วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

กรงไฟ ๓๐


cover_krongfire

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



รามพยายามให้ลูกน้องทุกคนสืบค้นหาร่องรอยของลักษณ์สุดความสามารถ ทั้งเช็คสายการบิน ถามคนขับรถว่าส่งลักษณ์ที่สนามบินจริงหรือไม่ กระทั่งให้คนแอบดูที่คอนโดฯในกรุงเทพฯ

ทุกอย่างบอกว่าลักษณ์ออกนอกประเทศจริง คนขับรถของลักษณ์บอกว่าเขาส่งเจ้านายที่สนามบินนำตั๋วไปเช็คอิน...รอจนกระทั่งลักษณ์เข้าห้องผู้โดยสารขาออกจึงได้กลับมา

สิ่งที่รามทำได้คือรอ...ปรึกษาน้องชาย ทนายเรื่องการรับมือกับลักษณ์

เวลาสองสามวันนี้ รามเหมือนตกในกระทะร้อน นั่งนอนไม่เป็นสุข ทรมานยิ่งกว่าวันที่ ๑๕ มิถุนายน วันที่เขาคิดว่าตนเองจะต้องตายเสียอีก

บางที...ความตายที่มาเยือน อาจไม่น่ากลัวเท่ากับไฟกิเลสเผาผลาญตลอดเวลา ทั้งที่ยังมีชีวิต

รามนั่งเซ็นหนังสืออยู่เทศบาล แทบไม่มีสมาธิกับงานตรงหน้า กระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นยังไม่รู้เรื่อง

“เออ...ว่าไง” หมายเลขปลายสายมาจากบุญส่ง

“คุณลักษณ์มาถึงเมืองไทยแล้วครับนาย...พวกเราที่สนามบินเพิ่งโทรมาแจ้งตะกี้เอง”

“เออดี...บอกมันให้ตามดูด้วยว่าไอ้ลักษณ์จะค้างที่คอนโดฯกรุงเทพฯหรือกลับมาที่นี่”

“ครับนาย” บุญส่งตอบพร้อมกับวางสาย

รามนั่งทำงานด้วยใจกระวนกระวายอีกพักใหญ่ อดรนทนไม่ไหว ลองโทรศัพท์เข้าเครื่องน้องชาย...เผื่อเขาจะเปิดเครื่องแล้ว

โทรศัพท์ครั้งนี้ใช้เวลาไม่กี่วินาทีก็มีสัญญาณรับสาย

“ว่าไงเฮีย” เสียงของลักษณ์ปลอดโปร่ง เป็นต่อ

“แกนั่นแหละจะเอายังไงกันแน่” รามเสียงแข็ง

“ผมบอกในจดหมายหมดแล้วนะเฮีย” ลักษณ์พูดไม่เดือดร้อนใจ

“ห่าเอ๊ย แล้วมึงอายัดเงินบริษัททำไม จะให้ตายกันหมดหรือไง” รามขึ้นเสียง

“ผมรักษาผลประโยชน์ของครอบครัวนะ” ลักษณ์ตอบใจเย็น

“รักษาที่ไหน พี่น้องจะตายกันหมดไม่ว่า”

“พี่น้องคนไหนบ้างล่ะเฮีย” ถามยอกย้อน รู้ทัน

“กูนี่แหละคนนึง” รามโพล่งเหลืออด “มึงก็รู้ว่าตอนนี้กูมีเรื่องต้องจ่ายเยอะแค่ไหน ยังมาทำแบบนี้อีก”

“บางที...ผมว่าเฮียต้องพิจารณาใหม่แล้วละ ว่ารายจ่ายพวกนั้นน่ะมันจำเป็นแค่ไหน” ลักษณ์ใจเย็น

“ไอ้ลักษณ์...มึง”

คำด่าทอกำลังจะพรั่งพรูจากปาก รามรีบหยุดมันไว้ ก่อนการเจรจาจะยิ่งแย่กว่านี้

“เราต้องคุยกัน” รามพูดหลังสงบใจครู่หนึ่ง

“ผมยังอยู่กรุงเทพฯเลยเฮีย” ลักษณ์ตอบตรงตามจริง

“ยังไม่ต้องคุยตอนนี้ก็ได้ เย็นนี้ไปคุยที่บ้านเฮีย เรียกทุกคนมาให้หมดเลย”

“บ้านเฮียเหรอ” ลักษณ์ลังเล “บ้านเฮียก็มีแต่พวกเฮียหมดล่ะสิ ผมไม่เสี่ยงเข้าไปหรอก”

“ไอ้ห่า มึงพูดเหมือนกูจะหลอกไปฆ่า” รามเหลืออด

“ช่วงนี้ผมต้องระวังตัวหน่อยล่ะเฮีย...อะไรๆ มันก็ไม่แน่นอน”

“งั้นมึงจะเอายังไง เย็นนี้เราต้องคุยกัน ที่ไหนบอกมา” รามยอมอ่อนข้อ

“ร้านครัวพวงทองแล้วกัน กลางๆ ดี หรือเฮียอยากไปคุยที่บ้านเรา...ไม่ก็โรงแรม” ลักษณ์เสนอทางเลือก

“ร้านครัวพวงทองก็ได้” รามเลือก ถ้าไปคุยที่บ้านอีกฝ่ายดูเหมือนจะยอมมากไป คุยที่โรงแรมก็ดูเอิกเกริกไปหน่อย คุยที่ร้านอาหารดีกว่าเพื่อน

“แล้วอย่าลืมบอกไอ้จีมันด้วยล่ะ” รามสำทับต่อ

“ได้...งั้นเย็นนี้เจอกันเฮีย” ลักษณ์ตอบ

หลังวางหูโทรศัพท์จากน้องชายคนรอง รามก็รีบต่อถึงน้องชายอีกคนทันที

“เฮ่ย...ไอ้หมุด เย็นนี้นัดคุยกันนะ” รามพูดคำแรกบอกจุดประสงค์ทันที

“ไม่ได้หรอกเฮีย ผมไม่ว่างตอนนี้อยู่กรุงเทพฯ”

“อ้าว ทำไมยังไม่มา...มีอะไร” รามสงสัย ปกติสมุทรขับรถเทียวสองจังหวัดเป็นปกติอยู่แล้ว

“ลูกผมเข้าโรงพยาบาลเฮีย...ทั้งสองคนเลย ผมต้องอยู่ดูมันก่อน”

“เป็นอะไรวะ”

“อุบัติเหตุ...กิจกรรมที่โรงเรียนน่ะ...ไม่รู้ซ้อมเชียร์เล่นกีฬาอะไร ไม่หนักหนาหรอกแต่เป็นห่วงมัน”

“เฮ่ย...นี่เฮียนัดไอ้ลักษณ์ไว้แล้วนะ คุยกันเย็นนี้ที่ร้านครัวพวงทอง”

“เฮียไปคุยก่อนเถอะ ผมว่าไม่มีประโยชน์หรอก” สมุทรพูดอย่างเดาเหตุการณ์ออก

รามเกือบหลุดปากด่าด้วยความเคยชิน แต่แปลกที่ตอนนี้รู้สึกเหนื่อยหน่ายจิตใจ เป็นความเหน็ดเหนื่อยที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ทำให้เขาตอบรับน้องชายสั้นๆ ก่อนวางหูโทรศัพท์

เอนหลังพิงเก้าอี้ หอบหายใจหนัก...ครู่หนึ่งทุกอย่างเป็นปกติ...ส่วนลึกในใจบังเกิดความหวั่นวูบพิกล คล้ายมีใคร...หรืออะไร กำลังตะโกนร้องเตือนอยู่ไกลๆ


 

 

 

บทที่ ๒๔


 

รถยนต์ของรามแล่นมาจอดร้านครัวพวงทอง ในรถมีบุญส่งคนขับกับรามนั่งด้านหลัง ไม่มีขบวนลูกน้อง ผู้ติดตามเป็นพรวนอย่างเคย

อาจเพราะนี่เป็นการพูดคุยเรื่องส่วนตัวในครอบครัว ไม่ควรมีคนวุ่นวายมากนัก ร้านครัวพวงทองไม่ใช่ถ้ำเสือที่ไหน คนนัดพบก็น้องชายตัวเองแท้ๆ

ก่อนลงจากรถ รามไม่ลืมหยิบกระเป๋าปืนมาด้วย เป็นความเคยชินที่คนเช่นเขาจะไม่ห่างจากปืน แต่ไม่จำเป็นต้องเหน็บเอวเหมือนมือปืนลิ่วล้อทั้งหลาย

น่าแปลกที่วันนี้อุ่นใจเป็นพิเศษที่มีปืนอยู่ข้างกาย

“ไอ้ส่ง เดี๋ยวเอ็งไปหาอะไรกินในร้านได้เลย ไม่ต้องห่วง...อั๊วจะเข้าไปคุยกับน้องที่ห้องวีไอพีก่อน” รามไม่ลืมที่จะแสดงน้ำใจต่อลูกน้องในแบบของเขา

“ครับนาย” บุญส่งรับคำ ร้านครัวพวงทองนี้เขามาบ่อย จนรู้จักทุกคนในร้านหมดแล้ว ไม่ต้องกลัวอด

รามเข้าร้าน วันนี้มีลูกค้าหลายโต๊ะ บางโต๊ะรู้จักเขา ต่างยกมือไหว้ทักทายตามประสา รามพูดจารับพอเป็นพิธี ก่อนมองหาสุขศจีกับศรีนวล พบแต่น้องสาว ส่วนภรรยาไม่อยู่

“ซ้อแกไม่ค่อยมาดูที่ร้านหรอก” สุขศจีบอกอย่างนั้น “ส่วนใหญ่แกจะไปอยู่ตลาด”

ศรีนวลอยู่ตลาดมากกว่าร้านครัวพวงทอง ไม่ใช่เพราะที่นั่นมีรายได้มากกว่าหลายเท่า แต่เพราะตลาดกว้างขวาง สามารถเลี่ยงการพบปะพูดจากับน้องสามีได้ ขณะที่ร้านอาหารยากจะหลบหน้ากัน

รามพอรู้ความขัดแย้งระหว่างภรรยากับน้องสาว คร้านจะพูดมาก เห็นเป็นเรื่องจุกจิกไร้สาระของผู้หญิงมากกว่า

“ลักษณ์มาหรือยังล่ะ” รามถาม

“ยัง...แต่เดี๋ยวคงจะมามั้ง...เพิ่งมาจากกรุงเทพฯเมื่อเย็นนี้เอง”

สุขศจีตอบเรื่อยๆ ไม่ใส่ใจ เรื่องที่พี่ชายจะพูดกันคืนนี้มีผลต่อตนเองแค่ไหน

“เออ...งั้นเฮียจะเข้าไปรอก่อน สั่งเด็กเอาเบียร์กับแกล้มไปให้ที”

“ได้สิเฮีย” สุขศจีตอบ

รามแปลกใจอาการน้องสาว ที่ดูไม่ขวางหูขวางตาเหมือนเคย ทั้งที่เพิ่งทะเลาะกันแทบไม่มองหน้า สุขศจีวันนี้เฉยๆ เฉื่อยๆ เหมือนรู้ตนเองเป็นต่อ...การพูดจาคืนนี้รามต้องเป็นฝ่ายยอมถอยแน่ๆ

ลักษณ์มาถึงร้านหลังรามไม่กี่นาที จอดรถใกล้กัน ผิดแต่ว่าเขามาคนเดียว ไม่มีลูกสมุนติดตาม...เข้าร้านเห็นบุญส่งนั่งดื่มน้ำเปล่าอยู่ที่โต๊ะไม่ไกลจากห้องวีไอพีนัก

“เฮียเขามารอแล้วหรือ” ลักษณ์ถามบุญส่ง

“ครับคุณลักษณ์” กับน้องชายนาย บุญส่งให้ความเกรงใจระดับหนึ่ง ถึงแม้จะรู้สองพี่น้องกำลังขัดแย้งกัน

“สั่งอะไรมากินหรือยัง มาที่นี่ไม่ต้องกินแต่น้ำเปล่าหรอก” ลักษณ์มีน้ำใจกับลูกน้องไม่ต่างจากพี่ชาย

“สั่งแล้วครับ เดี๋ยวคงมาส่ง”

“เออ...จริง...ที่ร้านคนเยอะ อาหารคงมาช้าหน่อย” ลักษณ์พูดพลางยิ้มๆ ก่อนตรงเข้าห้องวีไอพี

ห้องวีไอพีร้านครัวพวงทองมีหลายแบบ หลายห้อง ตั้งแต่ห้องกว้างใช้จัดเลี้ยง และลดหลั่นขนาดลงมาจนถึงห้องส่วนตัว แต่ละห้องจะแยกเป็นสัดส่วน

ห้องที่พี่น้องตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลมักใช้กัน เป็นห้องมิดชิดส่วนตัว สามารถเก็บเสียงได้ดี ตกแต่งสวยงาม มีรสนิยม

ลักษณ์พบรามกำลังนั่งจิบเบียร์เปิดคาราโอเกะฟังเพลงคนเดียว

“ไอ้หมุดไม่มาหรือเฮีย” ลักษณ์แปลกใจที่รามนั่งรอคนเดียว

“เออ...ปัญหามันอยู่กับเฮีย...เฮียคุยคนเดียวก็เหมือนกัน”

รามอารมณ์ดี ลักษณ์ฟังเสียงแล้วคิดว่าการเจรจาคืนนี้คงราบรื่น ถึงไม่หวังผลร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็น่ามีการเปลี่ยนแปลงเป็นประโยชน์บ้าง

“เดี๋ยวผมขอตัวเข้าห้องน้ำก่อน แล้วจะออกมาคุย”

ห้องวีไอพีมีห้องน้ำส่วนตัว ลักษณ์ตั้งใจเข้าไปล้างมือ ทำธุระส่วนตัวเล็กน้อยก่อนจะมา “เจรจา” กับพี่ชาย

เพิ่งทำธุระเสร็จ ไม่ทันรูดซิปเรียบร้อย ก็ได้ยินเสียงทึบๆ แน่นๆ ดังจากในห้อง

...ปุ...

เขาชะงัก รีบรูดซิปติดตะขอกางเกง ใจคอหวั่นวูบ หวาดกลัวรุนแรง เสียงนั้นดังแค่ครั้งเดียวก็เงียบหาย...เงียบจนน่ากลัว

เปิดประตูห้องน้ำ ยืนตะลึงลาน ทำอะไรไม่ถูกชั่วขณะ ภาพตรงหน้าสะกดให้ตัวแข็งทื่อ เลือดในกายเย็บเฉียบ สิ่งที่เห็นสามารถกระชากวิญญาณได้ในชั่ววูบเดียว

รามหงายหน้าพาดกับพนักเก้าอี้นัยน์ตาเหลือกลาน หน้าผากมีรูแดงๆ หนึ่งรู ด้านหลังกะโหลกมีเลือดไหลย้อยอาบเก้าอี้ลงไปนองกองเต็มพื้น มือของรามกำลังจับปืนกระชับ กระเป๋าปืนตกอยู่ใกล้ๆ คล้ายรีบดึงฉุกละหุกเพื่อป้องกันตัว

ลักษณ์ยังยืนนิ่ง ทำอะไรไม่ถูก...ในห้องโล่งว่าง นอกจากเขากับศพพี่ชายก็ไม่มีใครอยู่อีกเลย...ราวกับเวลาหยุดเดิน...นาฬิกาทุกเรือนตายสนิท ทั้งห้องไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหว นอกจากหยาดเลือดไหลรินอย่างไม่รู้เหือดแห้ง

ประตูห้องเปิดผาง ผู้ทำให้กาลเวลาของลักษณ์เคลื่อนไหวอีกครั้งคือบุญส่ง...มือขวาของรามแว่วเสียงผิดปกติในห้องวีไอพี มันเป็นเสียงที่คนทั่วไปไม่ผิดสังเกตนัก แต่กับคนที่อยู่ในวงการมาเฟียฟังชัด...มันคือเสียงมัจจุราช...

...ปุ... เสียงจากกระบอกปืนเก็บเสียง

บุญส่งกวาดตามองรอบห้อง เก็บรายละเอียดด้วยสายตาคมกล้า เห็นสภาพเจ้านายนอนหงายเป็นศพบนเก้าอี้ เห็นน้องชายเจ้านายยืนตะลึงทำอะไรไม่ถูกอยู่หน้าห้องน้ำ เท่านี้ก็ประเมินสถานการณ์ถูก

เขาไม่มีเวลาถามไถ่ เสียใจ...ต้องหามือปืนที่หนีไปให้ได้โดยเร็ว...

สายตาไวพบความผิดปกติตรงผ้าม่านด้านหนึ่ง รีบดึงมันเปิดออก สิ่งที่เห็นตรงตามคาดคิดไม่ผิดเพี้ยน

หลังผ้าม่านเป็นบานหน้าต่างเปิดเลื่อนทิ้งไว้ มองลงไปเห็นเส้นทางหนีที่ “ใคร” บางคนใช้หลบหนีสะดวกดาย

บุญส่งใช้เวลาคิดไม่ถึงเสี้ยววินาทีก็มุดออกจากหน้าต่าง กระโดดลงด้านล่างตามร่องรอยคนร้ายอย่างทันท่วงที


 

นี่มันเกิดอะไรขึ้น...ลักษณ์ถามตัวเองด้วยประสาทอันเชื่องช้า ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยเห็นอะไรน่ากลัวเช่นนี้ ไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน

บุญส่งทำให้กาลเวลาในหัวเขาเคลื่อนไหว ลักษณ์ค่อยขยับตัว เดินจากจุดที่ยืนหน้าห้องน้ำมาก้าวสองก้าว กำลังจะขยับปากถามมือขวาพี่ชายว่า...เกิดอะไรขึ้น...ภาพที่เห็นเป็นของจริงหรือมายา ทำไมสมอง...ความคิดเขาเชื่องช้านัก

บุญส่งไม่สนใจเขา...หลังจากกวาดสายตาดูทั่วห้องชั่วครู่ก็วิ่งไปที่หน้าต่าง เปิดผ้าม่านออกแล้วผลุบหายโดยไม่พูดจาอะไรสักคำ

ลักษณ์รู้สึกตัวเต็มที่อีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเสียงหนึ่ง

กรี๊ด...ด...ด...เสียงหวีดร้องลั่นห้องด้วยความตกใจอย่างแรงจากน้องสาวตนเอง...

สุขศจีเปิดประตูห้องวีไอพีตามหลังบุญส่ง ภาพที่ปรากฏต่อหน้าทำให้หล่อนหวีดร้องสุดเสียง เสียงหวีดร้องนั้น ปลุกสติพี่ชายอีกคนที่กำลังยืนตะลึงให้คืนสติกลับมา

“ใคร...ใครทำ...”

สุขศจีตะโกนลั่น ไม่อาจควบคุมตัวเอง ลักษณ์ถลันเข้าไปหาน้องสาวตามสัญชาตญาณ

“จี...จี...ทำใจดีๆ ไว้ก่อน...อย่าเพิ่งโวยวาย”

ลักษณ์ละล่ำละลักบอกน้อง ทั้งที่ตัวเองก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน

เสียงกรีดร้องของสุขศจีเรียกคนทั้งร้านให้แห่มาดูเหตุการณ์ เริ่มจากเด็กลูกจ้าง จนกระทั่งถึงแขกที่มารับประทานอาหาร

ถึงตอนนี้ การตายของราม...พี่ใหญ่ตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล นายกเทศมนตรีเมืองนี้ ก็ไม่อาจปกปิดได้อีกแล้ว...จากปากหนึ่งสู่หลายหูและอีกหลายปากไปสู่กลุ่มคนทั้งจังหวัด ยิ่งกว่านั้นเหตุการณ์นี้ย่อมไม่พ้นลงข่าวหน้าหนึ่งบนหนังสือพิมพ์หัวสีขายดีอันดับหนึ่งของประเทศ

ตำรวจ นักข่าว คนทั่วไปให้ความสำคัญต่อการฆาตกรรมอุกอาจของคนระดับนี้แน่นอน เสียงร่ำลือ วิพากษ์วิจารณ์ขยายตัวรวดเร็ว ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ก็เพิ่มเติม ใส่สีตีไข่ลงไปในเรื่องที่เล่า หนังสือพิมพ์ลงข้อสันนิษฐานของตำรวจ ขยายผลความเห็นออกไปกว้างขวาง...ใครบ้างที่ต้องกระทบกระเทือนต่อเหตุการณ์นี้เต็มๆ


 

มันเป็นการย้อนรอยกรรมหรืออย่างไร...วันนี้ฆ่าเขา...พรุ่งนี้ถูกเขาฆ่า...ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เชียวหรือ...

คุณนายพวงทองพึมพำซ้ำไปซ้ำมาเช่นนี้

แรงสะเทือนจากความเสียใจที่สูญเสียบุตรชายคนโต ทำให้คุณนายพวงทองอ่อนกำลังไร้เรี่ยวแรง ทะเลทุกข์ถาโถมใจไม่หยุดยั้ง ทุกข์ซ้ำ ทุกข์ซาก คลื่นน้ำตาซัดฝั่งหัวอกยากจะหาวันสิ้นสุด

ก่อนเกิดเหตุการณ์นี้ คุณนายพวงทองมีลางสังหรณ์ พยายามส่งสารถึงเชนกับรุ่งรตี ภาพที่ออกมาคือความฝัน ณ หลุมฝังศพ...กำหนดวันตายของรามบนป้ายอาจไม่แน่นอน แต่ชะตากรรมการตายที่จะมาถึงเขานั้น...แน่นอน...ไม่ผิดพลาด

ความตายของรามไม่ผิดพลาด ลางสังหรณ์คุณนายพวงทองก็ไม่พลาด เพียงแต่มันไม่อาจบอกต่อใครได้ มีกำแพงอันหนาทึบบดบัง พยายามส่งจิตถึงทุกคนที่เคยติดต่อก็ไร้ผล ไม่มีใครเข้าใจ รับรู้ จนกระทั่งรามเสียชีวิต...คุณนายพวงทองถึงได้ทราบ...สิ่งที่ปิดกั้นเธอกับกลุ่มคนที่เคยติดต่อได้...นั่นคือ...กำแพงกรรม...

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

รามเคยมือเปื้อนเลือดมาแล้ว...ทั้งฆ่าคน สั่งฆ่าคนมากี่ศพ...นี่คือการทวงคืน...

คุณนายพวงทองนึกถึงตอนที่ตนบอกราม... “เก็บน้ารุ่งซะ” ...ยามนั้นเขาไม่ไถ่ถามมากความ บางทีรามอาจรู้ต้นสายปลายเหตุ หรือไม่ ก็เต็มใจทำทุกอย่างเพื่อแม่และครอบครัว

หลังจากคุณนายพวงทองสั่ง “รุ่ง” ...น้องชายให้เก็บ “เสี่ย” ผู้เป็นสามีเรียบร้อย ก็ยังใช้ทำงานอื่นอีกหลายอย่าง ข่มขู่ วางเพลิง เพื่อให้ได้ตลาดมาเป็นของตนโดยชอบตามกฎหมาย เมียหลวงของเสี่ยไม่กล้าสืบสาวเอาความทวงคืน

เลี้ยงน้องชายคนนี้ไว้ก็เหมือนเลี้ยงงูพิษข้างตัว อุตส่าห์ให้ดูแลธุรกิจเดินรถ อู่ต่อรถทัวร์ มีรายได้เป็นกอบเป็นกำยังไม่พอใจ เห็นกิจการดีวันดีคืน ผลประโยชน์กองใหญ่ก็ชักคิดกำเริบ

“กิจการนี้ผมขอเถอะนะพี่” รุ่งขอเอาดื้อๆ เพราะรู้ตนเองมีไพ่ตายหลายใบใช้บังคับพี่สาว

คุณนายพวงทองจุกอก โกรธจนพูดอะไรไม่ออก นึกอยากฆ่าน้องชายให้ตายคามือ แต่ยังทำไม่ได้ เธอเลี้ยงเขาจนปีกกล้าขาแข็งเกินไป ทำได้แต่พูดจาประนีประนอม หาข้อตกลง ซื้อเวลาจนกว่าหาวิธีเหมาะสมจัดการได้

ถ้าจ้างมือปืนมาเก็บ ก็เสี่ยงให้คนนอกรู้ ยิ่งมือปืนถูกจับแล้วปากโป้งจะเสียเรื่องใหญ่ วางแผนฆ่าเองก็ไม่ได้ น้องชายรู้ทันหล่อน คอยระวังตัวจากฝีมือพี่สาวทุกก้าว

ทางเดียวที่จะจัดการได้คือต้องเลือกมือใหม่ ไม่มีประวัติ และไว้ใจได้ดี

คุณนายพวงทองมองไม่เห็นใคร นอกจากลูกชายคนโตของเธอ

รามรับปาก หายตัวไปเพื่อวางแผนจัดการ พอทำงานสำเร็จ เขาหลบหน้าไปเป็นเดือน คุณนายเพิ่งมารู้ทีหลังว่า ลูกชายแทบสติแตกกับการฆ่าคนครั้งแรก

หลังจากนั้นรามเริ่มเปลี่ยนไป โหดเหี้ยมมากขึ้น เงาฆาตกรคลุมร่างเขาแล้ว...คุณนายพวงทองสงสัยตัวเองเป็นครั้งแรก...เธอทำผิดหรือถูกที่สั่งให้ลูกทำเช่นนั้น

วันนี้หมดข้อสงสัยใดๆ ให้เคลือบแคลง...รามตายอย่างน่าอนาถด้วยกระสุนนัดเดียว...ยืนยันกฎแห่งกรรมโดยไม่ต้องรอให้พิสูจน์ถึงชาติหน้า รามทำกรรม...ฆ่าคน...ได้รับผล...ถูกฆ่า...เห็นง่าย ชัดเจน...

แล้วคุณนายพวงทองล่ะ? คนสั่งฆ่า คนอยู่เบื้องหลังการตายเช่นนี้ ตาชั่งกรรมชั่วย่อมมีน้ำหนักไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้ลงมือกระทำเองแน่นอน... ผลที่เธอได้รับจะเป็นอย่างไร

คุณนายพวงทองไม่ได้ถูกฆ่าตาย เธอแก่ตายอย่างทรมานด้วยสารพัดโรครุมสังหาร...แค่นี้หรือผลกรรมของเธอ...

ไม่ใช่หรอก...ความตายไม่ใช่การสิ้นสุดของการส่งผลกรรม...คุณนายพวงทองอาจไม่ได้เห็นผลกรรมชั่วของตนย้อนรอยกลับมาสนองคืนในชาติปัจจุบันเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์

นั่นยิ่งร้ายกาจกว่าที่รามได้รับเสียอีก กรรมที่รามทำส่งผลให้เห็นทันใด จะมากจะน้อยพอยอมรับได้...เคยฆ่า ย่อมถูกฆ่า...แต่ยามที่คุณนายพวงทองรับกรรมเต็มร้อยในอนาคต เธอจะไม่มีโอกาสรู้เลยว่าทำอะไรมาถึงต้องมารับผลเช่นนี้...ได้แต่โทษดินฟ้า เทพเจ้าไม่ยุติธรรมอย่างโง่เง่า...งมงาย...หารู้ไม่...

ก่อนจะมีผล...ต้องสร้างเหตุมาแล้ว...ทุกกรณี

ทำกรรมไว้...จะช้าหรือเร็ว...มันต้องส่งผลแน่นอน...ไม่มีบิดเบือน

ภาพนี้เธอเป็นแค่ดวงวิญญาณจมกองทุกข์ ก็เพราะแรงกุศลอันน้อยนิด ที่คุณจิตใสพยายามเรียกร้องให้เธอระลึกได้ก่อนตาย...ธรรมดาแล้ว...หากจิตใจระลึกถึงกุศลก่อนตาย และมีกัลยาณมิตรอันประเสริฐมาแผ่เมตตาให้ข้างๆ เช่นนี้...จะมากจะน้อยดวงจิตนั้นย่อมขึ้นสู่สุคติ...แต่ทว่า กรรมชั่วที่คุณนายพวงทองสร้างไว้ ประกอบกับดวงจิตพอกพูนด้วยโลภะ โทสะ มันจึงถ่วงดึงรั้งไว้ ไม่อาจให้ขึ้นสู่ที่สูง...ดีเท่าไรแล้วที่ไม่จมลงในอบายภูมิที่ลึกกว่านี้...

ยามนี้คุณนายพวงทองเสมือนกำลังได้ชม “ละครกรรม” ของตนผ่านลูกแต่ละคน สีดา ก็คนหนึ่ง รามก็อีกรายหนึ่ง...ต่อไปจะเป็นใคร...ใครจะเป็นตัวแทนคุณนายพวงทอง...แสดงละคร...การสร้างกรรม...และรับผลของกรรมให้เธอดู...เป็นรายต่อไป...


 

(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP