จุดหมายปลายธรรม Destination@Dharmma

เมื่อโดนโกรธ เมื่อโดนด่า


 

งดงาม
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it

103 destination

เราทุกคนก็คงเคยโดนคนอื่นด่า หรือโดนคนอื่นโกรธด้วยกันทั้งนั้นนะครับ
ผมเคยพบเหตุการณ์หนึ่งซึ่งญาติธรรมท่านหนึ่งโกรธและไปว่าคนอื่น

ผมถามญาติธรรมท่านนั้นว่าไปโกรธและว่าคนอื่นทำไม
ญาติธรรมตอบว่าก็คนนั้นมาโกรธก่อนและมาว่าก่อน จึงโกรธกลับและว่ากลับเท่านั้น

คำตอบที่ว่าเขามาโกรธเราก่อน แล้วเราจึงโกรธเขากลับไปนี้
บางท่านอาจจะมองเหมือนว่าเป็นสิ่งที่น่าจะทำได้นะครับ
แต่อันที่จริงแล้ว ในพระธรรมคำสอนแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่สมควรทำเลย
โดยคำสอนในพระไตรปิฎกในส่วนของคาถาธรรมบท ก็มีกล่าวไว้นะครับว่า
“ในกาลไหนๆ เวรในโลกนี้ย่อมไม่ระงับเพราะเวรเลย
แต่ย่อมระงับเพราะความไม่จองเวร”

นอกจากนี้ ในคาถาธรรมบทยังมีกล่าวอีกว่า
“ถ้าบุคคลมีใจอันโทษประทุษร้ายแล้ว กล่าวอยู่ก็ตาม ทำอยู่ก็ตาม
ทุกข์ย่อมไปตามบุคคลนั้น เพราะทุจริต ๓ อย่างนั้น
เหมือนล้อหมุนไปตามรอยเท้าโคผู้ลากเกวียนไปอยู่”
(ทีนี้ เมื่อเราโกรธคนอื่นก็คือ เรามีใจอันเป็นโทษประทุษร้ายแล้ว
และเมื่อเราว่าคนอื่นก็คือกำลังกล่าวอยู่ ผลก็คือทุกข์ย่อมตามเรานั่นแหละครับ)

หากเราจะบอกว่าก็คนอื่นมาว่าเราก่อน เราก็เลยไปว่าคนอื่นกลับ
ในคาถาธรรมบทนั้นได้อธิบายว่า
“ชนเหล่าใดเข้าไปผูกเวรไว้ว่า คนโน้นด่าเรา คนโน้นได้ตีเรา คนโน้นได้ชนะเรา
คนโน้นได้ลักสิ่งของๆ เรา ดังนี้ เวรของชนเหล่านั้นย่อมไม่ระงับ
ส่วนชนเหล่าใดไม่เข้าไปผูกเวรไว้ว่า คนโน้นด่าเรา คนโน้นได้ตีเรา
คนโน้นได้ชนะเรา คนโน้นได้ลักสิ่งของๆ เรา ดังนี้ เวรของชนเหล่านั้นย่อมระงับ”
เช่นนี้ เราพึงทราบว่าเมื่อเราไปว่าคนอื่นแล้ว ก็เท่ากับว่า เวรของเราย่อมไม่ระงับ
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=25&A=268&Z=329

นอกจากนี้ หากจะเปรียบเทียบกันแล้ว ระหว่างคนอื่นมาโกรธเราก่อน และเราโกรธตอบ
ถามว่าใครจะแย่กว่ากัน ซึ่งเราอาจจะมองว่าคนอื่นที่มาโกรธเราก่อนนั้นแย่กว่าใช่ไหม?
แต่ตามคำสอนในอักโกสกสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนว่า

“ผู้ใดโกรธตอบบุคคลผู้โกรธแล้ว ผู้นั้นเป็นผู้ลามกกว่าบุคคลนั้นแหละ เพราะการโกรธตอบนั้น”
กล่าวคือ เราซึ่งเป็นคนที่โกรธตอบคนอื่นนั้นแย่กว่าคนอื่นที่มาโกรธเราก่อนเสียอีกนะครับ
ไม่ใช่ว่าคนอื่นที่มาโกรธก่อนนั้นจะแย่กว่า

ตามเนื้อหาของอักโกสกสูตรนี้ มีพราหมณ์ท่านหนึ่งชื่อ “อักโกสกภารทวาชพราหมณ์”
โดยอักโกสกภารทวาชพราหมณ์มีเรื่องโกรธไม่พอใจพระผู้มีพระภาคเจ้า
เขาจึงได้ไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
แล้วก็ด่าบริภาษพระผู้มีพระภาคด้วยวาจาอันหยาบคายอันมิใช่ถ้อยคำของสัตบุรุษ

เมื่ออักโกสกภารทวาชพราหมณ์กล่าวดังนั้นแล้ว
พระผู้มี พระภาคเจ้าได้ตรัสถามอักโกสกภารทวาชพราหมณ์ว่า
อักโกสกภารทวาชพราหมณ์มีมิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิตผู้เป็นแขกมาหาบ้างไหม

อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ทูลตอบว่ามี โดยมิตร อำมาตย์
ญาติสาโลหิตผู้เป็นแขกของตนเองนั้นย่อมมาเป็นบางคราว

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามต่อไปว่า
อักโกสกภารทวาชพราหมณ์จัดของเคี้ยว ของบริโภค หรือของดื่มต้อนรับมิตร
อำมาตย์ ญาติสาโลหิตผู้เป็นแขกเหล่านั้นบ้างหรือไม่
อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ทูลตอบว่า ตนเองจัดของเคี้ยว ของบริโภค หรือของดื่ม
ต้อนรับมิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิตผู้เป็นแขกเหล่านั้นบ้างในบางคราว

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามต่อไปว่า
ถ้ามิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิตผู้เป็นแขกเหล่านั้น ไม่รับของเคี้ยว ของบริโภค หรือของดื่มแล้ว
ของเคี้ยว ของบริโภค หรือของดื่มเหล่านั้นจะเป็นของใคร
อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ทูลตอบว่า ถ้ามิตร อำมาตย์ ญาติสาโลหิตผู้เป็นแขกเหล่านั้น
ไม่รับของเคี้ยว ของบริโภค หรือของดื่มแล้ว
ของเคี้ยว ของบริโภค หรือของดื่มเหล่านั้นก็เป็นของตนเองดังเดิม

พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ทรงสอนอักโกสกภารทวาชพราหมณ์ว่า
ดูกรพราหมณ์ ข้อนี้ก็อย่างเดียวกัน ท่านด่าเราผู้ไม่ด่าอยู่ ท่านโกรธเราผู้ไม่โกรธอยู่
ท่านหมายมั่นเราผู้ไม่หมายมั่นอยู่ เราไม่รับเรื่องมีการด่า เป็นต้น ของท่านนั้น
ดูกรพราหมณ์ เรื่องมีการด่าเป็นต้นนั้น ก็เป็นของท่านผู้เดียว แล้วตรัสต่อไปว่า
ดูกรพราหมณ์ ผู้ใดด่าตอบบุคคลผู้ด่าอยู่ โกรธตอบบุคคลผู้โกรธอยู่
หมายมั่นตอบบุคคลผู้หมายมั่นอยู่ ดูกรพราหมณ์ ผู้นี้เรากล่าวว่า ย่อมบริโภคด้วยกัน
ย่อมกระทำตอบกัน เรานั้นไม่บริโภคร่วม ไม่กระทำตอบด้วยท่านเป็นอันขาด
ดูกรพราหมณ์ เรื่องมีการด่าเป็นต้นนั้นเป็นของท่านผู้เดียว

หลังจากนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสอนต่อไปว่า
“ผู้ไม่โกรธ ฝึกฝนตนแล้ว มีความเป็นอยู่สม่ำเสมอ หลุดพ้นแล้ว
เพราะรู้ชอบ สงบ คงที่อยู่ ความโกรธจักมีมาแต่ที่ไหน
ผู้ใดโกรธตอบบุคคลผู้โกรธแล้ว ผู้นั้นเป็นผู้ลามกกว่าบุคคลนั้นแหละ เพราะการโกรธตอบนั้น
บุคคลไม่โกรธตอบ บุคคลผู้โกรธแล้ว ชื่อว่าย่อมชนะสงครามอันบุคคลชนะได้โดยยาก
ผู้ใดรู้ว่าผู้อื่นโกรธแล้ว เป็นผู้มีสติสงบเสียได้
ผู้นั้นชื่อว่าย่อมประพฤติประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย คือแก่ตนและแก่บุคคลอื่น
เมื่อผู้นั้นรักษาประโยชน์อยู่ทั้งสองฝ่าย คือของตนและของบุคคลอื่น
ชนทั้งหลายผู้ไม่ฉลาดในธรรมย่อมสำคัญบุคคลนั้นว่า เป็นคนเขลา ดังนี้”
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_line.php?B=15&A=5185

เดิมทีนั้น อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ได้มาเพื่อด่าบริภาษพระผู้มีพระภาคเจ้านะครับ
แต่เมื่อเขาได้ฟังพระธรรมคำสอนแล้ว อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ ได้กราบทูลว่า
“ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก
พระโคดมผู้เจริญทรงประกาศพระธรรมโดยปริยายเป็นอันมาก
เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง
หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยคิดว่า คนมีจักษุย่อมเห็นรูปได้ฉะนั้น
ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระโคดมผู้เจริญ พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ
ขอข้าพระองค์พึงได้บรรพชาพึงได้อุปสมบทในสำนักของพระโคดมผู้เจริญ”
ซึ่งหลังจากที่อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ได้อุปสมบทแล้ว
ท่านก็ได้หลีกไปอยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร แล้วก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ครับ

จากอักโกสกสูตรที่เล่ามาข้างต้น เราย่อมจะสรุปได้ว่า
ถ้ามีคนมาโกรธเราก่อน แล้วเราไปโกรธตอบ ก็ถือว่าเราแย่กว่าคนมาโกรธเราเสียอีก
(แถมเวรก็ยังไม่ระงับ แล้วก็ต้องจองเวรกันต่อไป)
แต่ถ้าเราไม่โกรธตอบแล้ว เราย่อมได้ชื่อว่าชนะสงครามอันบุคคลชนะได้โดยยาก

นอกจากนี้ หากคนอื่นโกรธเราแล้ว แต่เรามีสติสงบเสียได้
ย่อมถือได้ว่าเราประพฤติประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย คือแก่ตนและแก่บุคคลอื่นนั้น
แต่หากจะมีคนอื่นมามองว่า เราโง่เพราะการทำเช่นนั้นแล้ว
ก็เป็นเพราะว่าคนที่มามองเราดังกล่าวนั้นเขาไม่ฉลาดในธรรมเอง

เล่ามาถึงตรงนี้แล้ว ถ้าเกิดเราได้ไปประสบเหตุการณ์ที่ว่ามีคนมาโกรธเรา มาด่าเราแล้ว
เราก็มีทางเลือกนะครับว่า เราจะโกรธตอบ จะด่าตอบคนอื่นนั้น
หรือว่าเราจะเลือกมีสติสงบ และไม่โกรธตอบ ไม่ด่าตอบนะครับ

 



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP