วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

กรงไฟ ๓๑



cover_krongfire

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



การตายของรามเป็นข่าวสะเทือนทั้งจังหวัด คนระดับนายกเทศมนตรีถูกยิงตายด้วยกระสุนนัดเดียว ในร้านอาหารของตน ผู้เห็นเหตุการณ์คือน้องชาย น้องสาว และคนในร้าน ไม่มีใครพบมือปืน ตำรวจตามล่าทำงานจนหัวปั่น คดีสะเทือนขวัญเช่นนี้เกิดไม่บ่อยนัก ไม่มีใครอยากให้เกิดในท้องที่ตน เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

นอกจากตามล่าจับมือปืน ตำรวจยังสอบสวนผู้เห็นเหตุการณ์ ผู้ต้องสงสัย และพยาน

ลักษณ์เป็นผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่ง คนแรกที่พบศพ เป็นคนนัดพี่ชายมาที่ร้านอาหาร และที่สำคัญ สองพี่น้องเคยมีปากเสียงกันรุนแรงเรื่องมรดก

พยานยืนยันการมีปากเสียงของสองพี่น้องมีมากมาย ตั้งแต่พนักงานในเทศบาล เด็กลูกจ้างในร้านครัวพวงทอง จนถึงศรีนวล ภรรยาผู้ตาย

“เฮียกับคุณลักษณ์เขาทะเลาะกันหนักมาก เรื่องบริษัทเรื่องมรดก นัดคุยกี่ครั้งก็ไม่ได้เรื่อง ทะเลาะกันก่อนทุกที...ครั้งนี้ทีแรกเฮียบอกให้คุณลักษณ์กับน้องๆ มาคุยกันที่บ้าน แต่คุณลักษณ์ไม่ยอม บอกว่าให้ไปคุยที่ร้านครัวพวงทอง”

คำให้การปนสะอึกสะอื้นของศรีนวล ไม่มีผลดีต่อลักษณ์เลย

ลักษณ์ถูกสอบสวนอย่างหนัก ทั้งพิสูจน์รอยนิ้วมือ พิสูจน์เขม่าดินปืน เมื่อพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นคนฆ่า ตำรวจก็ตั้งประเด็นว่าเขาเป็นผู้จ้างวาน แรงจูงใจหลักคือความขัดแย้งกันในเรื่องสมบัติ

จากการสอบปากคำคนในครอบครัวผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์ก็ชี้ไปในแนวทางเดียวกันหมด...ลักษณ์บริสุทธิ์...ตำรวจไม่สามารถหาหลักฐานพยานยืนยันได้ว่าเขาเป็นผู้จ้างวาน แต่ข่าวลือพูดจาปากต่อปากล้วนปักใจเชื่อ ชนิดไม่คลอนแคลน

...พี่น้องฆ่ากันเอง เรื่องแย่งสมบัติ...

สังคมประณามลักษณ์ทั้งในที่ลับ ที่แจ้งว่าเขาคือฆาตกร...

ตำรวจไม่อาจตั้งข้อหาเขา แต่คนทั้งเมืองรอบข้างล้วนมองเขาด้วยสายตารังเกียจ ไม่ไว้วางใจ หนังสือพิมพ์ตีข่าวฆาตกรรมครั้งนี้ติดต่อกันหลายวัน เนื้อข่าว สกู๊ป ออกไปในแนวทางเดียวกัน คนอ่านจะเข้าใจเองว่า...ผู้บงการเป็นใคร

ถึงแม้ฆาตกร มือปืนตัวจริงยังลอยนวลโดยที่ตำรวจยังไม่สามารถตามร่องรอย สืบหา ตามจับมันได้ก็ตาม คนทั่วไปก็ไม่ประณามมันมากไปว่า “ผู้บงการ” ซึ่งต่างคนปักใจมั่นแล้ว ว่าเป็นใครกันแน่

ลักษณ์เก็บตัวอยู่กับบ้าน งดให้สัมภาษณ์ ไม่ยอมให้ข่าวเพิ่มเติม งานในหน้าที่ต้องใช้วิธีโทรศัพท์สั่ง หนังสือที่จะเซ็นก็ให้เลขา คนขับรถนำมาส่งที่บ้าน

ร้านครัวพวงทองถูกปิดอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากตำรวจต้องการกันพื้นที่ให้คณะพิสูจน์หลักฐานได้ทำงาน อีกทั้งการมีคนตายในร้านครึกโครมเช่นนี้ คงยากจะมีลูกค้ากล้ามาใช้บริการอย่างสบายอารมณ์

ศรีนวลจมอยู่กับความเศร้าโศก ไม่ยอมออกจากบ้าน เรียกลูกที่อยู่ต่างประเทศให้กลับมางานศพบิดาตน งานดูแลตลาดที่เคยทำก็ปล่อยทิ้งหมด ให้สุขศจีจัดการแต่ผู้เดียว

สมุทรก้าวมาดูแลกิจการเดินรถและอู่ต่อจากพี่ชายคนโต...ด้วยความที่ไม่เคยมีโอกาสศึกษางานตรงนี้ และมัวห่วงกิจการตัวเองที่กรุงเทพฯ จึงพบว่างานมันหนักกว่าที่คิด

ปัญหาใหญ่ของกิจการเดินรถตอนนี้คือ มันขาดทุน ทั้งที่ไม่ควรขาดทุน รามนำรายได้ส่วนใหญ่เข้ากระเป๋า เข้ากงสีไม่ถึงหนึ่งในห้า อีกทั้งราคาน้ำมันถีบตัวสูง ต้นทุนเพิ่ม การจะเปลี่ยนจากน้ำมันเป็นแก๊สก็ต้องลงทุนเพิ่มไม่น้อย รายได้รายจ่ายไม่สมดุลกัน ประกอบกับการทำบัญชีหมกเม็ดดูแล้วเหมือนกิจการนี้กำลังลงเหว

สมุทรนำเรื่องนี้ปรึกษากับลักษณ์ ได้คำตอบแบบคนเหน็ดเหนื่อยหมดจิตใจทำงาน

“ประคองไปก่อน รอให้พ้นเรื่องยุ่งๆ พวกนี้แล้วค่อยสะสาง”

ลักษณ์ถอนอายัดเงินบัญชีกงสี เพื่อนำเงินมาประคองธุรกิจที่ซวนเซอย่างกิจการเดินรถ ร้านครัวพวงทองที่ปิดไม่มีกำหนดก็จำเป็นต้องจ่ายเงินเดือน ค่าดูแลและพนักงานอยู่ ประกอบกับช่วงนี้ไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยว โรงแรมทรัพย์ยั่งยืนแกรนด์รอยัลรายได้ตก แต่ค่าใช้จ่ายหลักๆ ไม่ลดลง ห้างทรัพย์ยั่งยืนคอมเพล็กซ์ก็แค่เลี้ยงตัว...กิจการเดียวของตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลที่พอจะจุนเจือทุกคนคือตลาดทรัพย์ยั่งยืน...

ปัญหาประเดประดังเข้ามาจนทุกคนตั้งตัวไม่ติด เหมือนคลื่นลูกใหญ่โถมทับไม่ให้รู้ตัว...ยังไม่รู้อีกเช่นกัน...จะมีคลื่นลูกอื่นตามมาเมื่อไหร่...



ตั้งแต่ลักษณ์เก็บตัวอยู่บ้านไม่ออกไปไหน รุ่งรตีก็เก็บตัวตามไม่หาเรื่องเดือดร้อน พยายามทำให้บิดาสบายใจ แต่อารมณ์ของลักษณ์ขึ้นๆ ลงๆ ตามปัญหาแต่ละวัน

วันไหนปัญหาน้อยก็พอคุยกับลูกสาวรู้เรื่อง วันไหนมีปัญหามากก็ตีหน้าเครียด ไม่สนใจ ไม่รับฟังใคร รุ่งรตีไม่ใช่คนหนักแน่นพอจะรับอารมณ์บิดาทุกครั้ง วันไหนบิดาอารมณ์เสียใส่ หล่อนก็ออกจากบ้านหาที่เย็นใจ เช่น บ้านคุณจิตใส

ปกติหล่อนจะเข้าร้านต้นไม้ ชอบใจบรรยากาศที่ตนเองมีส่วนตกแต่งปรับปรุงหน้าร้านทำให้รู้สึกเหมือนร้านตัวเอง

มาวันนี้ไม่เจอนายพลทางธรรม พ่อของเชน แต่พบคุณจิตใสกำลังดูแลต้นไม้ ดอกไม้พอดี

“สวัสดีค่ะคุณป้า” หญิงสาวยกมือไหว้ทักทาย

“สวัสดีจ้ะ...วันนี้ร้อนมาเชียว ทะเลาะกับพ่อมาอีกแล้วหรือ” คุณจิตใสทัก

หญิงสาวคุ้นกับการถูกทักอารมณ์ตรงๆ เช่นนี้เสียแล้ว จึงไม่แปลกใจนัก

“ค่ะ...เรื่องเดิม...พ่อก็เครียดเหมือนเดิม ไม่รู้จะแบกอะไรนักหนา” หล่อนบ่น ในใจกรุ่นอารมณ์มาจากบ้าน

“เรื่องเดิมนี่อะไรบ้างล่ะ” คุณจิตใสถามเรื่อยๆ

“ก็...เรื่องงาน ปัญหาเพียบ...เหมือนเดิม...พ่อเครียดเหมือนเดิม...รุ้งก็เตือนให้พ่อปล่อยวางเสียบ้าง เราควบคุมอะไรไม่ได้ทุกอย่างหรอก...แกก็เลยด่ารุ้ง...หาว่าไม่เคยทำงานทำการจะไปเข้าใจอะไร”

พูดจบเจ้าหล่อนก็ถอนใจ...คุณจิตใสยังมีรอยยิ้ม มองหญิงสาวอย่างเอ็นดู

“เราเตือนเขาเพราะหวังดี...เป็นห่วง เป็นกุศลจิตของเรา...จะไปเก็บอารมณ์ร้อนของเขามาใส่ใจทำไม” ได้ยินคำนี้ รุ่งรตีค่อยเบาใจลง

“ที่รุ้งห่วงก็ยังมีอีกเรื่อง” หล่อนพูดค้างๆ

“เรื่องความฝันเดิมล่ะสิ” คุณจิตใสทักรู้ทัน

“ค่ะ...ลุงรามก็ตายจริงๆ ถึงไม่ตรงวันก็เถอะ แต่มันก็ตรงกับฝันของรุ้ง พี่เชน...เห็นอย่างนี้แล้วรุ้งไม่สบายใจเลย กลัวพ่อจะเป็นอะไรตามฝันนั้น”

“ความฝันก็คือฝัน” คุณจิตใสพูดด้วยน้ำเสียงโน้มน้าวให้คนฟังผ่อนคลาย “สิ่งที่เกิดจริงในปัจจุบันสำคัญกว่า”

“แต่ถ้าฝันนั้นเป็นลางบอกเหตุจริง มันก็น่าห่วงนะคะ” รุ่งรตียังไม่คลายใจ

“ห่วงทำไมกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึง...เอาแค่ตอนนี้ดีกว่า...รุ้งกำลังบอกป้าว่า พ่อเรากำลังเครียดใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ”

“นั่นสิ ความเครียดก็สามารถกดดันคนให้ถึงตายได้...สิ่งที่รุ้งควรทำคือช่วยให้พ่อเราเขาสบายใจ”

“นั่นรุ้งก็ทำอยู่...ช่วงนี้ก็ไม่ค่อยออกไปไหน อยู่บ้านให้พ่อเห็นหน้าประจำ...แต่ไม่รู้ว่าเห็นหน้ารุ้งแล้ว พ่อจะเครียดกว่าเดิมหรือเปล่า” เจ้าหล่อนทำหน้ายุ่ง

“พ่อเราเขาเครียดเรื่องงานอย่างเดียวหรือเปล่า”

“มันมีเรื่องอื่นด้วยสิคะ” รุ่งรตีพูดแกมบ่น “วันนี้ไม่รู้ลูกน้องคนไหนเอาพวกนิตยสารวิเคราะห์ข่าวมาให้อ่าน มีสกู๊ปเจาะลึกเรื่องตระกูลเราอีกแล้ว...เล่ายาวมาตั้งแต่สมัยคุณย่า พูดถึงธุรกิจต่างๆ พูดถึงการตายของคนในตระกูลตั้งแต่คุณปู่ เจ้าของตลาดคนเก่า ปู่รุ่ง น้องชายคุณย่า...คุณย่า...อาสีดา...จนมาถึงลุงราม แล้วสรุปว่าเหมือนเป็นตระกูลถูกสาป แต่ละคนไม่ได้ตายดีสักคน พ่ออ่านแล้วโกรธใหญ่ หาว่าพวกนักข่าวโยงเรื่องมั่วซั่ว”

คุณจิตใสนิ่ง...วางใจเป็นกลาง...เธอรู้จักคุณนายพวงทองมาตั้งแต่เพิ่งตั้งตัวจนกระทั่งตาย รู้จักทุกคนในตระกูลนี้ดี...บางที...นักข่าวอาจไม่ได้โยงเรื่องมั่วซั่วนักก็ได้

“รุ้งสงสารพ่อจัง” หญิงสาวรำพึงพลางถอนใจ “รุ้งเชื่อนะคะว่าพ่อไม่เกี่ยวกับการตายของลุง ทำไมทุกคนถึงปักใจเชื่อว่าพ่ออยู่เบื้องหลัง เป็นคนจ้างวานฆ่าด้วย”

คุณจิตใสยิ้มละไม สัมผัสจิตใจอ่อนโยนของหญิงสาวตรงหน้าได้

“รุ้งเชื่อเรื่องกรรมมั้ยจ๊ะ” คำถามจากผู้สูงวัยนุ่มนวล กระตุ้นสติหญิงสาว

“เมื่อก่อนก็ไม่สนใจหรอกค่ะ เพิ่งจะมาเชื่อก็...ตอนที่ได้เจอวิญญาณคุณย่า ได้คุยกับคุณลุง คุณป้า แล้วก็พี่เชนนี่แหละ”

หญิงสาวตอบตรงๆ หล่อนยังนับว่าทำบุญมาดี ได้สมาคมกับคนดี มีความเห็นถูก เห็นตรง มิเช่นนั้นคงไหลไปตามโลก ตามกระแส เช่นชีวิตวัยรุ่นที่ผ่านมา

“ลักษณ์เขาคงกำลังรับกรรมของตัวเองอยู่” คุณจิตใสบอก

“กรรมอะไรคะ รุ้งยังไม่เคยเห็นพ่อทำผิดคิดร้ายอะไรใครเลย” ในสายตารุ่งรตีคนทำบาปคือพวกฆ่าคน วางเพลิง ลักขโมย มีชู้

“อืม...” คุณจิตใสรำพึง นิ่งชั่วครู่ “ป้าเองก็ไม่ใช่ผู้หยั่งรู้เรื่องกรรมชัดเจนหรอกนะจ๊ะ...แค่ดูเปรียบเทียบตามเหตุผลเท่านั้นเอง”

“ที่พ่อโดนใส่ร้าย โดนคนทั้งเมืองว่าเป็นฆาตกร เป็นคนจ้างวานเนี่ยเพราะทำกรรมอะไรคะ” รุ่งรตีถามตรงประเด็น

คุณจิตใสระบายลมหายใจแผ่ว เธอยังไม่ใช่ผู้หยั่งรู้เรื่องกรรมจริง ฉะนั้นคำพูดแต่ละคำ จึงต้องระมัดระวังเต็มที่

“รุ้งสังเกตมั้ย...ว่าธุรกิจของตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลแทบไม่มีคู่แข่งเลย”

“ค่ะ”

“นั่นเพราะไม่ใช่ไม่มีใครมาแข่ง แต่แข่งแล้วแพ้...” คุณจิตใสมองเห็นการทำงานของทุกคนตระกูลนี้มากพอจนสามารถเล่าได้ละเอียด “ถ้าตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลมีคุณนายพวงทองเป็นจอมทัพ รามก็คือแม่ทัพใหญ่ นำทหารออกรบ แต่ลักษณ์คือกุนซือวางแผน วางหมากเกมธุรกิจทั้งหมด”

“แล้วยังไงคะ” รุ่งรตียังไม่เข้าใจ

“เกมธุรกิจนี้มีวิชามารหลายแขนง...ลักษณ์เชี่ยวชาญดี...การที่จังหวัดนี้มีห้างสรรพสินค้าแห่งเดียวได้ ก็เพราะลักษณ์บอกให้รามไปล็อบบี้คณะกรรมการอนุมัติ แล้ววางแผนดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม ด้วยการปล่อยข่าวลือไม่ดีต่างๆ นานา...และที่ตลาดทรัพย์ยั่งยืนเป็นตลาดใหญ่แห่งเดียวของที่นี่ ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีใครตั้งตลาดแข่ง แต่พอมีตลาดแห่งใหม่ตั้งขึ้นมา แล้วลูกค้า พ่อค้า แม่ค้าชอบใจ มีโอกาสจะใหญ่โตก้าวหน้าขึ้นไปอีก ลักษณ์ก็บอกรามสั่งพวกสุขาภิบาลไปตรวจสอบ หาเรื่องถอนใบอนุญาต บางทีก็แกล้งปล่อยข่าวลือเสียๆ หายๆ ว่าตลาดนั้นขายของไม่ดี คนกินแล้วเข้าโรงพยาบาล ข่าวลือพวกนี้มันฟังน่าเชื่อถือกว่าข่าวจริง ทางตลาดนั้นหาทางตั้งรับ ทำประชาสัมพันธ์สู้...แต่ก็แพ้สารพัดวิชามารปล่อยข่าว สร้างหลักฐานปลอมของลักษณ์ จนทางนั้นต้องยอมแพ้ไป”

รุ่งรตีฟังแล้วอึ้ง หล่อนไม่เคยรู้เลยว่าบิดาตนเองทำเรื่องพวกนี้มาก่อน

“มันเป็นเรื่องธุรกิจนี่คะ ถ้าเราไม่ทำเขาก็อาจทำเราก่อนก็ได้” หญิงสาวพยายามแย้งแทนบิดา

คุณจิตใสยิ้ม...ตอบด้วยคำพูดที่รุ่งรตีเถียงไม่ขึ้น

“กรรม...คือการกระทำด้วยเจตนา...ไม่ว่าจะทำด้วยเหตุผลใด เมื่อตั้งเจตนาจะทำร้ายเขาแล้ว...ประสบผลด้วย กงล้อของกรรมย่อมเหวี่ยงกลับมาเต็มๆ”

หญิงสาวใจหายวูบ นึกหวั่นเกรง “กรรม” ขึ้นมาจับจิตจับใจ

“แล้ว...พ่อยังทำกรรมไม่ดีอื่นๆ ที่คุณป้ารู้อีกมั้ยคะ”

ผู้สูงวัยกว่ายิ้มอ่อนโยน...สัมผัสจิตที่หวาดเกรงกรรมจากฝ่ายตรงข้ามชัดเจน...เธอไม่เจตนาให้หญิงสาวกลัวกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง จึงตอบเป็นกลางๆ

“ที่ป้าพูดเรื่องกรรมให้รุ้งฟัง...ไม่ใช่ให้มากลัวต่อกรรมเก่าที่เราทำไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้...แต่อยากให้รุ้งวางใจเป็นกลาง...รับรู้อย่างตั้งมั่นว่า...ทุกสิ่งที่กระทบกลับมาหาเรานั้น ล้วนมีต้นเหตุทั้งนั้น...ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาลอยๆ ได้เลย...

“เพราะฉะนั้น แทนที่จะหลับหูหลับตากลัวอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว...หรือไม่...พอรับกรรมแล้วก็โกรธ โทษฟ้าดินไม่ยุติธรรม...เรามาหัดเรียนรู้ดีกว่า...ว่ากรรมอันใดก่อให้เกิดกุศล...ความเย็นใจ...กรรมอันใดเป็นอกุศล...ชักนำความทุกข์ ความเดือดร้อนมาให้...เราจะได้รู้จักเลือกทำกรรมให้ถูก ไม่ต้องเป็นคนโง่ที่เที่ยวสาปแช่งฟ้าดินไม่ปรานี...ทั้งที่ทุกสิ่งที่ย้อนกลับมาหาเรานั้น ล้วนมาจากแรงกระทำของเราเองทั้งนั้น...ไม่ว่าเราจะจำมันได้หรือไม่ก็ตาม...”

รุ่งรตีน้ำตาไหลโดยไม่รู้สาเหตุ มันไม่ได้เกิดจากความเศร้าโศกเสียใจ น้ำตาที่ไหลมานั้นเกิดจากหัวอกที่เต็มตื้น...ขณะฟังคำพูดคุณจิตใส...จิตใจตนบังเกิดความสลดสังเวช...สงสารผู้คน...สงสารตัวเอง...ที่โง่งมงาย...

“ถ้าอย่างนั้น...รุ้งจะขอเรียนรู้กับคุณป้าได้มั้ยคะ” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ได้สิจ๊ะ”

คำตอบกังวานใส...อบอุ่น...ซึมลึกถึงจิตใจผู้ฟัง...



งานศพรามเป็นงานใหญ่ ต่อเนื่องโดยไม่มีกำหนดเผา ทีแรกว่าจะเก็บไว้ร้อยวัน แต่มีคนค้าน ให้รอจับมือปืนได้ก่อน...จึงหากำหนดไม่ได้...ยิ่งช่วงเวลานี้...ศรีนวลกำลังเจอปัญหาความวุ่นวายในครอบครัวรุมเร้า จนแทบไม่มีกะจิตกะใจคิดทำอะไร

รามเป็นคนเจ้าชู้ มีเมียเก็บ เมียน้อยทั่วเมือง พอเขาตาย ผู้หญิงเหล่านั้นก็มุ่งมาขอแบ่งสมบัติ อ้างว่าตนมีลูกบ้าง อ้างว่าจดทะเบียนบ้าง สารพัดข้ออ้าง

ศรีนวลรบกับผู้หญิงพวกนี้จนแทบไม่มีเวลาทำอะไร...

อีกอย่าง...เธอกำลังผิดหวัง...ลูกที่อยู่ต่างประเทศกลับมางานศพพ่อ เพื่อจะบอกกับเธอว่า พวกเขาไม่ต้องการกลับมาอยู่เมืองไทย ต้องการตั้งรกรากถาวรอยู่ทางโน้น

ถ้าคุณศรีนวลต้องการอยู่กับลูก ก็ให้ขายสมบัติทั้งหมดตามไปอยู่ด้วยกัน หรือถ้าไม่ไปอยู่ด้วยก็ขอส่วนแบ่งสมบัติพวกเขาเพื่อไปตั้งตัว

ทรัพย์สินที่มีชื่อรามเป็นเจ้าของมีไม่น้อย ไม่นับรวมส่วนแบ่งในบริษัทกงสี...ทรัพย์สินเหล่านั้นคล้ายกองเพลิง ภูเขาดาบสำหรับคนอยู่ข้างหลัง สร้างความร้อนอกร้อนใจ ก่อให้เกิดความแก่งแย่งเดือดร้อน บาดลึกหัวอกจิตใจคนเป็นเมีย เป็นลูก...

ศรีนวลประสาทเสีย...ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร...นี่ยังไม่ต้องคิดถึงเรื่องคดีที่ยังไม่สิ้นสุด...หาตัวมือปืนคนร้ายไม่ได้

เวลานี้ศรีนวลพึ่งพา ปรึกษาใครไม่ได้ กับพี่น้องของรามก็ไม่ต่างจากคนแปลกหน้า ไม่กล้าไว้ใจใคร โดยเฉพาะลักษณ์

ลูกน้องคนสนิทที่ซื่อสัตย์อย่างบุญส่งก็หายหน้าหายตาไม่อยู่ให้อุ่นใจ โผล่มาให้เห็นในงานศพแค่แวบๆ จนศรีนวลไม่ทันเรียกใช้สอยได้

บุญส่งทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ หรือว่า...เขารู้อะไร...ที่ไม่มีใครรู้...






บทที่ ๒๕



งานศพรามคืนนี้ ผู้คนคึกคักเช่นเคย บุคคลระดับจังหวัด ผู้มีชื่อเสียงมาร่วมฟังสวดหลายคน พี่น้องตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลจำเป็นต้องมากันพร้อม ลักษณ์ สมุทร สุขศจี กับครอบครัวผู้ตาย...ศรีนวล พร้อมลูกชาย ลูกสาวอยู่ครบ

พิธีการดำเนินราบรื่น ฝ่ายเจ้าภาพต้อนรับแขกไม่ขาดตกบกพร่อง มีมารยาท ยกเว้นอาจมีบางคนสังเกตเห็นญาติฝ่ายพี่น้องผู้ตายกับฝ่ายลูกเมียไม่ค่อยมองหน้า พูดจากันเลย

ลักษณ์ สมุทร สุขศจีนั่งเรียงแถวเดียวกัน ฟังสวดศพไม่สนใจใคร...หลังการตายของราม และลักษณ์โดนกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจนถึงตอนนี้ ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในกลุ่มพี่น้องที่เหลือ

ลักษณ์ถอนการอายัดเงินทั้งหมด ตกลงกับสมุทรโอนบัญชีเงินมรดกส่วนของสุขศจีคืนโดยอาศัยใบมอบอำนาจที่รามเซ็นไว้ให้แต่แรกตอนตกลงกัน จึงไม่มีปัญหา และนำเงินบัญชีกงสีโปะให้ตามจำนวนเงินที่ขาด จากนั้นตกลงเป็นการภายในเรื่องการแบ่งสมบัติให้เท่าเทียมยุติธรรม ทำให้พี่น้องมองหน้ากันติดบ้าง ถึงอย่างนั้น ทายาทของรามก็ยังต้องการมรดกส่วนตนตามกฎหมาย ลักษณ์ขอเวลาเคลียร์ทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อน ฝ่ายนั้นมองเป็นการซื้อเวลา จึงเกิดการกินแหนงแคลงใจเพิ่มขึ้น

เสียงพระสวดยืดยาว ผู้ฟังส่วนใหญ่อยู่ในอาการสงบสำรวม ลักษณ์กับน้องนั่งแถวหน้า คนละด้านกับครอบครัวราม มีกลุ่มผู้หลักผู้ใหญ่คนสำคัญนั่งบนโซฟากลางเป็นที่คั่น

ลักษณ์รู้สึกว่าตนกำลังเป็นเป้าสายตาบางคน ความรู้สึกนี้เริ่มคุ้นชินตั้งแต่เป็นผู้ต้องหาสังคมเรื่องจ้างวานฆ่าพี่ชายตัวเอง คราวนี้เขารู้สึกถึงแรงดึงดูดสายตาของคนที่จ้องมองนั้นมีมากจนยอมหันมองหา พบเจ้าของสายตาคือคนสนิทของราม...บุญส่ง...

บุญส่งจ้องมองเขาอยู่ที่มุมศาลา ทำตัวกลมกลืนกับเด็กคนงาน ลักษณ์จำได้คนนี้คือบุคคลที่เห็นศพรามต่อจากเขา

ดวงตาบุญส่งบอกมีเรื่องราวอยากคุยด้วย ไม่ใช่แววตาโกรธแค้นอาฆาต คลางแคลงใจเช่นแววตาคนที่อยู่ฝ่ายรามมองเขา

พระสงฆ์สวดเสร็จ ลักษณ์ทำทีลุกไปเข้าห้องน้ำ เขามั่นใจหากบุญส่งมีเรื่องต้องการคุยจริง ต้องตามออกมาแน่

ลักษณ์คาดไม่ผิด หางตาเขาเห็นบุญส่งเดินตามมาห่างๆ แต่บริเวณศาลาสวดและรอบๆ ถึงห้องน้ำเต็มไปด้วยผู้คน...คนส่วนใหญ่รู้จักลักษณ์แทบทั้งนั้น เขาต้องหยุดแวะทักทายคนโน้นคนนี้ รับไหว้คนอ่อนอาวุโสกว่าเป็นแถว คิดว่าไม่มีโอกาสพูดจาส่วนตัวกับบุญส่งแน่

“ผมจะไปรอที่รถ” บุญส่งทำคล้ายเดินสวนหยุดทักทายเขา แต่คำพูดที่บอกกลับเป็นการนัดแนะ

มือขวาของรามต้องการคุยกับเขา...เรื่องอะไรกัน...

ความรู้สึกหนึ่งเตือนลักษณ์ให้ระวังตัว บุญส่งอาจเหมือนคนทั่วไปที่คิดว่าเขาเป็นผู้จ้างวานฆ่าราม อาจหลอกเขาไปแก้แค้นแทนเจ้านายก็ได้...อีกใจนึกค้าน...ไม่น่าใช่...วันเกิดเหตุบุญส่งอยู่ในสถานที่นั้นด้วย...คนที่เห็นเขาเวลานั้น ย่อมไม่มีทางคิดว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายพี่ชายแน่นอน

ถ้าเช่นนั้น บุญส่งต้องมีเรื่องสำคัญอยากบอกจริงๆ

ลักษณ์กลับไปศาลาสวด ประธานงานถวายปัจจัยพระเสร็จเรียบร้อยกำลังนั่งรับพร เสร็จจากนั้นพระภิกษุทยอยกลับ แขกส่วนใหญ่รับประทานของว่างมื้อค่ำ ส่วนประธาน แขกวีไอพีขอตัวกลับ พี่น้องตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลและครอบครัวรามต้องยืนร่วมส่งแขก

จนกระทั่งแขกผู้ใหญ่กลับหมด ศรีนวลหันมาบอกลักษณ์ด้วยสีหน้าเรียบ น้ำเสียงแข็ง

“พี่อยากคุยกับพวกคุณหน่อย พรุ่งนี้ว่างมั้ย”

ลักษณ์มองหน้าสมุทร สุขศจี ทั้งสามรู้ว่าพี่สะใภ้ต้องการคุยเรื่องอะไร

“ครับพี่ศรี เราคุยกันที่โรงแรมก็ได้ ผมจะเปิดห้องประชุมเล็กให้ พวกหลานๆ จะไปด้วยใช่มั้ย” ลักษณ์มองหลานชาย หลานสาวที่ยืนด้านหลังมารดา การนัดพูดจาครั้งนี้ ศรีนวลทำไปเพราะคำเรียกร้องจากลูกๆ

ศรีนวลพยักหน้าแทนการตอบรับ

“สักสิบโมงเช้าเป็นยังไง” ฝ่ายผู้ตายนัดเวลาเอง

“ได้ครับพี่” ลักษณ์เป็นตัวแทนน้องอีกสองคนตกลงรับปากเรียบร้อย

จากนั้นไม่มีคำพูดจาต่อกันอีก ราวไม่ใช่ญาติพี่น้อง ท่าทีหมางเมินคลางแคลงสร้างรอยร้าวขนาดใหญ่ระหว่างคนสองกลุ่มชัดเจน

“อย่างนี้คงจะคุยเรื่องแบ่งสมบัติของเฮียแน่ๆ” สมุทรออกความเห็น

“โธ่เอ๊ย คิดว่าจะรอให้เผาก่อน” สุขศจีสำทับตาม

“คงอยากจัดการให้มันเรียบร้อยเร็วๆ มั้ง” ลักษณ์รู้ว่าพี่สะใภ้ต้องรับศึกหนักกับบรรดาเมียเล็กๆ ของพี่ชายตนขนาดไหน

“อยากรู้จังว่าจะเอาอะไรอีก” สุขศจีพูดเหมือนไม่เห็นอีกฝ่ายเป็นพี่สะใภ้

“ช่างเขาเถอะ พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน”

ลักษณ์พูดเช่นนั้น ในใจกลับหนักอึ้ง ถอนใจเหนื่อยหน่าย...คิดแวบขึ้นมา...ถ้าครอบครัวของรามตายหมดเหมือนสีดาก็ดี จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาจัดสรรแบ่งสมบัติให้วุ่นวาย

พอได้สติก็หนาววูบ...เขามีความคิดของฆาตกรด้วยหรือ...ไม่อยากเชื่อเลย...สมบัติ”...คำเดียว จะทำให้คนเราคิดเรื่องร้ายได้ขนาดนี้



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)




แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP