จุดหมายปลายธรรม Destination@Dharmma
เรียนธรรมะให้เข้าถึงใจ
งดงาม
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it
เคยรู้สึกบ้างไหมครับว่า เราอ่านหนังสือธรรมะหรือบทความธรรมะมาไม่น้อยแล้ว
แต่ก็ดูเหมือนว่ากุศลกรรมไม่ได้เพิ่มขึ้นเท่าไร และอกุศลกรรมไม่ได้ลดลงเท่าไร
บรรดากิเลสตัวโลภ โกรธ หลง ก็ยังคงมีอยู่เท่าเดิม ไม่เห็นจะลดลงเลย
นอกจากนี้ อ่านหรือฟังธรรมะแล้ว ก็ยังรู้สึกว่ามีคำถามหรือข้อสงสัยเกิดขึ้นมากมาย
บางคำถามก็หาคำตอบได้ (ได้คำตอบเป็นที่พอใจบ้าง หรือไม่เป็นที่พอใจบ้าง)
บางคำถามก็หาคำตอบไม่ได้ แถมไม่รู้ด้วยว่าควรจะไปหาคำตอบที่ไหน
หากใครรู้สึกว่าตนเองมีอาการทำนองนี้แล้ว ผมขอแนะนำว่าให้ลองตรวจสอบว่า
เราได้นำธรรมะที่ได้อ่านและศึกษานั้นไปประพฤติปฏิบัติตามสมควรแก่ธรรมหรือไม่
หากเราเอาแต่อ่านหนังสือหรือบทความธรรมะไปเรื่อย หรือฟังธรรมเทศนาไปเรื่อย
แต่ไม่ได้นำธรรมะที่ได้อ่านหรือได้ฟังเหล่านั้นไปประพฤติปฏิบัติตามสมควรแล้ว
ก็เป็นธรรมดาครับที่กุศลกรรมไม่ได้เพิ่มขึ้น และอกุศลกรรมไม่ได้ลดลง
กิเลสทั้งหลายก็อยู่เท่าเดิม ไม่ได้ลดลงเลย
ในขณะที่ข้อสงสัยและคำถามต่าง ๆ ก็ยังเกิดขึ้นมากมาย
การเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า
เราสามารถเข้าถึงได้ในชั้นปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ
การเข้าถึงในชั้นปริยัติก็คือ การได้อ่าน ได้ฟัง ได้เรียนจนเข้าใจ
และเกิดความเลื่อมใสหรือเคารพนับถือที่จะนำมาประพฤติปฏิบัติตาม
การเข้าถึงในชั้นปฏิบัติก็คือ การนำพระธรรมคำสอนนั้นมาประพฤติปฏิบัติตาม
ทั้งนี้ หากเราทำทาน ก็คือเข้าถึงทานในชั้นปฏิบัติ
หากเรารักษาศีล ก็คือเข้าถึงศีลในชั้นปฏิบัติ
หากเราทำสมาธิ ก็คือเข้าถึงสมาธิในชั้นปฏิบัติ
หากเราเจริญปัญญา ก็คือเข้าถึงปัญญาในชั้นปฏิบัติ
เมื่อได้ปฏิบัติไปแล้วเกิดผลคือ บรรลุธรรมในแต่ละขั้นตั้งแต่โสดาปัตติผล
ไปจนกระทั่งถึงขั้นอรหัตตผลก็คือเข้าถึงพระธรรมในชั้นปฏิเวธในแต่ละขั้น
ทีนี้ เวลาเราอ่านหรือฟังธรรมะจนจบ บางทีเราก็คิดว่าเราเข้าใจทั้งหมดแล้ว
แต่อันที่จริงแล้ว สิ่งที่อ่านหรือฟังไม่ได้เข้าไปที่ใจหรอกนะครับ แต่ว่ามันเข้าไปที่สมอง
ถามว่ากิเลสเกิดขึ้นที่สมอง หรือเกิดขึ้นที่ใจ?
ยกตัวอย่างว่า เรารักคนอื่น ความรักเกิดขึ้นที่ใจหรือที่สมอง?
เราโกรธคนอื่น ความโกรธเกิดขึ้นที่ใจหรือที่สมอง?
เราเกลียดคนอื่น ความเกลียดเกิดขึ้นที่ใจหรือที่สมอง?
เราอิจฉาคนอื่น ความอิจฉาเกิดขึ้นที่ใจหรือที่สมอง?
เราโลภอยากได้โน่นได้นี่ ความโลภเกิดขึ้นที่ใจหรือที่สมอง? เป็นต้น
จะเห็นได้ว่ากิเลสคือโลภ โกรธ หลงนั้นเกิดขึ้นที่ใจนะครับ
ฉะนั้นแล้ว การที่จะล้าง หรือลดละกิเลสเหล่านี้ ก็พึงทำที่ใจด้วยเช่นกัน
ไม่ใช่กระทำด้วยการไปล้างหรือลดละที่สมอง
เสมือนกับว่าเราเรียนว่ายน้ำ แต่ว่าเรียนโดยการฟัง และการอ่าน
แต่เราไม่เคยไปฝึกหัดว่ายน้ำด้วยตนเองจริง ๆ เลย เราก็ยังว่ายน้ำไม่เป็นอยู่ดี
และเมื่อเราเกิดไปตกน้ำ หรือจมน้ำเมื่อใดจริง ๆ แล้ว เราก็ว่ายไม่ได้อยู่ดี
หรือเราเรียนทำอาหาร แต่ว่าเรียนโดยการฟัง และการอ่าน
แต่เราไม่เคยไปทำอาหารด้วยตนเองจริง ๆ เลย เราก็ยังทำอาหารไม่เป็นอยู่ดี
และเมื่อเราต้องไปทำให้คนอื่นทานจริง ๆ เราก็ทำอาหารออกมาไม่ได้เรื่องอยู่ดีครับ
ซึ่งก็เป็นทำนองเดียวกันกับเรื่องการศึกษาและปฏิบัติธรรมนะครับ
หากเราได้อ่านหรือได้ฟังว่า การเจริญเมตตาช่วยให้ลดความโกรธลงได้
แต่เราไม่ได้ฝึกหัดเจริญเมตตาจริง ๆ เลย
ลำพังเพียงอ่านหรือฟังนั้นก็ย่อมจะไม่ช่วยให้ความโกรธลดลง
หรือเราได้อ่านหรือได้ฟังว่า การเจริญอสุภกรรมฐานช่วยลดกามราคะลงได้
แต่เราไม่ได้ฝึกหัดเจริญอสุภกรรมฐานจริง ๆ เลย
ลำพังเพียงอ่านหรือฟังนั้นก็ย่อมจะไม่ช่วยให้กามราคะลดลง
จะเห็นได้ว่าลำพังเพียงการเรียนโดยการอ่านและการฟังธรรมะเข้าสู่สมองนั้น ยังไม่พอ
แต่จะต้องเรียนและศึกษาโดยการนำไปประพฤติปฏิบัติเพื่อให้ธรรมะเข้าสู่จิตใจด้วย
ในเรื่องนี้ บางท่านอาจเคยได้ยินคำสอนของครูบาอาจารย์ ซึ่งท่านสอนว่า
“ธรรมะใดก็ไร้ค่า หากไม่ปฏิบัติ” หรือ “ธรรมะใดก็ไร้ค่า หากไม่ทำ”
ก็เนื่องด้วยเหตุผลในทำนองเดียวกันครับ
พระธรรมคำสอนในแต่ละเรื่องนั้น เช่น ทำทาน รักษาศีล ทำสมาธิ เจริญสติ เจริญปัญญา
เราย่อมไม่สามารถจะเข้าใจพระธรรมคำสอนเหล่านี้อย่างแจ่มแจ้งได้
หากเราไม่นำไปประพฤติปฏิบัติด้วยตนเอง
เปรียบเสมือนว่าเรากำลังศึกษาเรื่องรสชาติมะม่วง
เราได้อ่านหรือได้ฟังว่ารสชาติของมะม่วงแต่ละพันธุ์เป็นอย่างนั้นอย่างนี้อย่างโน้น
แต่ว่าเราไม่เคยได้ทดลองชิมหรือทานมะม่วงพันธุ์ใด ๆ เลย
เราก็ย่อมจะไม่ทราบหรือไม่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่ารสชาติมะม่วงเป็นอย่างไรกันแน่
และรสชาติของมะม่วงแต่ละพันธุ์นั้นมีรสชาติแตกต่างกันอย่างไร
ต่อให้ใครมาอธิบายด้วยคำพูดยาวนานขนาดไหน ก็ไม่ทำให้เราเข้าใจแจ่มแจ้งได้
ฉันใดก็ฉันนั้น เรื่องทำทาน รักษาศีล ทำสมาธิ เจริญสติ และเจริญปัญญานั้น
ก็ต้องอาศัยว่าเราต้องนำไปประพฤติปฏิบัติด้วย
จึงจะเห็นความก้าวหน้าในความรู้ความเข้าใจในธรรมะของเราเอง
จึงจะเห็นผลได้ว่ากุศลกรรมเพิ่มขึ้นเพียงไร อกุศลกรรมลดลงอย่างไร
และกิเลสลดลงเบาบางเพียงไร
และคำถามและข้อสงสัยต่าง ๆ ในพระธรรมคำสอนเหล่านี้ก็จะลดน้อยลง หรือหมดไป
ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ใครทำใครได้ และใครไม่ทำก็ไม่ได้ครับ
< Prev | Next > |
---|