วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

กรงไฟ ๓๓



cover_krongfire

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


แดดยามเย็นสะท้อนผิวน้ำเป็นประกาย ปลาใหญ่น้อยกำลังฮุบเศษขนมปังที่เด็กๆ เอามาโปรยให้อาหาร รอบบึงกว้างเป็นลู่วิ่ง สวนสาธารณะมีผู้คนมาวิ่งออกกำลังกายเป็นแถว ครอบครัวพ่อแม่ลูกมาปูเสื่อนั่งกินขนม ลูกชิ้น บ้างก็ดูฝูงปลาเพลิดเพลิน

เชนวิ่งรอบที่สาม เหงื่อกำลังโซมตัว มองเห็นหญิงสาวหน้าใสใส่ชุดวอร์ม มายืนรออยู่ริมทาง พอเขามาถึง เจ้าหล่อนก็วิ่งตามเคียงข้าง

“ไปด้วยคนจ้า” น้ำเสียงสดใส

เชนไม่ขัดที่มีเพื่อนวิ่ง แม้เขาจะต้องผ่อนฝีเท้ารอหล่อนก็ตามที

“วันนี้ตั้งใจมาวิ่งกับพี่อย่างเดียว หรือจะแวะมากินข้าวด้วย” เขาถาม

“มาวิ่งด้วย กินข้าวด้วย ชวนไปเที่ยวด้วย” รุ่งรตีตอบรัวเร็ว

“จะชวนพี่ไปเที่ยวไหน” เขาถามอย่างสงสัย

“ไปฟังสวดศพ” หล่อนตอบ

“งานศพน้ารามเหรอ”

“เจ้าค่ะ สวดอีกแค่คืนสองคืนก็จะเผาแล้วนะ”

“อ้าว...ทำไมเร็วจัง พี่คิดว่าจะเก็บไว้อีกเป็นเดือน”

“ไม่รู้สิ วันนี้เห็นพ่อกับอาจีคุยกัน...บ่นใหญ่เลยเรื่องที่ป้าศรีนวลแกจะรีบเผา รีบเอาสมบัติ”

เชนยิ้ม...คร้านจะซักไซ้ ไต่ถามเรื่องพวกนี้

“แล้วนึกยังไงมาชวนพี่ไปฟังสวด”

“ไม่ได้แค่ไปฟังสวดอย่างเดียว ไปที่อื่นด้วย”

“อย่าบอกนะว่าจะพาพี่เข้าผับ” เขาแกล้งแหย่

“ไม่เข้าผับ เราไปเที่ยวป่าช้าดีมั้ย” รุ่งรตีพูดทีเล่นทีจริง

เชนหันมองหญิงสาว เห็นสีหน้าจริงจังมากกว่าล้อเล่น จึงผ่อนฝีเท้าลง กลายเป็นเดินเอื่อยๆ เคียงคู่

“มีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามอย่างคนคุ้นเคย

“ก็นิดหน่อย” รุ่งรตีตอบตรงไม่ปิดบัง

“งั้นมานั่งคุยกันดีกว่า” เขาพาหญิงสาวออกจากทางวิ่งไปนั่งตรงเก้าอี้ใต้ต้นไม้ริมน้ำ

สีหน้ารุ่งรตีผิดแผกจากตอนแรก คล้ายกับเมื่อครู่หล่อนแสร้งทำสีหน้าสดใสกลบเกลื่อนเรื่องขุ่นมัวในใจ

“มีเรื่องอะไรจ๊ะ ไหนเล่าให้พี่ฟังซิ” เชนถามเสียงอ่อนโยน

“พ่อเขาจะส่งรุ้งไปอเมริกา”

แรกที่ได้ยิน เชนใจหายอย่างช่วยไม่ได้

“น้าลักษณ์แกพูดยังไง...สั่งให้ไปเลย หรือถามความเห็นความสนใจของรุ้งดูเฉยๆ” นิสัยของลักษณ์ ไม่น่าจะมาคิดบังคับลูกสาวอะไรเอาตอนอายุป่านนี้

“กึ่งถามกึ่งบังคับแหละ” รุ่งรตีตอบแกมขัดใจ “เขาบอกว่ารุ้งลอยไปลอยมาอยู่นานแล้ว ไม่ยอมทำอะไรสักอย่าง เรียนก็ไม่เรียน ทำงานก็ไม่ทำงาน จะเอายังไง”

“แล้วรุ้งตอบว่ายังไง” เชนถาม

“ก็บอกว่า...ถึงรุ้งอยู่เฉยๆ ไม่ทำงานอะไร แต่ก็ไม่ได้ผลาญเงินพ่อเล่นเป็นแสนเป็นล้านเหมือนเมื่อก่อน มันไม่ดีหรือไง”

เชนฟังแล้วอดส่ายหน้าไม่ได้ รุ่งรตียังไม่สามารถแก้ไขนิสัยอารมณ์ร้อนโผงผาง วาจาแรงของตนได้สักที

“พ่อเขาคงหวังดีน่ะ” เชนประนีประนอม ทั้งที่ในใจเริ่มรู้สึกแปลกๆ

“ใช่...หวังดี...บอกว่าไปคราวนี้ เรียนอะไรมาให้จบสักอย่างก็ได้ พ่อจะได้ไม่อายเขา”

ฟังอย่างนี้ เชนพอจะเดาออกว่า รุ่งรตีจะสวนกลับแบบไหน

“รุ้งเลยบอกพ่อไปเลยว่า...ขี้เกียจเรียน ถ้าพ่อเลี้ยงรุ้งไม่ได้ รุ้งก็จะหาผัวให้มาเลี้ยงก็แล้วกัน”

เชนถอนใจ มองหน้าหญิงสาวไม่รู้จะพูดยังไง

“รุ้งไม่เข้าใจเลย ทำไมพ่อถึงมาบอกให้ไปเรียนไกลๆ เอาป่านนี้ มันไม่ช้าเกินไปหน่อยเหรอ”

หญิงสาวบ่น คำบ่นของหล่อนสะกิดใจชายหนุ่ม...จริงสิ ทำไมลักษณ์ถึงต้องการให้ลูกสาวไปอยู่ไกลตัวเวลานี้...ทั้งที่ผ่านมารุ่งรตีก็มีพัฒนาการในทางที่ดีขึ้นไม่น้อย ถ้าจะอ้างเรื่องเรียน ให้เรียนที่กรุงเทพฯก็ได้...หรือว่า...ลักษณ์มีเจตนาอะไรลึกซึ้งที่เขาไม่รู้...เจตนานั้นคืออะไร





บทที่ ๒๗




งานศพของรามกำลังจะผ่านไป พิธีการหลักๆ ดำเนินราบรื่นเรียบร้อย คลื่นมหาชนทยอยขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์ ดูหนาแน่นตั้งแต่บนเมรุ บันได ตลอดถึงลานกว้างรอบๆ กระทั่งล้นออกไปยังพื้นที่ข้างเคียง

ผู้ใหญ่ระดับจังหวัด นักการเมืองระดับประเทศ ท่านผู้ว่าฯ นายภาสกร ท่านมงคลขึ้นไปทอดผ้าบังสุกุล วางดอกไม้จันทน์เรียบร้อย ลงมายืนดูผู้คนจำนวนมหาศาลที่กำลังรอขึ้นตามกันไป

ศรีนวลกับลูกทั้งสามอยู่ในศาลา มีพวกเมียเล็กๆ ของรามล้อมรอบสร้างความรำคาญใจ

ลักษณ์และกลุ่มตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลอยู่รวมกันด้านหน้าเหมือนตนเอง เป็นคนนอกในงานศพพี่ชายคนโต แม้ผู้มาร่วมงานจะพูดจาปราศรัย ทักทาย ด้วยดี สีหน้าแววตาพวกเขาก็แปร่งแปลก

สายตาคนทั่วไปยังเชื่อว่าลักษณ์เป็นผู้จ้างวานฆ่าราม เสียงซุบซิบแว่วเข้าหูทำนองว่า

“ยังกล้ามาอีกเหรอ ไม่น่าเชื่อเลย”

“ดูสิ ใจคนเรา ทำด้วยอะไรกันนะ”

“เขามาน่ะถูกแล้ว ขืนไม่มาสิ ยิ่งแสดงพิรุธใหญ่ ว่าไม่กล้าสู้หน้าผีพี่ชายตัวเอง”

ถึงได้ยินก็ต้องทำเฉย หูทวนลม ใจเสียดแสยงทุกครั้งที่ได้ฟังคำพูดทำนองนี้ การถูกเข้าใจผิดทั้งที่ไม่ได้ทำผิด มันเจ็บปวด เสียดร้าวนัก แก้ตัวก็ไม่มีใครเชื่อ จำเป็นต้องปล่อยให้คำพูดเหล่านั้นสร่างซาไปเอง...ไม่รู้ว่านานเท่าใด

คุณจิตใส นายพลทางธรรม เชน และรุ่งรตีเป็นชุดแรกๆ ขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์ก่อน จากนั้นมายืนดูอยู่ข้างล่าง ทั้งสี่รู้ถึงการมาเยือนของคุณนายพวงทอง แต่น่าแปลกที่การมาเยือนครั้งนี้ไม่ก่อกระแสกดดัน สร้างปรากฏการณ์ประหลาดเช่นงานศพสีดา

ครั้งก่อนคุณนายพวงทองแสดงให้เชนกับรุ่งรตีเห็นว่าใครคือฆาตกรด้วยจิตแรงโทสะ ทว่าคราวนี้กลับมีแต่กระแสอ้อยอิ่ง เศร้าหมอง หม่นทุกข์ เหมือนดวงวิญญาณเหม่อซึม ไม่มีสติ ไม่เป็นตัวของตัวเอง เป็นไปได้หรือไม่ที่คุณนายพวงทองไม่อาจล่วงรู้...ใครคือฆาตกรตัวจริง

จิตที่ผูกพันกับลูกขนาดนี้ สายใยที่เกาะเกี่ยวอดีตไม่ยอมห่างไปไหน มีหรือที่คุณนายพวงทองไม่รู้...นอกจากว่า...รู้แล้ว...และกำลังเจ็บปวดกับการที่ได้รู้...

ความเจ็บปวดจากการที่ลูกชายคนโตตายสร้างทุกข์กองหนึ่งขึ้นมา ความเจ็บปวดที่ได้รู้จักฆาตกรตัวจริงก็สร้างทุกข์อีกกองขึ้นมา ทุกข์หนักขนาดนี้ดวงวิญญาณคุณนายพวงทองย่อมไม่เหลือเรี่ยวแรงกำลังใจ นอกจากกระแสทุกข์เศร้าให้คนที่เคยสัมผัส ได้รับรู้เท่านั้นเอง



ศพถูกเลื่อนสู่เตาเผา ร่างกายที่เคยเป็นสิ่งหวงแหนของมนุษย์ทุกคนกำลังถูกเปลวไฟโลมเลีย พระเพลิงกัดกินเนื้อหนังกระดูกให้ป่นเป็นเถ้า ไม่เหลือความเป็นตัวตนให้ใครเห็นอีก

รามเคยยิ่งใหญ่ ร่ำรวย มากด้วยบารมี ผู้คนทั้งรัก ทั้งเกรง มาบัดนี้ ความยิ่งใหญ่อยู่ที่ใดบารมีล้นฟ้าหายไปอยู่ไหน กระทั่งสมบัติสักชิ้นเงินสักบาท ก็ไม่อาจนำติดตัวไปยังสัมปรายภพ

น้ำตาของผู้สูญเสียเบื้องหลังไม่นานก็เหือดหาย ความทรงจำที่ติดอยู่ในหัวผู้คนไม่นานก็ถูกลบเลือน สุดท้าย...ในชาติหนึ่งมนุษย์เรา...มีอะไรให้ควรยึดมั่น...เสียดาย

ควันไฟสีเทาลอยสูงเหนือปล่องเมรุ เถ้าถ่านร่วงหล่นจากตะแกรง เหลือเพียงเศษกระดูกที่พระเพลิงปรานีทิ้งไว้ให้ผู้อยู่เบื้องหลังได้ดูเป็นอนุสรณ์ ที่ระลึก...คนตัวใหญ่ๆ สุดท้ายก็เหลือเถ้ากระดูกเศษนิดเดียว

แขกที่มาร่วมงานส่วนใหญ่กลับไปแล้ว เหลือแต่ญาติพี่น้องคนสนิท ลูกน้องที่จงรักภักดี กับนักข่าว ตำรวจที่เดินเกร่ในงาน รอดูความเรียบร้อยและหาข่าวเพิ่มเติม

ลักษณ์บอกกับน้องทั้งสองสั้นๆ

“เมื่อเช้ารุ้งมาบอกว่า พวกทางนั้นเขานัดคุยกับพวกเราที่บ้านหลังเผาศพ” จากคำเรียกขาน “พี่ศรี” กลายเป็น “พวกทางนั้น” ย่อมบอกถึงสถานภาพทางความรู้สึกต่อกันได้ดี

“จะรอให้ข้ามวันไปก่อนไม่ได้หรือไง” สุขศจีพูดขุ่นๆ

“นั่นสิ กระดูกเฮียยังร้อนอยู่เลย นี่ก็จะมาคุยเรื่องแบ่งสมบัติกันแล้ว”

ลักษณ์ถอนใจ ที่จริงเขาอยากให้ปัญหานี้จบเร็วๆ เหมือนกัน

“คุยให้จบไปเลยก็ดี เรามีคำตอบให้เขาแล้วไม่ใช่หรือ”

“เขาจะพอใจคำตอบของเรารื้อ” สมุทรรู้ใจฝ่ายตรงข้าม “เดี๋ยวผมจะไปบอกให้เกตุกับลูกกลับบ้านไปก่อนแล้วกัน ดูท่าต้องคุยกันนาน”

ลักษณ์พยักหน้า รู้สึกคล้ายพวกตนอยู่บนเกาะอันโดดเดี่ยว ท่ามกลางทะเลคนแปลกหน้า หันไปทางไหนก็พบกับสายตาคลางแคลง คำพูดตามมารยาทที่ปราศจากใจจริง

“ลุงมงคลจะกลับแล้ว เราไปส่งท่านหน่อยเถอะจี” ลักษณ์เห็นท่านมงคล นายภาสกรและผู้ว่าฯ กำลังจะกลับ จึงชวนน้องสาวเดินไปส่ง

“อย่าเลยเฮีย ให้เจ้าภาพเขาส่งแขกเถอะ เราอยู่ตรงนี้แหละ” สุขศจีปฏิเสธ หล่อนรู้สถานภาพพวกตนเหมือนกัน

ลักษณ์มองหน้าน้องสาว ปวดแปลบในใจ แทบไม่อยากเชื่อสุขศจีจะทำตัวปกติขนาดนี้ จากข้อมูลทั้งหมดที่เขาสืบมาและข่าวจากบุญส่ง มันมีน้ำหนักให้เชื่อเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ สุขศจีต้องมีส่วนในการตายของราม... อยู่ในงานศพของคนที่ตนมีส่วนฆ่ายังทำตัวเหมือนไม่มีอะไร ใจของสุขศจีทำด้วยอะไรกัน

สองพี่น้องไม่ได้ยืนรวมกลุ่มศรีนวลกับลูก เพื่อส่งแขกผู้ใหญ่ แต่มีผู้ใหญ่บางคนเข้ามาทักทายบอกลา

“อาเสียใจด้วยนะลักษณ์” นายภาสกรพูดจากันเอง คุ้นเคยดังเดิม

“ครับคุณอา ขอบคุณที่มางานครับ” ลักษณ์กับสุขศจียกมือไหว้

“ยังไงอาจะช่วยจี้ตำรวจให้ตามจับคนร้ายตัวจริงเร็วๆ” คำพูดนี้ฟังเผินๆ เหมือนเข้าข้างคนฟัง แต่ลักษณ์ก็มองแววตาฝ่ายตรงข้ามออกว่าไม่มีความจริงใจอย่างที่พูด

“ขอบคุณมากครับคุณอา ที่ยังเชื่อถือผม” ลักษณ์พูดด้วยน้ำเสียงมีมารยาท

“เฮ่ย...เราคนกันเอง อาหลานกันไม่เชื่อใจกันได้ยังไง” นายภาสกรยิ้มแก้มอูม “น่าเสียดายจริงๆ ที่รามตายไป นี่...พรรคของอาเลยขาดคนดีมีฝีมือไป...ลักษณ์ล่ะ สนใจทำงานเพื่อส่วนรวมบ้างมั้ย”

คำพูดดูดีเช่นนี้ หาฟังได้จากนักการเมืองทั่วไป

“เฮียไม่อยู่ งานของเรายุ่งมากครับอา...เอาไว้ให้ทุกอย่างมันลงตัวเข้าที่ก่อน แล้วผมค่อยเข้าไปเรียนปรึกษาอีกทีครับ”

ลักษณ์รู้เจตนาฝ่ายตรงข้ามกระจ่างชัด รามตายเงินสนับสนุนพรรคก็ขาด ใกล้ๆ ฤดูเลือกตั้งแล้วจึงคิดมาชวนเขาเป็นกระเป๋าเงิน จ่ายทุนหาเสียง จะให้ปฏิเสธตรงๆ คงขัดใจกัน จึงต้องหาวิธีออกตัวให้สวยงามบ้าง

“เอาเถอะ...ไม่เป็นไร มีปัญหาอะไรก็ติดต่ออาได้ทุกเมื่อนะ”

“ครับ...ขอบพระคุณจริงๆ”

ตลอดเวลาที่คุยกัน สุขศจีนิ่งเงียบ ฟังการพูดจาเหมือนเป็นคนนอก นายภาสกรคุยกับหล่อนสองสามคำตามมารยาทก่อนจะกลับ นั่นยิ่งทำให้มองเห็นเจตนาการเข้ามาทักทายชัดเจน

“เอาจากเราไปเท่าไหร่แล้ว ยังไม่พออีก คิดว่าคนอื่นอยากเป็นใหญ่เป็นโตเหมือนเฮียรามหรือไง” สุขศจีบ่นตามหลัง

“ช่างเถอะจี จากนี้ไปเราก็คงไม่ค่อยเข้าไปยุ่งกับเขาแล้ว...”

“ก็ไม่แน่หรอกเฮีย ถ้าซ้อเราไม่พอใจเรื่องแบ่งมรดก ก็คงต้องเดือดร้อนพวกผู้จัดการกันอีกรอบ”

ลักษณ์เหนื่อยใจกับมหาสมบัติของตนเองขึ้นมาอีกวูบหนึ่ง

“เอาเถอะ ไว้ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน เหนื่อยก็ต้องเหนื่อย...มันสมบัติของเรานี่”

ลักษณ์เหลือบมองน้องสาวแวบหนึ่ง...ต้องชะงักงัน แววตาสุขศจีทอประกายบางอย่างขึ้นเป็นประกายอำมหิตที่ฉายโชนชั่ววาบ ทำให้ผู้เหลือบเห็นสะท้านใจ...หวั่นเกรง



“พวกเราตกลงกันแล้วว่าคงจะให้พี่ศรีตามที่ขอมาคราวก่อนไม่ได้ แต่ผมเสนอตัวเลขใหม่ที่ดูแล้วน่าจะพอใจกันทุกฝ่ายให้พี่พิจารณาอีกที”

ศรีนวลกับลูกมองตัวเลขที่ลักษณ์เสนอมาให้แล้วต้องอึ้ง เงยหน้ามองฝ่ายตรงข้ามด้วยแววตาโทสะ

“มันไม่เกินไปหน่อยหรือลักษณ์”

ตัวเลขที่พี่น้องตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลเสนอให้มันไม่ถึงครึ่งที่ศรีนวลร้องขอ แถมยังมีการแบ่งชำระเป็นสามงวด...งวดละสามเดือน

“พี่ศรีดูให้ดีอีกทีนะครับ จำนวนเงินก้อนที่เราให้พี่น่ะมันก็ไม่น้อยเลย...อย่าลืมว่าเฮียเขาก็เอาเงินจากกงสีไปมากเหมือนกัน พี่ดูจากหลักฐานการเบิกจ่ายนี่ก็ได้ แถมเงินจากบัญชีของจี รวมทั้งเงินของอู่กับบริษัทเดินรถที่เฮียยังไม่ได้เอาเข้ากงสีอีก...รวมแล้วมันก็โขอยู่...”

ลักษณ์สังเกตสีหน้าพี่สะใภ้ ก่อนรีบพูดต่ออีกรวดจนจบ

“ส่วนเงินก้อนที่เราจะให้พี่นี่มันก็มาก หมุนมาทีเดียวไม่ไหว ต้องขอแบ่งเป็นสามงวด ซึ่งมันก็ไม่นานเท่าไหร่ แค่หกเดือน...เพราะงวดแรกเราจะจ่ายให้ทันทีตอนที่พี่กับหลานเซ็นใบสัญญา...นอกจากนี้เรายังมีเงินก้อนรายปีจ่ายให้หลานทั้งสองคนอีกสิบปี...แต่ละปีก็เป็นจำนวนเงินสูงมาก...ผมว่าเราน่าจะพอใจกับตัวเลขนี้ได้”

ศรีนวลข่มโทสะที่พุ่งขึ้นมาเป็นริ้วๆ พยายามพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นที่สุด

“คราวก่อน พวกเธอบอกว่าพี่ปล้น...คราวนี้พี่ขอพูดบ้างละ ว่าเธอก็กำลังปล้นสมบัติของพี่กับลูกเหมือนกัน”

“อะไรกัน แค่นี้ยังไม่พออีก” สุขศจีระเบิดอารมณ์ใส่ “สมบัติพวกนี้แม่กับพวกเราทุกคนช่วยกันทำมาหากินสร้างมา พี่ศรีนวลมาจากไหน จู่ๆ ก็จะหวังเอาสมบัติตั้งหนึ่งในสี่ของทั้งหมดไปอย่างนี้”

“หนึ่งในสี่...ถูกแล้ว” ศรีนวลพูดน้ำเสียงเจ็บช้ำ “ถ้าพวกเธอยังคิดว่าเฮียรามเป็นพี่ชายอยู่ก็...นี่ไง...ลูกของเขา...และนี่เมียของเขาก็นั่งอยู่ทนโท่”

ลักษณ์พูดไม่ออก ศรีนวลต้องการสมบัติหนึ่งในสี่ ไม่ใช่หนึ่งในสี่แค่เงินทองในธนาคาร แต่เป็นหนึ่งในสี่ของมูลค่าทรัพย์สินกิจการทั้งหมดของตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล ที่คิดในราคาปัจจุบัน

“พวกเราคงหาเงินจำนวนนั้นมาให้พี่ศรีไม่ได้หรอกครับ”

ลักษณ์พูดสุภาพ...คำว่า...“หาให้ไม่ได้”...แท้จริงคือ...“ให้ไม่ได้”...

“ถ้างั้นพี่ก็มีทางเลือกให้อีกทาง” ศรีนวลยังใจเย็น อาจเพราะเคยอดทนกับความเอาแต่ใจของสามีมาตลอด กับต้องเผชิญกับเหล่ากองทัพ “นังเล็กๆ” ของรามที่หวังมาตอดสมบัติและที่สำคัญ จำนวนเงินที่หวังจะได้มันคุ้มค่าต่อการอดทน

สามพี่น้องรอฟังข้อเสนออีกทางเลือกของพี่สะใภ้

“ขายกิจการทรัพย์ยั่งยืนทัวร์และอู่ต่อรถเสีย...มันก็น่าจะพอรวมกับเงินก้อนอื่นมาให้พี่ได้”

“พูดง่ายๆ นี่...พี่ศรีรู้มั้ยว่ากิจการพวกนั้นมีมูลค่าเท่าไหร่ แค่ค่าสัมปทานเดินรถอย่างเดียวก็มากแล้ว...ใครเขาจะมีปัญญามาซื้อเงินสดได้”

สมุทรพูดอย่างคนได้เข้าไปดูแลกิจการในระยะหลัง

“เสี่ยทรงยศแกสนใจ...อยากซื้อ เขาเคยเกริ่นๆ กับพี่แล้ว”

ชื่อที่เอ่ยขึ้นมาใหม่ทำเอาสามพี่น้องมองหน้ากัน...“เสี่ยทรงยศ” เป็นคู่แข่งของรามในการเลือกตั้งนายกเทศมนตรี ร่ำรวยจากการได้สัมปทานระเบิดหินและมีกิจการหวยใต้ดินใหญ่ที่สุดในจังหวัดแถบนี้...การที่เขาสนใจจะซื้อกิจการทรัพย์ยั่งยืนทัวร์และอู่ต่อรถ น่าจะหวังฟอกเงินหวยผิดกฎหมาย เพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนักการเมืองระดับประเทศต่อไป

“เราขายกิจการของแม่ไม่ได้หรอกพี่ศรี”

ลักษณ์ตอบเสียงแข็ง รู้ว่าเสี่ยทรงยศซื้อกิจการนี้ได้จริง และตัวเลขที่ขายนั้นก็สามารถทำให้ศรีนวลพอใจได้จริงเช่นกัน

“ไอ้โน่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้ พวกเธอจะเอาเปรียบพี่กับลูกไปถึงไหน” ความอดทนของศรีนวลหมดลง

“เราพยายามจะพบกันครึ่งทางแล้วนะพี่ศรี” ลักษณ์ตอบ

“แต่มันครึ่งทางฝ่ายเธอมากกว่า” ศรีนวลเยาะหยัน

“เราให้ได้แค่นี้ พี่จะเอาอะไรอีก”

“ไม่เป็นไร ในเมื่อเราคุยกันไม่รู้เรื่อง คงต้องให้ศาลตัดสินแล้ว”

หลังคำพูดนี้ก่อให้เกิดความเงียบกับทุกฝ่าย ในเมื่อตกลงกันดีๆ ไม่ได้ ก็ต้องมีการฟ้องศาล และศาลคดีแพ่งเกี่ยวกับมรดกมักจะยืดเยื้อเป็นปีๆ กว่าจะตัดสินจบลงได้

สามพี่น้องไม่พูด คำพูดหลังจากนี้ไม่จำเป็นแล้ว ศรีนวลไม่มีทางยอมรับตัวเลขที่พวกเขาให้ และพวกเขาก็ไม่มีทางยอมให้ในสิ่งที่พี่สะใภ้ร้องขอ...ดังนั้น หากจะมีการเจรจาต่อไป คงต้องอาศัยทนายและให้ผู้พิพากษาตัดสิน



ทั้งสามนั่งรถกลับมาคันเดียวกัน ทันทีที่รถแล่นออกนอกรั้วบ้านราม คนที่เก็บอารมณ์ไม่ไหวต้องระเบิดออกมาก่อนคือสมุทร

“เฮ้อ...อะไรกันนักหนา คิดว่าจบจากเรื่องไอ้พิทักษ์แล้ว พวกเราคงจะได้ห่างศาลห่างทนายกันบ้าง ที่ไหนได้ต้องสู้ความกันอีกแล้ว”

“มันช่วยไม่ได้” ลักษณ์เบื่อหน่าย คร้านจะพูด

“แล้วคราวนี้พวกอาซ้อจะมาแบบไหนอีกล่ะ ขออำนาจศาลคุ้มครองประโยชน์บริษัทกงสีของเราอีกหรือเปล่า” นี่เป็นสิ่งทีสมุทรกลัว บริษัทเงินทุนของเขาจำเป็นต้องใช้เงินส่วนนี้หมุนเวียนให้เกิดสภาพคล่อง

“เขามีสิทธิจะทำได้” ลักษณ์ไม่อยากพูดมาก

“เออ...เอาเข้าไป สมบัติพวกนี้เราหากันมาแท้ๆ กลับต้องแบ่งให้คนนอก แบบนี้มันน่าเจ็บใจจริงๆ”

สมุทรพูดโดยไม่คิดด้วยซ้ำว่า “คนนอก” นั้นคือพี่สะใภ้ กับหลานแท้ๆ ของตน

“อย่างนี้ล่ะมั้ง แม่ถึงไม่อยากให้พวกเราแต่งงาน” สมุทรพูดต่อ ต้องการระบายความรู้สึก “จำได้ว่าตอนจะแต่งงาน แม่สอนให้พวกเราจับแฟนมาเซ็นสัญญา จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับสมบัติของตระกูล...แต่ตอนนั้นทุกคนก็ดื้อ ไม่มีใครยอมทำตามกันสักคน...ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าแม่เรานี่ฉลาดมองการณ์ไกลจริงๆ”

สมุทรพูดไม่เกินจริงเลย คุณนายพวงทองวางแผนรักษาสมบัติที่หามาอย่างลำบากได้รัดกุม ทั้งตั้งบริษัทกงสีควบคุมกิจการทั้งหมด ไม่ยอมให้ใครได้ขาย และบอกลูกทุกคนที่จะแต่งงานให้พาคนรักไปเซ็นสัญญาจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับสมบัติตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล...แต่ตอนนั้นไม่มีใครยอมทำตาม เพราะมันจะเป็นการหมิ่นน้ำใจคู่รักตัวเองที่สุด และคงไม่มีคู่รักคนไหนที่คิดว่าจะเลิกกันทั้งที่เพิ่งจะคิดแต่งงาน

“แล้วทีนี้จะทำยังไงกันดีล่ะเฮีย จะยอมขายกิจการเดินรถ กับอู่อย่างเขาว่าดีมั้ย...ถ้าจะทำจริงๆ มันก็พอได้อยู่...เราคงดูแลได้ไม่ดีเท่ากับเฮียหรอก”

สมุทรเพิ่งดูแลกิจการตรงนี้ เห็นปัญหาที่รามทิ้งไว้จึงรู้ว่า...คนที่จะสานต่อได้ ต้องมี “มือ” ที่ “แข็ง” จริง

ลักษณ์ไม่ตอบ ความคิดหมุนแล่นจนคร้านจะฟังคำพูดน้องชาย คนที่ตอบสวนออกมากลับเป็นน้ำเสียงเรียบเย็นจนน่ากลัวของสุขศจี

“เงียบทีเถอะเฮียหมุด...พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก”

คำพูดนี้หยุดวาจาพี่ชายได้ชะงัก สมุทรรู้สึกถึงกระแสอำมหิตบางอย่างที่แฝงในน้ำเสียงนี้ มันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยสัมผัสได้เลยจากน้องสาวตัวเอง

ลักษณ์สะดุ้งตื่นจากความคิด เหลือบมองสุขศจี สีหน้าหล่อนเคลือบแข็งราวสวมหน้ากาก ความกลัวเร้นลึกส่งผลให้มือเขาเย็นเยียบ ตอนนี้ “หลิง” คนรักของสุขศจีมาอยู่เมืองไทยพร้อมกับสมุนมือดีอีกกลุ่มหนึ่ง คนกลุ่มนี้พร้อมจะทำอะไรก็ได้ตามที่หล่อนต้องการ

จังหวะหัวใจลักษณ์เต้นตุบตุบเร็วแรง ความคิดพุ่งปลาบเข้ามาในหัว เขาได้แต่หวัง ให้ความคิดที่ผุดขึ้นมานั้น อย่าได้เกิดเป็นจริงขึ้นมาเลย



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP