ก่อนเกิดเป็นดังตฤณ Dungtrin's Secret

ความจริงอันน่าสยดสยองของกายมนุษย์


secret

โดย ดังตฤณ

รสของสมาธิอันกว้างขวางปลอดโปร่ง ถือเป็นสิ่งที่ผมคุ้นเคย แต่สิ่งที่ทำให้คุ้นทาง เห็นว่าตนเองเคยอยู่บนเส้นทางสายนี้มานานและกำลังเดินทางต่อ คงได้แก่การฝึกจนล่วงรู้ความจริงอันน่าสยดสยองของกายตัวเอง

ผมอ่านวิธีฝึกสมาธิและวิปัสสนาหลากหลาย แต่สิ่งที่ไม่หายข้องใจก็ได้แก่เรื่องของการฝึกอสุภกรรมฐาน ฝึกยังไง ฝึกไปทำไม รู้สึกงงๆอยู่ ทราบหลักการคร่าวๆแค่ให้พิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ตลอดจนทะลุเข้าไปถึงตับไตไส้พุงข้างในกายตัวเอง จนเห็นว่าสกปรก ไม่น่าใคร่ ไม่ควรเอา

ช่วงที่ยังไม่เข้าใจนั้น ผมเห็นกรรมฐานเป็นของสนุก เป็นกีฬาสมาธิมากกว่าอย่างอื่น ดังนั้น เมื่อไม่เห็นว่าพิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง แล้วจะเกิดสมาธิสนุกสนานขึ้นมาได้อย่างไร จึงทำๆเลิกๆ ไม่เป็นเรื่องเป็นราวต่อเนื่องเท่าใดนัก

กระทั่งวันหนึ่ง รื้อค้นตู้หนังสือของคุณพ่อเจอคัมภีร์วิสุทธิมรรค เห็นท่านแนะแนววิธีทำอสุภกรรมฐาน โดยใช้อุบายจินตนาการด้วยกำลังสมาธิ ให้เห็นข้อมือถูกกรีด แล้วค่อยๆแหวกชำแหละตัวเองจากรอยกรีดนั้นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเห็นน้ำเลือดน้ำหนองและเครื่องในที่ซ่อนอยู่ใต้ผิวหนังนี้

นั่นเองจึงกระตุ้นความสนใจ อยากเล่น อยากลองขึ้นมา พยายามเข้าสมาธิแล้วจินตนาการตามคัมภีร์สอนอยู่หลายวัน แต่ช่วงนั้นจิตไม่ค่อยนิ่ง ได้สมาธิแบบอ่อนๆ เหมือนตุ๊กตาล้มลุกมากกว่าจะตั้งมั่นเป็นหินผา พอใช้จินตนาการกรีดข้อมือเลยได้แค่ภาพเลือนรางเพียงอึดใจเดียว ไม่สำเร็จผลอะไรขึ้นมา

กระทั่งปะเหมาะเคราะห์ดีคืนหนึ่ง ผมนอนตามรู้ไปเรื่อยว่านี่ลมเข้า นี่ลมออก กระทั่งจิตไม่ซัดส่ายไปไหน ความรับรู้เหมือนม่อยๆจะหลับ แต่แล้วก็เกิดอาการรวมดวงนิ่ง นอกเหนือการบังคับด้วยความตั้งใจใดๆ

จากนั้น คงด้วยความผูกพันกับการจินตนาการกรีดร่างให้เกิดรอยแผล เพื่อชำแหละออกดูอสุภะภายใน จิตก็ทำงานของเขาเอง ทุกอย่างเป็นไปโดยอัตโนมัติ แล้วก็โลดโผนเกินความควบคุม

เริ่มต้นผมรู้สึกว่าตัวเองนอนลืมตานิ่งเฉยอยู่บนที่นอนที่เคยคุ้น ต่างจากปกติตรงที่มีความคมชัดผิดสังเกต จากนั้นอึดใจเดียว ก็เหมือนลำคอถูกเชือด ทีแรกยังไม่ตกใจมาก เพราะเหมือนครึ่งๆระหว่างตื่นเป็นปกติกับหลับอยู่ในสมาธิ กับทั้งรู้สึกว่านั่นเป็นอำนาจนึกของจิตที่พยายามฝึกชำแหละกายอยู่ ไม่ใช่ของจริง ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด

แต่แล้วรอยแผลก็ฉีกกว้างขึ้น ความรู้สึกเป็นจริงเป็นจังมาก เพราะชักกลัวว่านี่จะเหมือนจริงมากเกินไปแล้ว ทั้งความรู้สึกตื่นเต็ม ทั้งสัมผัสชัดทั่วสรรพางค์กาย ตลอดจนกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งที่พุ่งออกมาจากรอยแยกของแผล

เมื่อเห็นท่าไม่ดี ผมก็โงหัวขึ้นดู เห็นจะจะทั้งหัวใจ ปอด กระเพาะ ลำไส้ แออัดยัดเยียดอยู่ใต้กระดูกซี่โครง มันเป็นนาทีที่ผมสติหลุด วางเฉยเป็นอุเบกขาอยู่ไม่ไหว แหกปากร้องออกมาสุดเสียง ซึ่งพอรู้สึกถึงโฟกัสที่แก้วเสียง จิตก็เล่นตลกต่อด้วยการสมมุติใบมีดไร้ตนขึ้นมาเชือดหลอดลมเข้าให้อีก ผลคือมีแต่ลมพ่นฟู่ออกมาเป็นห้วงๆ ไม่มีเสียงกรีดร้องเล็ดรอดออกมาแม้แต่แอะเดียว

นั่นแหละครับ พอสติหลุดสมาธิก็พัง จิตถอนจากสภาพรวมดวง คืนสติกลับมารู้สึกถึงกายจริง อันเป็นฐานตั้งมั่นของจิตไปจนชั่วชีวิต ไม่ใช่กายเทียมอันเป็นนิมิตที่ถูกสร้างขึ้นด้วยสมาธิชั่วคราว

นั่นคือวาระแห่งความตื่นตระหนกขวัญหายที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ ถือเป็นบทเรียนที่สอนให้รู้ว่าถ้าจะเล่นกรรมฐานแบบโลดโผน ก็ต้องเตรียมใจวางเฉยให้พร้อมกว่านั้น

แต่อย่างไรผมก็ได้ความรู้มากมายจากนิมิตอสุภะที่เกิดขึ้น ลำดับได้เป็นข้อๆคือ

๑) จิตกับ ตัวตนเป็นคนละส่วนกัน จิตทำงานเป็นอัตโนมัติอยู่เหนือการควบคุมของเรา อันหมายถึงภาวะนึกๆคิดๆตามปกติ อย่างเช่นเมื่อจิตรวมดวงด้วยความผูกพันกับกรรมฐานแบบไหน จิตก็จะยกเอากรรมฐานแบบนั้นมาต่อ
ยอด ตามแนวทางที่ฝึกๆอยู่ โดยที่ตัวเราไม่ต้องสั่ง และบางทีแม้พยายามสั่ง ก็ใช่ว่าจิตจะยอมทำหรือยอมเลิกตามคำสั่ง

๒) สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมจัดได้ว่าเป็น ปฏิภาคนิมิตซึ่งถ้าหากอธิบายง่ายที่สุดก็คือนิมิตที่ ยิ่งกว่าเหมือนจริงคือเราจะรู้สึกเป็นจริงเป็นจัง แต่ก็เป็นต่างหากจากของจริง จำลองของจริงมาดัดแปลงเป็นอย่างไรก็ได้ ตามแต่จะถูกปรุงแต่งไป ขณะเกิดปฏิภาคนิมิตเต็มที่ จะเหมือนมีเราอีกตัวแยกออกจากโลกความเป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเจริญกรรมฐานโดยอาศัยกายเป็นที่ตั้ง ก็จะเหมือนปรากฏกายเป็นต่างหาก เพื่อแสดงอาการต่างๆจำลองของจริง เช่น สภาพถูกชำแหละเป็นกองเลือดกองเนื้อเน่าเหม็น หรือสภาพค่อยๆเน่าเปื่อยผุพังเลียนแบบศพระยะต่างๆ ตรงนี้ขอให้ทราบนะครับว่าปฏิภาคนิมิตนั้นต่างจากนิมิตฝันที่โยกโย้เลื่อนเปื้อน คือมีความคมชัด จับต้องได้แบบคงเส้นคงวาไม่ต่างจากของจริงเลย

๓) ผลของการเห็นปฏิภาคนิมิตเดี๋ยวเดียว ไม่ได้ทำให้รังเกียจกายในระยะยาวตามจุดประสงค์ มันเป็นแค่ความสนุก น่าตื่นเต้น หรือชวนหวาดเสียวเพียงชั่วครั้งชั่วขณะ ถ้าจะเจริญอสุภกรรมฐานให้หมดความไยดีทางเพศ ก็ต้องอาศัยกายตามปกติที่กำลังรู้ได้อยู่ในปัจจุบันเป็นตัวตั้ง แล้วนึกถึงจุดน่ารังเกียจสักแห่งที่นึกออกจริงๆ จะเป็นหน่อเหม็นแนวเหม็นตรงไหนก็ได้ เช่น หนังหัวเหม็นๆ ถ้านึกออกเรื่อยๆ ก็ได้ผลเสียยิ่งกว่าเห็นนิมิตน่ากลัวชั่วขณะเป็นไหนๆ เพราะเราจะไม่มีทางรู้สึกถึงความน่าใคร่ของร่างกายตัวเองหรือคนอื่นได้เลย ตราบเท่าที่รู้สึกถึงส่วนน่ารังเกียจได้อย่างนั้น

ความที่เคยเจริญอสุภกรรมฐานไว้มากในชาติก่อน ชาตินี้พอเห็นแค่รูปศพจึงเกิดอาการตาสว่างเหมือนถูกตบท้ายทอยให้มองเห็นความจริงตรงหน้าชัดๆ และเมื่อพยายามเจริญอสุภกรรมฐานอีก จึงเกิดปฏิภาคนิมิตอย่างรวดเร็วดังที่เล่าให้ฟังแล้วข้างต้น

ทุกครั้งที่พยายามเจริญอสุภกรรมฐาน ผมจะรู้สึกเหมือนบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไป คล้ายย้ายไปอยู่ในกลิ่นอายแบบป่าๆดงๆ เป็นใครอีกคนที่ดิบๆ สูงใหญ่และห้าวหาญ ต่างไปจากตัวตนในกลิ่นอายอบอุ่นปลอดภัย เป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่มีชีวิตแบบคุณหนูมาแต่เด็ก

ฝึกอสุภกรรมฐานอยู่พักหนึ่ง รู้สึกรังเกียจกายได้ตลอดวันตลอดคืน พะอืดพะอมเหมือนหายใจได้กลิ่นขี้มูกอยู่ตลอด หรือบางทีก็เหมือนเจือกลิ่นเปรี้ยวเหม็นของน้ำเลือดน้ำหนอง อาการเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อแบบคุณหนูก็กำเริบ ล้มเลิกกลางคัน เอาใจไปผูกกับของสวยของงามและแผ่เมตตาแทน เพราะทราบว่าแก้อาการจิตตกจากอสุภกรรมฐานได้

นึกย้อนไป ตอนนั้นถ้าใจแข็งสักนิด หรือมีพี่เลี้ยงดีๆสักคน ผมคงก้าวหน้าได้แบบพรวดพราด เพราะอสุภกรรมฐานเป็นกรรมฐานที่ทำให้เข้าถึงฌานได้เร็ว เนื่องจากจิตจะหมดความยินดีในภาวะทางเพศประจำกาย แยกตัวเป็นต่างหากจากกาย ผุดผ่องไร้มลทินจากกามเต็มดวง เสียดายถอดใจเสียก่อน ไม่ทำให้ถึงขีดสุด ก็เลยหยุดอยู่แค่ครึ่งๆกลางๆ ปล่อยให้ฐานชีวิตแบบคุณหนูในชาตินี้ครอบงำ และมีความยินดีอยู่ในกายได้ไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป

ผมมาทราบหลักการที่ถูกต้องในการเจริญอสุภกรรมฐาน ก็ไม่รู้กี่ปีให้หลัง กล่าวคือเมื่ออ่านพระวินัยข้อหนึ่ง เกี่ยวกับโทษขั้นที่ต้องสึกจากความเป็นพระ เรื่องมีอยู่ว่าพระพุทธเจ้าประทับอยู่ในป่ามหาวันพร้อมกับเหล่าภิกษุ พระองค์ได้ทรงสรรเสริญคุณแห่งอสุภกรรมฐาน กระทั่งเหล่าภิกษุติดใจ เห็นดีเห็นงาม พากันพากเพียรอุตสาหะ เจริญอสุภกรรมฐานกันทั้งวันทั้งคืน

แต่ช่วงนั้นพระพุทธเจ้าหลีกเร้นตามลำพังพระองค์เดียวอยู่หลายอาทิตย์ ใครๆก็เข้าเฝ้าไม่ได้ ดังนั้น เหล่าภิกษุจึงเจริญอสุภกรรมฐานกันตามอัธยาศัย ไม่มีใครชี้แนะ พอเกิดความเบื่อหน่าย รังเกียจกายของตนเหมือนสาวสำอางโดนกลั่นแกล้ง เอาซากศพงูหรือซากศพสุนัขมาคล้องคอ คุณคงนึกออกว่าไม่มีใครทนไหว ซึ่งก็เช่นเดียวกับเหล่าภิกษุในป่ามหา-
วัน ที่ลงมือฆ่าตัวเองตายบ้าง ฆ่ากันและกันบ้าง ว่าจ้างคนอื่นให้ฆ่าบ้าง

เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากที่เร้น ทรงทราบเรื่องดังกล่าวจากพระอานนท์ จึงเรียกประชุมสงฆ์ แล้วสอนให้เจริญสติโดยอาศัยลมหายใจเป็นหลักตั้ง มีความสุขมั่นคงดีแล้ว จึงค่อยตามด้วยอสุภกรรมฐานเป็นการต่อยอด

สรุปคือถ้าจะเจริญอสุภกรรมฐาน คุณควรเจริญสติด้วยลมหายใจจนมีความสุขตั้งมั่นเสียก่อน ความสุขที่ตั้งมั่นแล้วของจิตนั้น จะเหมือนเครื่องสกัดทุกข์อันเกิดจากการเห็นความจริงอันน่าสยดสยองของกายตัวเอง

ภาวะทางจิตอันปลอดโปร่งบริสุทธิ์นั้น ให้ความรู้สึกเหมือนจิตแยกออกมาตั้งอยู่ห่างๆจากกายจริงๆนะครับ แบบคัมภีร์เปรียบไว้เลย คือคล้ายซากศพงูหรือซากศพหมาที่น่าสะอิดสะเอียนแขวนอยู่ข้างหน้า ราวกับจะยั่วให้อาเจียน แต่ด้วยความที่มีระยะห่างระหว่างจิตกับกาย ความน่ารังเกียจของกายจึงกระแทกไม่ถึงจิต จิตไม่เกิดความกระสับกระส่าย
ทุรนทุราย เอาแต่ตั้งมั่นเป็นเอกเทศกับตนเองอยู่เช่นนั้น

เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสุข และผูกอยู่กับอสุภกรรมฐานจริงๆ แม้นั่งคุยอยู่กับคนอื่น คุณก็อาจเกิดนิมิตน้ำหนองไหลเยิ้มออกมาจากร่างของตัวเองได้ ซึ่งนั่นเป็นอำนาจของสมาธิจิตบันดาล ก็ลองคิดดูว่าผลของความเก่งในอสุภกรรมฐาน จะเป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านว่าไว้ไหม นั่นคือ...

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เห็นธรรมอื่นแม้แต่อย่างเดียว ที่แก้ความพอใจในกามได้เสมอเหมือนอสุภนิมิต อสุภนิมิตเป็นเหตุให้ความพอใจในกามที่ยังไม่เกิด ไม่ต้องเกิดขึ้น และความพอใจในกามที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ดับลงเสียได้!




แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP