ์กำลังจะตอบตามตรงว่าโทรหาตำรวจ บอกเรื่องศรีนวลกับลูกถูกจับ แต่ก็ชะงัก มองคนทั้งสองแล้วคิดได้

ดึกดื่นป่านนี้ สุขศจีกับหลิงมาทำอะไรที่โรงพยาบาล รู้ได้อย่างไรว่าเขาอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน สองคำถาม มีคำตอบเดียว คำตอบนั้นคลี่คลายความสงสัยทั้งมวลลงได้

เขาถูกสะกดรอยตั้งแต่ที่บ้านจนถึงโรงพยาบาล คนที่สะกดรอยบอกข่าวนี้กับสุขศจี จนน้องสาวตามมาพบเขาถึงนี่ได้ คนที่สะกดรอยเป็นลูกน้องหลิง ฉะนั้น คนที่จับศรีนวลกับลูกจะเป็นใครได้

“แล้วเธอล่ะมาทำอะไรที่นี่” ลักษณ์เปลี่ยนจากผู้ถูกถามเป็นฝ่ายถามเสียเอง

สุขศจียิ้มให้หลิงแปลกๆ สายตาตวัดกลับมองพี่ชายมีร่องรอยขบขันปนเยาะ

“อาจเป็นเหตุผลเดียวกับเฮียก็ได้...เฮียมาทำอะไรที่โรงพยาบาลล่ะ”

คำตอบกำกวม แต่ยืนยันความสงสัยแน่ชัด

“เธอกำลังจะทำอะไรกันแน่จี” เขาถามเสียงแผ่ว

รอยยิ้มที่ตอบกลับมาจากสุขศจีเหมือนรอยยิ้มนางพญาที่สามารถบงการชีวิตผู้คนไว้ในกำมือ

“กำลังรักษาผลประโยชน์ให้พวกเราพี่น้องนั่นแหละเฮีย” 

หลิงกอดอกมองลักษณ์เฉย ถึงไม่มีคำพูดจา ลักษณะเช่นนี้ก็แสดงท่า “ข่ม” กันอยู่ในที

“เธอคิดว่าทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือ” เขาถามเหมือนเรียกสำนึกดีของน้องสาวกลับคืน

“การที่เฮียติดต่อกับไอ้บุญส่งแบบนี้...แสดงว่าเฮียคงรู้จักหลิงบ้างแล้ว” ดวงตาสุขศจีฉายประกายกล้า “อย่างนี้...เฮียคิดว่าการโทรแจ้งตำรวจ มันเป็นการกระทำที่ฉลาดหรือเปล่าล่ะ”

สุขศจีอ่านใจเขาออกตั้งแต่แรกที่เห็นกำลังโทรศัพท์

“นั่นเป็นพี่สะใภ้กับหลานแท้ๆ ของเธอนะ” ลักษณ์เน้นคำ ไม่ปกปิดว่าตนไม่รู้เรื่องอะไรเลย

สุขศจีไม่ตอบ รอยยิ้มบนใบหน้าบอกให้รู้ หล่อนไม่ละอายใจในการกระทำของตน ไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าพี่ชายรู้เรื่องใดบ้าง ลักษณ์เสียอีกพูดแล้วยังอดใจหาย ตอนนี้การกระทำของสุขศจียืนยันชัด...รามตายอย่างไร...เขาน่าจะรู้ ขนาดพี่ชายแท้ๆ สุขศจียังไม่ละอายใจ นับประสาอะไรกับพี่สะใภ้และหลาน

“ไม่ถึงตายหรอก” สุขศจีพูดสี่คำนี้ออกมา “เดี๋ยวเฮียจะโดนตำรวจสอบสวนเป็นผู้ต้องสงสัยอีก วุ่นวายเปล่าๆ คิดว่าอีกสองวัน ไม่น่าเกินสามวันคงกลับมาได้”

รอยยิ้มสุขศจีบาดลึกเหมือนคมมีดอาบน้ำกรด

“แต่ไม่รู้ว่าจะกลับมาในสภาพไหนเท่านั้นเอง”

“แกทำแบบนี้ได้ยังไง” ลักษณ์พูดด้วยดวงตาปวดร้าว เจ็บช้ำถึงที่สุด คำพูดเขากินลึกถึงเรื่องการตายของราม ไม่ใช่แค่ลักพาตัวศรีนวลและลูก

“จีเลือกไม่ได้...ทุกคนบีบจีเอง” 

คำพูดสุขศจีเป็นการเปิดเผยความในใจชัดเจน แววตาหล่อนกร้าวเหมือนคนเดินหน้าไม่ยอมถอยหลังอีก

สองพี่น้องยืนประจันหน้ากัน ไม่จำเป็นต้องพูดจามากความก็รู้กันลึกซึ้ง

“ถ้าเฮียจะบอกขอโทษ...ที่แล้วมาเราจะไม่พูดถึงอีก...ยอมยกทุกอย่างให้เธอ...ขอให้เธอหันหลังกลับ...อย่าเดินบนถนนมืดนี้อีกเลย ปล่อยพี่สะใภ้กับหลายเธอเสีย...จีจะยอมมั้ย”

นั่นคือคำขอร้องครั้งเดียว และครั้งสุดท้ายของลักษณ์

“ไม่ได้หรอก” น้ำเสียงสุขศจีเด็ดเดี่ยว ชัดเจน ประกายตากล้า “จีมาไกลเกินไปแล้ว”

มืด...เย็นยะเยียบ...ลักษณ์เหมือนถูกถีบตกลงหล่มน้ำแข็งอันเย็นเยือก ลึกไม่อาจหยั่งถึงก้น สุขศจีต่างจากน้องสาวคนเดิม ไม่ใช่คนที่เขาเคยรู้จัก อิทธิพลชายแปลกหน้าที่ยืนเคียงข้างมีผลต่อความเปลี่ยนแปลงขนาดนี้เชียวหรือ

ตลอดเวลาหลิงพูดเพียงแค่ไม่กี่คำ จากนั้นก็ปิดปากสนิท ปล่อยสุขศจีพูดแทน...ลักษณ์รู้สึกว่า...คนที่เงียบงัน ไม่พูดจา กลับฉายรังสีความน่าสะพรึงกลัวกว่าคนที่เอ่ยปากออกมาเสียอีก 

“ได้ยินอย่างนี้ เฮียคงเข้าใจ ไม่ต้องพูดอะไรอีก กลับบ้านได้แล้วนะ” สุขศจีพูดราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ยังหรอก เฮียมีธุระ” ลักษณ์เผลอหลุดปาก นึกได้ว่าไม่ควร

“ไม่ต้องห่วงมันหรอก” สุขศจียิ้มเย็น “หมอของจีบอกว่ามันคงไม่รอดเกินคืนนี้แน่ๆ”

“จี” ลักษณ์เอ่ยอย่างตระหนก “เฮียขอเถอะ ละเว้นได้ก็ทำบ้าง”

“ทิ้งไว้จะเป็นปัญหาเปล่าๆ”

“เขาก็แค่ช่วยเหลือเจ้านาย จะเป็นปัญหาอะไรกับเธอ” ลักษณ์เกลี้ยกล่อมทั้งที่ไม่มีหวัง

“กลับบ้านเถอะเฮีย ถือว่าคืนนี้ไม่รู้ ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น”

“ไม่ได้หรอก...ก็รู้ก็เห็นไปแล้ว” ลักษณ์ยืนยันเจตนาตน

“หรือว่าอยากถูกปิดหู ปิดตาด้วยอีกคน”

สุขศจียิ้มเย็น ชายที่ยืนด้านข้างยิ่งยะเยียบกว่า คำพูดง่าย ฟังดูไม่เหมือนการข่มขู่เอาชีวิต แต่รังสีอำมหิตที่ทั้งคู่แสดงออกทางกิริยาไม่ใช่เรื่องแปลกปลอม

ลักษณ์ลอบสูดลมหายใจยาวลึก...สุขศจีทำได้จริง...ต้องเรียกความกล้าหาญออกมา สถานการณ์นี้เขาต้องปักหลักให้มั่นคง ไม่เช่นนั้นย่อมล้มครืนไร้จุดยืน

“ถ้าเฮียถูกอุ้ม หรือเป็นอะไรขึ้นมาอย่างเฮียราม ผู้ต้องสงสัยจะเหลือแค่เธอกับไอ้หมุด ตอนนี้เรื่องร้ายต่างๆ ในครอบครัวเรา ทุกคนพุ่งเป้าสงสัยมาที่เฮียคนเดียว...ถ้าไม่มีเฮีย ตำรวจจะเหลือผู้ต้องสงสัยแค่สอง...เธอคงขยับตัวลำบากหน่อยละ”

คำพูดที่ไม่เกรงต่อฝ่ายตรงข้ามทำให้ทั้งคู่ชะงักงัน คาดไม่ถึงลูกไก่ในกำมือ จะมีทางออกแบบที่ใครก็คิดไม่ถึง

ขณะที่ทั้งสามหยุด...ลองเชิงวัดใจกัน ประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออก พร้อมกับพยาบาลเดินหน้าตื่นมาหา

“พวกคุณเห็นคนเจ็บออกมามั้ยคะ” คำถามสร้างความงงงวยแก่ทุกคน

“ไม่เห็น” ลักษณ์ตอบแทนทุกคน ที่จริง...ระหว่างสนทนาดูเชิงกัน ไม่มีใครให้ความสนใจกับห้องฉุกเฉินและคนเจ็บในนั้นเลย

“เอ๊ะ...เป็นไปได้ยังไง...แล้วคนไข้หายไปไหน”

“หายไป” ลักษณ์อุทาน...เป็นไปได้อย่างไร บุญส่งบาดเจ็บขนาดนั้น จะมีเรี่ยวแรงหนีไปไหน โดยไม่มีใครรู้ 

ขณะที่ลักษณ์พูดกับพยาบาลอยู่นั้น สุขศจีก็เงยหน้ามองหลิง สบตากันแทนคำพูด ก่อนจะเลี่ยงออกมาอย่างรวดเร็ว 

ลักษณ์เห็นคนทั้งสองเดินจากไปก็รู้เจตนาชัดว่าต้องการล่าตัวบุญส่ง...ถึงตอนนี้นับว่า โชคดีที่บุญส่งรู้สถานการณ์รีบหนีไปก่อน ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มีปัญญาทำอะไรได้...ถ้าจะมีสิ่งใดที่เขาทำให้ลูกน้องที่ซื่อสัตย์ของรามได้...นั่นคือการอวยพร...ขอให้ปลอดภัย...

 

 

 

 

บทที่ ๒๘

 

 

ช่วงสองสามวันต่อจากนั้นเป็นช่วงเวลาที่ลักษณ์ตกนรก!...

มันร้อนรุ่ม สุมอกแทบทุกขณะจิต ไม่ว่าจะขยับตัวทำอะไรก็ร้อนไปหมด นอนไม่หลับตาแข็งค้างยันเช้า

เขาไม่อาจรู้ชะตากรรมสามแม่ลูก ไม่รู้ว่าจะถูกทารุณขนาดไหน ยิ่งไม่รู้ ยิ่งจินตนาการภาพความทรมานน่ากลัว หลอกหลอนจิตใจ

ช่วงเวลาสองสามวันเขาถูกจับตาแทบทุกฝีก้าว ไม่มีโอกาสโทรศัพท์แจ้งตำรวจ หรือทำตัวเป็นพิรุธผิดสังเกต

พวกลูกจ้างบ้านรามที่หลงเหลือ ก็เป็นพวกไม่มีสมอง ไม่มีหัวคิด เจ้านายหายไปก็ยังไม่รู้คิดว่าพวกเขาเข้ากรุงเทพฯ ไม่ได้สนใจติดตามไต่ถาม ปล่อยให้ทุกอย่างเงียบ ราบเรียบเกินคาด 

ในที่สุดช่วงเวลา “สองสามวัน” อันแสนทรมานก็สิ้นสุดลง เมื่อลักษณ์ได้รับโทรศัพท์จากบุคคลที่ตนเฝ้ากังวล เป็นห่วง 

“ลักษณ์” เสียงแหบพร่าของศรีนวล

“พี่ศรี...” ลักษณ์อุทานตกใจ ตะลึงงัน “เป็นยังไงบ้าง”

ความเงียบกางกั้นชั่วขณะ ราวอีกฝ่ายกำลังดูเชิงด้วยใจอ่อนล้า หมดเรี่ยวแรง

“มาที่บ้านหน่อย มีเรื่องจะคุยด้วย” นี่เป็นประโยคที่ยาวที่สุด ก่อนจะวางหู

ลักษณ์แทบกระโจนออกจากบ้าน ไปยังที่หมายแทบจะทันที ใจคอร้อนรุ่ม ทั้งเป็นห่วง หวาดกลัว ศรีนวลกับลูกทั้งสองถูกลักพาตัวอย่างนี้ รับรองไม่มีเรื่องดีแน่ 

 

 

บ้านของรามเงียบกริบผู้คนที่เคยคึกคัก เข้าออกวันละหลายคนกลับหายหน้าหายตา เหลือลูกจ้างคนสองคน ดูท่าไม่ค่อยมีสติปัญญา ถึงไม่รู้ว่านายตัวเองถูกลักพาตัวไปตั้งสองสามวัน

ลักษณ์มองบรรยากาศในบ้านแล้วหดหู่ใจ รามตาย ไม่ต่างจากไม้ใหญ่โค่น นกกาที่เคยอาศัยต่างบินลี้หนีจาก มองเห็นชัดถึง “อำนาจ” และ “การหมดอำนาจ” นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ผลักดันให้ศรีนวลคิดไปอยู่ต่างประเทศ

ที่ห้องรับแขก ศรีนวลกับเอก...ลูกชายนั่งรออยู่ก่อน ขาดแต่ลูกสาว ซึ่งปกติจะมาคอยประกบแม่ไม่ยอมห่าง ลักษณ์สะดุดใจแต่ไม่กล้าเอ่ยปากทักถาม เพราะแววตาสองแม่ลูกที่มองเขายามนี้มันชวนให้เจ็บปวดแสยงใจจนบอกไม่ถูก

“นี่...สัญญาที่ฉันกับลูกเซ็นว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับสมบัติตระกูลเธออีก”

ศรีนวลเลื่อนเอกสารมาให้ตรงหน้า ดวงตาเอ่อคลอด้วยน้ำตาคับแค้นใจ ใบหน้าพอกเครื่องสำอางหนา ปกปิดร่องรอยบอบช้ำ

“อะไรกันครับพี่” ลักษณ์เอ่ยปากงุนงง คำพูดนี้ทำให้ฝ่ายตรงข้ามหลุดปากแสดงความรู้สึกออกมา

“ไม่ต้องมาแกล้งโง่เลย ฉันกับลูกให้ในสิ่งที่พวกเธอต้องการแล้ว ต่อจากนี้ปล่อยพวกเราเป็นอิสระได้หรือยัง”

ลำคอลักษณ์ตีบตัน มีก้อนแข็งมาจุกไว้พูดไม่ออก มองหน้าศรีนวล เลื่อนไปถึงเอก ลูกชาย พบกับแววตาคับแค้น...เกลียดชัง...เขาไม่อาจแกล้งทำเป็นโง่ ไม่รู้เรื่องรู้ราว และไม่สามารถอธิบายพูดจาได้มากกว่านี้

“ได้เอกสารแล้วก็ออกไปจากบ้านนี้เสียที หวังว่าเราคงจะไม่เจอกันอีก ตลอดชีวิต”

ลักษณ์ออกจากบ้านนั้นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว...รู้แค่ตนเองเป็นจำเลยอีกแล้ว...สองแม่ลูกปักใจว่าเขาเป็นคนสั่งอุ้ม เป็นคนอยู่เบื้องหลังการลักพาตัว และยังหวาดกลัวเกินกว่าจะแจ้งความดำเนินคดี ถึงอย่างนั้น ความเกลียดชัง สะอิดสะเอียนจะฝังรากลึกลงในหัวใจพวกเขาไม่มีวันหลุดถอน เปลี่ยนแปลงได้เลย

พวกของหลิง สุขศจีทำอะไรกับสามแม่ลูกกันแน่...พวกเขาจึงยินยอมเซ็นเอกสารฉบับนี้ โดยไม่กล้าแจ้งความ ไม่กล้าโวยวายป่าวประกาศ มันคงเป็นการถูกทารุณกรรมทั้งร่างกายและจิตใจจนเกินทน ฝังลึกเป็นฝันร้ายเกินกว่าจะจินตนาการ

...ลักษณ์ไม่กล้าคิดถึงมัน...ยามใดที่เขานึกว่าแม่ลูกเหล่านี้ต้องได้รับสิ่งใดบ้าง มันก็สร้างบาดแผล แผดร้อนจิตใจไม่ต่างจากตกนรก...

อดคิดไม่ได้...ครั้งหนึ่ง รามก็เคย “อุ้ม” พิทักษ์กับเนื้อนวลเพื่อให้เซ็นเอกสารเหมือนกัน หรือกงกรรมจะเวียนมาถึงลูกเมียทันตาเห็น

ลักษณ์ไม่เชื่อว่า “กรรม” ของพ่อจะตกมายังลูกเมีย เขาเชื่อมาตลอดว่า “กรรม” เป็นเรื่องใครทำใครรับ ทว่า เหตุการณ์ครั้งนี้...จะมีคำอธิบายเช่นไร 

 

 

คุณนายพวงทองมีโอกาสเห็นเงาสะท้อนของกรรมอีกครั้ง...ผ่านราม...ศรีนวลและหลาน...

“กรรม” นั้น...ใครทำ...ใครรับ...“จริง” เพียงแต่แรงดึงดูดของกรรมจะชักนำผู้ที่สร้างกรรมใกล้เคียงกัน ให้มาอยู่ร่วมกัน จัดสรรอย่างลงตัว... บางครั้ง เมื่อคนคนหนึ่งทำกรรมอย่างไรไว้ เขาก็อาจได้เห็น... “เงาสะท้อนผลกรรม” ผ่านคนใกล้ตัว 

เงาสะท้อนผลกรรม...มิใช่...กรรมของเขาตกไปอยู่กับลูกเมีย...แต่ลูกเมียของเขาก็กำลังใช้กรรมของตนอยู่เช่นกัน เป็นกรรมที่สร้างไว้อย่างไร...เมื่อใด...มีแต่ดวงตาของผู้ได้ญาณ หยั่งรู้กรรมของสัตว์โลกจึงสามารถอธิบายได้กระจ่างชัด

ครั้งหนึ่งรามเคยสั่งให้บุญส่ง “อุ้ม” พิทักษ์กับเนื้อนวลไปขู่เข็ญเซ็นเอกสาร กรรมครั้งนั้นย่อมตกอยู่กับราม บุญส่ง ส่วนที่ศรีนวลและลูกถูก “อุ้ม” ในลักษณะเดียวกัน ก็แสดงว่าเธอกับลูกต้องเคยทำกรรมเช่นนั้นมาแล้ว แรงดึงดูดของกรรมจึงชักนำให้หล่อนมาเป็นคนในครอบครัวของราม ได้รับผลกรรมไล่เลี่ย เป็นจังหวะ เสมือนเงาสะท้อนผลกรรมที่รามเคยทำไว้

คุณนายพวงทองเห็นเช่นนี้รู้สึกใจห่อเหี่ยว ตลอดชีวิตมนุษย์ เธออาจยังไม่ได้รับผลกรรมหนักๆ ที่เคยสร้างเอาไว้ แต่การได้เห็น “เงาสะท้อน” ผลกรรมผ่านลูกผ่านหลานเช่นนี้ ยิ่งทำให้เธอมั่นใจ “กรรม” ส่งผลแน่ ไม่ว่าเธอจะหลบไปอยู่ชาติภพไหน...มันจะรอคอยเวลาของมัน เสมือนเสือคอยตะครุบเหยื่อ...เมื่อถึงตอนนั้น...ไม่ว่าเธอจะจำ “เหตุ” ของมันได้หรือไม่...มันก็จะกระโจนเข้าใส่อย่างไม่รั้งรอ...ไม่มีปรานี... 

 

 

(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า) 



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP