กระปุกออมสิน Money Literacy

ถึงเสี่ยงต่ำ ก็ลงทุนในหุ้นได้



Mr.Messenger
สนใจติดตามข่าวสารการลงทุนได้ที่ http://twitter.com/MrMessenger

ดัชนีหุ้นไทยเดินหน้าขึ้นมา ทำจุดสูงสุดในรอบ ๑๖ ปี ณ ตอนที่ผมเขียนอยู่นี้ ก็เกือบจะทะลุ ๑,๖๐๐ จุดขึ้นมาแล้วนะครับ และเชื่อว่าไม่นานเกินรอก็คงจะพ้น ๑,๖๐๐ จุดขึ้นมาได้

ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์พบว่า ปี ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา จนถึงตอนนี้ จำนวนการเปิดบัญชีเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ของนักลงทุนรายใหม่ ถือว่าสูงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์เลยก็ว่าได้ สาเหตุก็เพราะตลาดหุ้นไทยเดินหน้ามาต่อเนื่อง นักลงทุนรายเก่าก็กำไรจนนักลงทุนรายใหม่เห็นแล้วเกิดกิเลส อยากได้กำไรกับเขาบ้าง

เริ่มต้นเดินหน้าเข้าตลาดหุ้น ก็เพราะอยากได้กำไร ระวังตอนเดินจากไปต้องน้ำตาตกนะครัตลาดหุ้น ก็อยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ พร้อมจะแสดงให้เห็นความไม่เที่ยงให้เราดูตลอดเวลาเหมือน กับชีวิตคนเราครับ มีขึ้น ก็ย่อมมีลง ตอนที่ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นทำอะไรก็เหมือนจะได้กำไรไปซะหมด แต่สิ่งที่เราต้องคิดอยู่เสมอก็คือ จงอยู่ในความไม่ประมาท

เตือนกันแบบนี้ ไม่ใช่จะบอกว่า อย่าเดินเข้ามาในตลาดหุ้นนะครับ ถ้ายังอยากเดินเข้ามา เราก็ต้องหากลยุทธ์ที่ปลอดภัย และมั่นใจได้ระดับหนึ่งว่าเป็นกลยุทธ์ที่ถูกต้อง เพราะดัชนีหุ้นไทย ณ ระดับปัจจุบัน ต้องบอกเลยว่า มาไกลจาก ๕ ปีก่อนหน้านี้พอควร วันนี้ผมเลยขออนุญาตแนะนำกลยุทธ์เบื้องต้นสำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ในการเริ่มต้นลงทุน ณ วันนี้ครับ

ก่อนอื่น คุณต้องรู้ก่อนว่า บริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์นั้น ทำธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรมแตกต่างกันไป ตามความถนัดของเจ้าของ ผู้บริหาร ทำให้มีความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ดังนั้น กลยุทธ์ข้อแรกสำหรับนักลงทุนเสี่ยงต่ำก็คือ ค้นหาธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำนั่นเอง

ธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ ก็คือ ธุรกิจที่ให้บริการสินค้าและบริการที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน เพราะเป็นสิ่งที่คนเราจำเป็นต้องกินต้องใช้ เช่น ธุรกิจอาหาร, ธุรกิจสื่อสาร, ธุรกิจสาธารณูปโภค และธุรกิจโรงพยาบาล ทำไมธุรกิจเหล่านี้ถึงเสี่ยงต่ำครับ? สาเหตุ ก็เพราะ ไม่ว่าเศรษฐกิจของประเทศหรือของโลก จะอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์หรือชะลอตัว แต่ธุรกิจเหล่านี้ แทบจะไม่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการของผู้บริโภค ถามว่า เศรษฐกิจแย่ ปัจจุบันคุณยังต้องใช้โทรศัพท์มือถือหรือเปล่า เศรษฐกิจไม่ดี ผู้ป่วยก็ต้องเข้าโรงพยาบาลใช่หรือไม่ และนี่คือเหตุผลครับ

กลยุทธ์ข้อที่สอง เลือกบริษัทที่เป็นอันดับหนึ่งหรืออันดับสองของกลุ่มอุตสาหกรรมนั้นๆ เนื่องจากบริษัทนั้น จะมีฐานลูกค้าที่เหนียวแน่น และมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งกว่าคู่แข่งเจ้าเล็กๆ ทนทานต่อสภาพการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงไปได้ดีกว่า แต่ก็ไม่ใช่ว่า จะยั่งยืนเสมอไปนะครับ เราก็เห็นในหลายๆกรณีที่บริษัทที่ครองส่วนแบ่งตลาดสูงๆ แต่ไม่ยอมพัฒนา ไม่ยอมปรับตัว สุดท้ายโดยคู่แข่งแซงไป ก็มีให้เห็นเหมือนกัน ดังนั้น หน้าที่ของนักลงทุนที่ดีคือ คอยติดตามวิเคราะห์สถานการณ์ต่อเนื่อง และความต่อเนื่องนี้ละครับ เป็นหัวใจหลักของการไปถึงเป้าหมาย ทั้งในแง่จุดหมายทางการเงิน และจุดหมายในทางธรรม

กลยุทธ์ข้อที่สาม บริษัทนั้น ต้องมีประวัติการจ่ายปันผลต่อเนื่องที่ดี นั้นคือ จ่ายปันผลในอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมนั้น และควรจะจ่ายได้ดี เพราะเกิดจากกำไรที่ดีขึ้น ไม่ใช่เพราะราคาหุ้นที่ลดลง หรือ มีนโยบายจ่ายปันผลที่มากเกินไป ขอยกตัวอย่างกรณีบริษัทที่มีนโยบายจ่ายปันผลร้อยละ ๑๐๐ ของกำไรสุทธิ หรือหมายถึง ไม่ว่าบริษัทจะมีกำไรเท่าไหร่ ก็จะจ่ายคืนให้แก่ผู้ถือหุ้นทั้งหมด บริษัทแบบนี้ มองในอีกมุม แปลได้ว่า บริษัทไม่คิดจะลงทุนอะไรแล้ว หรืออยู่ในช่วงโตเต็มที่ ซึ่งมีโอกาสที่จะโดนคู่แข่งที่ยังมีการลงทุนและพัฒนาบริการต่อเนื่องแซงได้ แบบนี้ เราไม่เลือกนะครับ

กลยุทธ์ข้อที่สี่ ย้อนกลับไปดูการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในอดีต หากราคาหุ้นผันผวนเล็กน้อย ค่อยๆไต่ขึ้นมาตามกำไรที่โตทุกปี แบบนี้น่าสนใจ แต่ปัจจุบัน ราคาหุ้นหลายตัวที่ขึ้นมาในช่วง ๓-๖ เดือนที่ผ่านมา กลับวิ่งแบบก้าวกระโดด หากคุณวิ่งไล่ตามราคาหุ้นเหล่านั้นโดยไม่ได้ศึกษาบริษัทอย่างดี ก็อาจตกเป็นเหยื่อของกิเลสในใจ ซื้อในราคาสูงเกินไปและเมื่อราคาหุ้นไหลตกลงมา ก็ไม่กล้าตัดขาดทุน ต้องถือหุ้นตัวนั้นแบบไม่สบายใจไปตลอด ลองนึกดูให้ดีนะครับ ความทุกข์ที่ เกิดขึ้นกับตัวเรา ส่วนใหญ่ มันเกิดจากตัวเรานั้นเองที่ไล่ตามกิเลสไป และลงท้ายด้วยความเสียใจ เจ็บใจ ถามตัวเองว่า ทำไมถึงทำไปอย่างนั้น ซึ่งวิธีแก้ก็แค่ มีสติ และรู้ทัน เท่านั้น ก็ไม่ไล่ตามทั้งราคาหุ้นแพงๆ และกิเลสที่เกิดขึ้นในใจได้แล้ว

หากคุณสามารถหาบริษัทที่มีคุณสมบัติครบทั้ง ๔ ประการนี้ได้เจอ นั้นก็เท่ากับว่า งานของคุณเสร็จไปแล้วกว่าครึ่งทาง และความเสี่ยงที่เห็นอยู่เยอะแยะ ก็ลดลงไปอย่างมากเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นนักลงทุนที่เสี่ยงสูงมาก หรือไม่ต้องถึงขนาดให้ผีพนันเข้าสิง ถึงจะลงทุนในตลาดหุ้นช่วงนี้ได้นะครับ แค่เรารู้จักจัดการกับความเสี่ยงอย่างถูกต้อง เราก็พร้อมที่จะอยู่ในโลกที่มีแต่ความเสี่ยงใบนี้ได้แล้ว

เมื่อรู้จักตัวเอง โลกที่มีแต่กิเลสหนา ก็ดูท่ากิเลสจะเบาบางลง เมื่อรู้จักธรรมะ โลกที่ดูวุ่นวาย ก็กลายเป็นสงบได้ภายในพริบต




แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP